ย้อนกลับไปในโอลิมปิก 2020 มีเหตุการณ์ในกีฬามวยสากลที่ถูกพูดถึงอย่างมาก แม้จะเป็นครั้งแรกที่สหพันธ์มวยนานาชาติหรือ ไอบ้า ถูกคณะกรรมการโอลิมปิกหรือไอโอซี ยึดสิทธิ์ จัดการแข่งขัน แต่ก็ยังไม่วายมีการตัดสินค้านสายตา จนกลายเป็นเคสที่เป็นตำนานในโอลิมปิก เกมส์
เหตุการณ์เกิดขึ้นในรุ่นฟลายเวท 52 กิโลกรัมชาย คู่ระหว่าง ริวาส มาร์ติเนซ จากโคลอมเบีย พบกับ เรียวเม ทานากะ จากญี่ปุ่นเจ้าภาพ ในรอบ 8 คนสุดท้าย ซึ่งใครชนะจะการันตีเหรียญทองแดงในทันที
คะแนนในยกแรก ปรากฏว่านักชกโคลอมเบีย ทำคะแนนนำไปก่อน 4-1 เสียง แต่ยกที่สอง นักชกจากญี่ปุ่น ตีตื้นขึ้นมาก่อนชนะไป 3-2 เสียง และในยกที่สาม กรรมการกลับให้ทางทานากะ ชนะทั้ง 5 คน ส่งผลให้ ทานากะ พลิกชนะนักชกจากโคลอมเบีย ไปด้วยคะแนน 4-1 เสียง เข้ารอบรองชนะเลิศและการันตีเหรียญทองแดง ท่ามกลางความงุนงงของนักชกโคลอมเบียที่คิดว่าเขาน่าจะเป็นผู้ชนะ เนื่องจากบนเวที มีจังหวะที่ต่อยเข้าเป้าอยู่หลายครั้ง
หลังการชก ทานากะ ไม่สามารถลุกเดินได้ เนื่องจากยังมึนหมัดบนสังเวียนของนักชกโคลอมเบีย จนต้องใช้รถเข็นในการนำตัวเขาออกจากสนาม
ริวาซ มาร์ติเนซ วัย 29 ปี กล่าวว่า "ผมคิดว่าผมชนะแน่ๆ ผมทำคะแนนได้ดี และต่อยเข้าเป้าตลอด ผมไม่รู้ว่ากรรมการไม่เห็นหรืออย่างไร ในยกสุดท้าย แม้ผมจะเหนื่อย แต่ผมว่า ผมยังต่อยดีกว่าเขา และควรเป็นผู้ชนะทั้ง 3 ยก ผมเตรียมตัวมาหลายปีสำหรับการแข่งขัน เพื่อพบว่า ผมไม่ชนะใจกรรมการบนเวที ผมเสียใจมาก"
แต่ท้ายที่สุดนักมวยญี่ปุ่นก็ไปไม่ถึงฝันเมื่อต้องไปพ่ายให้กับนักชกจากฟิลิปปินส์ อย่าง คาร์โล ปาอาลัม ไปแบบขาดลอยในรอบรองชนะเลิศ 0-5
แม้เหตุการณ์จะผ่านมาสามปีแล้วแต่เชื่อว่าเหตุการณ์เมาหมัดนั่งรถเข็นหลังชกของนักชกญี่ปุ่นคนนี้จะอยู่ในใจแฟนมวยไปอีกยาวอย่างแน่นอน และเป็นเครื่องเตือนใจว่า กีฬามวยสากลเป็นกีฬาที่ตัดสินด้วยสายตา หากจะเอาชนะคู่แข่งต้องชนะให้ขาดลอยไปเลย และนับว่าน่าเสียดายสำหรับความฝันของนักมวยหนึ่งคนที่ต้องจบลงเพียงเพราะกรรมการไม่เลือกให้เขาชนะ
