แม้ตัวจะไม่ได้อยู่ที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่ดูเหมือน ราล์ฟ รังนิก อดีตผู้จัดการทีมของ “ปีศาจแดง” ในฤดูกาล 2021-22 จะยังใส่ใจสโมสรที่เขาเคยทำงาน หลังออกมาให้สัมภาษณ์วิเคราะห์ถึงปัญหาเรื่องภาวะผู้นำในการตัดสินใจของแมนยูฯ นับตั้งแต่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน วางมือ เมื่อปี 2013
ในการพูดคุยกับ Sport สื่อของสเปน กุนซือเจ้าของฉายา “เจ้าพ่อแห่งเกเก้นเพรสซิ่ง” มองว่าปัญหาของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คือไม่มีใครในสโมสรมีอำนาจเด็ดขาด หลัง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน วางมือ
“ผมคิดว่าเราต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 2013 ตอนที่เซอร์ อเล็กซ์ วางมือ ตอนนั้นเขาคือมันสมองของทุกสิ่ง เขาน่าจะเป็นคนดึงบุคคลสำคัญหลายคนเข้ามาร่วมงานที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด ด้วย”
“และเมื่อ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อำลาสโมสร บุคคลเหล่านั้นก็น่าจะออกจากสโมสรตามไปด้วย และจากตอนนั้นจนถึงตอนนี้ ผมคิดว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีปัญหาด้านภาวะผู้นำ”
“ใครเป็นคนตัดสินใจเรื่องต่างๆ และทำไมพวกเขาถึงได้ตัดสินใจแบบนั้น? พวกเขาคือคนที่ใช่จริงหรือเปล่าสำหรับตำแหน่งนั้น?”
“ตลอด 6 เดือนที่ผมอยู่ที่นั่น ในฐานะเฮดโค้ช ผมเองก็ยังไม่สามารถบอกได้เลยว่าใครคือผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจ หากเราต้องการเซ็นสัญญากับนักเตะใหม่ มันยากมาก มันเหมือนจะมีคนบางคนทำหน้าที่เรื่องนี้อยู่ แต่กระบวนการกลับยุ่งยากและไม่มีความชัดเจน”
นอกจากนี้ผู้จัดการทีมชาติออสเตรีย ยังแนะนำสโมสรต่าง ๆ ด้วยว่าควรทุ่มเงินดึงบรรดาดาวรุ่งฝีเท้าดีมาร่วมทีม และหลีกเลี่ยงการเซ็นสัญญากับนักเตะท็อปฟอร์มอายุ 28-30 ปี โดยให้เหตุผลว่า
“ถ้าผมเป็นเจ้าของหรือผอ.กีฬาของสโมสร ผมจะพยายามเซ็นสัญญาและลงทุนกับนักเตะดาวรุ่งเท่านั้น เพราะไม่ว่าคุณจะมองยังไง มันก็เป็นทางเลือกที่สมเหตุผลที่สุด”
“การใช้เงิน 30, 40 หรือ 50 ล้านยูโรกับนักเตะอายุ 28-30 ปี ผมรู้สึกว่ามันไม่ค่อยเมคเซนส์เท่าไหร่”
“ลองคำนวณดู หากคุณเซ็นนักเตะอายุ 28-30 ปีด้วยสัญญา 5 ปี จ่ายค่าตัว 50 ล้านยูโร ค่าจ้างเฉลี่ย 15 ล้านยูโรต่อปี รวมแล้ว 75 ล้านใน 5 ปี ทั้งหมดเท่ากับ 125 ล้านยูโร ยังไม่รวมค่านายหน้า มันจะพาคุณไปถึงประมาณ 130 ล้านยูโรเลยทีเดียว”
“แล้วคุณจะไม่มีทางได้เงินก้อนนั้นที่ใช้ซื้อนักเตะคืนหรอก และถ้าโชคร้าย นักเตะคนนั้นอาจเล่นไม่ได้ใน 1-2 ปีสุดท้ายของสัญญาด้วยซ้ำ การลงทุนแบบนี้ อย่างมากที่สุดคุณใช้ประโยชน์ได้เต็มที่แค่ในช่วง 3 ปีแรกเท่านั้น”
“มันก็เหมือนกับการเล่นพนัน หรือไปคาสิโนนั่นแหละ ผมเดิมพัน 130 ล้านยูโรว่าจะออกสีแดงหรือสีขาว ผมรู้ว่าผมพูดเว่อร์ไปหน่อย แต่คุณก็คงเข้าใจประเด็นที่ผมต้องการจะสื่อ”