ญี่ปุ่น เป็นหนึ่งในประเทศที่เผชิญสภาวะสังคมผู้สูงอายุอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลาหลายทศวรรษ และยังคงสถานการณ์นี้มาจนถึงช่วงเวลาปัจจุบัน ในปี 2023 มีข้อมูลระบุว่าประชากรเกือบ 1 ใน 3 จากทั้งหมดประมาณ 126 ล้านคนของประเทศ มีอายุเฉลี่ย 65 ปีขึ้นไป
เมื่อสังคมผู้สูงอายุยังคงปรากฏให้เห็น เป็นเหตุให้ทั้งหน่วยงานรัฐ ภาคเอกชน ไปจนถึงประชากรในญี่ปุ่น ต่างก็มีนโยบายรวมถึงแนวทางปฏิบัติที่สอดรับกับกลุ่มประชากรสูงอายุในประเทศ
“การเล่นกีฬาและออกกำลังกาย” เป็นสิ่งที่หลายฝ่ายคำนึงถึงเป็นอันดับแรก ๆ นั่นเพราะสำหรับผู้สูงอายุ การออกกำลังกายในสัดส่วนที่ร่างกายรับไหว นอกจากจะนำพาซึ่งสุขภาพที่ดีแล้ว ในบางโอกาสยังได้รับมิตรภาพที่ดีไปด้วย ดังการเกิดขึ้นของ “Soccer for life” หรือลีกฟุตบอลที่เกิดขึ้นจากการรวมกลุ่มกันของคนสูงวัยในโตเกียว เมืองหลวงของประเทศ
ลีกของคน “สูงวัย” ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวของคนในประเทศญี่ปุ่นในทิศทางใดบ้าง และฟุตบอลให้อะไรกับคนกลุ่มนี้ มาติดตามเรื่องราวทั้งหมดไปพร้อม ๆ กันกับ Main Stand
สังคมผู้สูงอายุในญี่ปุ่น
ตามหลักการของ องค์กรสหประชาชาติ หรือ UN กำหนดคำนิยามผู้สูงอายุว่า เป็นประชากรที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป และแบ่งระดับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุไว้ 3 รูปแบบ คือ 1. สังคมผู้สูงอายุ (Aging society), 2. สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged society) และ 3. สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มที่ (Super-aged society)
โดยแต่ละระดับจะมีความแตกต่างไปตามการเปรียบเทียบกับร้อยละของประชากรในแต่ละประเทศ เช่น ในระดับแรก หมายถึงประเทศที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปสูงกว่าร้อยละ 10 ของประชากรทั้งประเทศ หรือมีประชากรอายุตั้งแต่ 65 ปี ในระดับที่สูงกว่าร้อยละ 7 ของประชากรทั้งประเทศ ตามลำดับ
สำหรับประเทศญี่ปุ่นได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มที่โดยสมบูรณ์เมื่อปี 2007 ญี่ปุ่นคงสถานะนี้อยู่เรื่อยมา ว่ากันว่าอายุขัยเฉลี่ยของคนญี่ปุ่นนั้นมีอัตราที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องแบบไม่มีท่าทีว่าจะลดลง แถมอัตราเกิดของประชากรก็ต่ำสวนทางกันอีกด้วย
อย่างในปี 2023 นี้ ญี่ปุ่นมีกลุ่มผู้สูงอายุที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปเป็นจำนวนเกือบ 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมด 126 ล้านคน โดยมีอายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ 85 ปี และนั่นก็ทำให้ดินแดนอาทิตย์อุทัยถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีผู้สูงอายุมากที่สุดชาติหนึ่งของโลก
เมื่อหลีกเลี่ยงการเป็นสังคมผู้สูงอายุไม่ได้อีกต่อไป นั่นทำให้สังคมความเป็นอยู่ของชาวญี่ปุ่นต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาในแง่ต่าง ๆ เพื่อให้สอดรับกับวิถีทางดังกล่าวอยู่เรื่อยมา
ยกตัวอย่างภาครัฐได้มีทั้งการขอความร่วมมือกับหลาย ๆ หน่วยงาน โดยเฉพาะภาคเอกชน ตลอดจนการผลักดัน “พระราชบัญญัติว่าด้วยการรักษาเสถียรภาพการจ้างงานของผู้สูงอายุ” ในปี 2021 เพื่อให้บริษัทเอกชนต่าง ๆ ขยายระยะเวลาเกษียณของลูกจ้างจากเดิม 65 ปี เป็น 70 ปี ไปจนถึงเรื่องการจ่ายเงินบำนาญให้ช้าลงแต่จำนวนสูงขึ้น
ตลอดจนการขอความร่วมมือในบางโอกาส เพื่อให้ผู้สูงอายุในช่วงอายุดังกล่าวยังคงอยู่ในแวดวงการทำงาน โดยอาจจะเปลี่ยนไปในรูปแบบของการจ้างงานแบบไม่ประจำ (ฟรีแลนซ์) เป็นต้น
นำมาซึ่งข้อมูลชุดหนึ่งที่เว็บไซต์ Japan Times รายงานว่า ประมาณ 1 ใน 5 ของผู้ที่มีอายุมากกว่า 70 ปีในญี่ปุ่น เป็นบุคคลที่อยู่ในสถานะ “มีงานทำ”
ขณะที่แนวทางความร่วมมืออื่น ๆ นอกจากภาครัฐก็ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด เพื่อสอดรับกับกระแสสังคมสูงวัย และนั่นก็ทำให้กิจกรรมหลาย ๆ กิจกรรม ที่หากมองผิวเผินแล้วไม่น่าจะเกิดขึ้นกับกลุ่มคนสูงอายุ เช่น การรวมกลุ่มกันเล่นกีฬาและออกกำลังกาย โดยมี “ฟุตบอล” เป็นแรงผลักดัน
ปฏิเสธไม่ได้ว่าฟุตบอลเป็นกีฬาที่ต้องใช้แรงกายในการลงเล่นไม่แพ้กีฬาหรือการออกกำลังกายรูปแบบอื่น ๆ และดูเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะให้คนอายุ 60 ปี หรือมากกว่านั้นมาห้ำหั่นกันในสนาม
ทว่าเพราะแพสชั่น (Passion) แห่งการขับเคลื่อนของหลาย ๆ ฝ่ายในสังคมกลับทำให้คนสูงอายุลงเล่นฟุตบอลร่วมกันได้อย่างไม่มีเคอะเขิน
นำมาซึ่งการเกิดขึ้นภายใต้ความร่วมมือขององค์กร “Soccer for life” และกลุ่มคนสูงอายุที่หลงใหลในเกมลูกหนัง ก่อกำเนิดเป็นลีกฟุตบอลเพื่อประชากรสูงอายุขึ้นมาที่มหานครโตเกียว
สูงวัย ยูไนเต็ด
“ผมคิดว่าการเกิดขึ้นของลีกสำหรับคนอายุมากกว่า 80 ปี เป็นภาพสะท้อนที่เห็นได้ชัดเจนในสังคมญี่ปุ่น ซึ่งประชากรสูงอายุสามารถทำกิจกรรมเช่นนี้ได้” ยูทากะ อิโตะ เลขาธิการของ Soccer for life (SFL) League กล่าวกับ Reuters
ว่ากันว่าการเกิดขึ้นของลีกฟุตบอลเพื่อคนสูงวัยริเริ่มกันมาตั้งแต่ปี 2002 แล้ว แต่เดิมเป็นลีกที่กำหนดแบบภาพกว้าง กล่าวคือให้คนที่อายุมากกว่า 50 ถึง 60 ปีขึ้นไปลงเล่น จากนั้นก็เริ่มขมวดช่วงวัยเพื่อสอดคล้องกับเหล่าคุณปู่คุณตาที่สนใจเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของลีก
ในปี 2008 มีการกำหนดลีกและกำหนดผู้เข้าร่วมว่าต้องมีอายุอย่างน้อย 60 ปี จากนั้นอีก 4 ปี (2012) มีการเปิดลีกสำหรับผู้ที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไป ตามมาด้วยในอีก 5 ปีต่อมา (2017) มีลีกสำหรับคนที่อายุ 75 ปีขึ้นไป
ส่วนจำนวนผู้เข้าร่วมก็ไม่ใช่น้อย ๆ ซึ่งสะท้อนถึงสังคมคนสูงวัยได้อย่างชัดเจน ยกตัวอย่างการเก็บข้อมูลจำนวนทีมเข้าร่วมแข่งขัน อย่างลีกสำหรับคนอายุเกิน 60 ปี ปัจจุบันมีทีมเข้าร่วมการแข่งขันถึง 57 ทีม เพิ่มขึ้นจากปี 2018 ถึง 13 ทีม
ขณะที่ลีกสำหรับคนที่อายุเกิน 70 ปี ในปี 2023 นี้มีจำนวนเพิ่มขึ้นจาก 11 ทีมเป็น 15 ทีม ยิ่งไปกว่านั้นกับลีกของผู้เล่นที่อายุ 80 ปีขึ้นไปที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2022 ก็มีทีมเข้าร่วมแข่งขันถึง 3 ทีมด้วยกัน
และจากข้อมูลที่สำนักข่าว Reuters นำเสนอ พบว่าคนที่อายุมากที่สุดที่เป็นส่วนหนึ่งของลีกฟุตบอล SFL อยู่ที่ 93 ปี
ไม่ใช่ว่าคนสูงวัยทุกคนจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของลีกได้ทันที เพราะทั้งฝ่ายจัดการแข่งขันไปจนถึงตัวนักกีฬาเองก็ต้องคำนึงถึงเรื่องความเหมาะสมต่าง ๆ เพื่อไม่ให้เกิดผลร้ายมากไปกว่าผลดี
ฝ่ายจัดการแข่งขันจำเป็นต้องมีเครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าชนิดอัตโนมัติ และต้องฝึกปฏิบัติจนใช้งานให้เป็นและรู้ถึงวิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้น
ขณะที่นักกีฬาก็ต้องมีสุขภาพที่ดีและมีหลักฐานยืนยันว่าสามารถออกกำลังกายด้วยฟุตบอลได้ ยิ่งช่วงหลังก็ยิ่งมีมาตรการที่เข้มข้นขึ้น หลังการเกิดขึ้นของเชื้อไวรัสโควิด-19
การแข่งขันจะเน้นการเล่นบนสนามหญ้าเทียมที่มีความทนทานต่อสภาพอากาศและจัดการได้ง่ายกว่า หรือหากวันใดที่อากาศแปรปรวนและทำให้นักกีฬาเสี่ยงต่อการเป็นโรคลมแดด (ฮีทสโตรก) ก็จะหยุดแข่งขันในวันนั้น ๆ ในทันที
แด่สุขภาพและมิตรภาพ
ฟุตบอลเกี่ยวข้องกับเรื่องการแข่งขัน ไม่แปลกที่การแข่งขันลีก SFL นี้จะมีความจริงจังเกิดขึ้นบ้างในบางโอกาส
ดังตัวอย่างเสียงตะโกนบางส่วนของเหล่าแข้งสูงวัยภายในสนามหญ้าเทียมโคมาซาวะ โอลิมปิก พาร์ก ที่กรุงโตเกียว ซึ่งเป็นการแข่งขันฟุตบอลรุ่นอายุ 80 ปีขึ้นไป เมื่อเดือนเมษายน 2023
“เร็วเข้า ๆ ”
“เอ็งป้องกันช้าไปแล้ว”
แม้จะมีเสียงตะโกนที่แสดงถึงความจริงจัง บางคนก็โดนใบเหลืองตามรูปเกมปรากฏให้เห็นอยู่บ้าง แต่บางครั้งความจริงจังก็ถูกลดทอนลงไป อาจด้วยสังขารที่แปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา บางคนลงสนามไม่ถึง 10 นาทีก็ขอเปลี่ยนตัวออก บางคนจ่ายบอลน้ำหนักเบาไปจนไม่ถึงเพื่อน บ้างก็เตะวืดไม่โดนบอล ฯลฯ
ตัวอย่างข้างต้นอาจดูเป็นอุปสรรคและเป็นความทุลักทุเลที่เกิดขึ้นในสนาม แต่อันที่จริงเรื่องของรูปเกมและการแข่งขันเป็นประเด็นรองที่เหล่าผู้มีส่วนร่วมไม่ได้มองว่าเป็นเป้าหมายใหญ่
เหนือสิ่งอื่นใด การรวมกลุ่มกันแข่งขันฟุตบอลลีกสูงวัยในโตเกียวเป็นการลงแข่งขันด้วยธงในใจเรื่องการมีสุขภาพดี (Healthy) และเรื่องของมิตรภาพ (Friendly) มากกว่า
“ถ้าผมไม่ได้เล่นฟุตบอล ตอนนี้ผมคงแก่ตายไปแล้วล่ะ” ชิโงะ ชิโอซาวะ อดีตนักออกแบบรถแข่งในวัย 93 ปี ที่ลงเล่นเป็นผู้รักษาประตู ให้เครดิตการร่วมกลุ่มกันเล่นฟุตบอลสูงวัย ซึ่งช่วยให้เขาเลิกสูบบุหรี่และช่วยฟื้นตัวจากการรักษาโรคโพรงกระดูกสันหลังตีบได้เป็นอย่างดี
“สิ่งที่ทำให้ผมมีความสุขมากกว่าสิ่งใดก็คือการที่ผมได้มีโอกาสเตะฟุตบอลนี่ล่ะครับ” คิม มย็อง-ซิค วัย 84 กะรัต อดีตนักฟุตบอลทีมสมัครเล่นชาวเกาหลีในญี่ปุ่น กล่าว
“ความสนิทสนมกันมันเกิดขึ้นในหมู่พวกเรา และพวกเราก็คุยกันเยอะมาก ๆ มันดีต่อสุขภาพ มันทำให้ผมรู้สึกได้รับการเติมเต็มอย่างดีเยี่ยม” ทาคายูกิ อิโนะฮานะ วัย 83 ปี เผยถึงมิตรภาพที่ได้รับจากการแข่งขัน
ท่ามกลางความท้าทายเรื่องสังคมผู้สูงอายุในประเทศญี่ปุ่น การเกิดขึ้นของ Soccer for life นับเป็นการปรับตัวในอีกรูปแบบหนึ่งของคนชราแดนซามูไร ที่ทั้งได้การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดีไปจนถึงการสร้างมิตรภาพใหม่ ๆ ผ่านสังเวียนหญ้าเทียม ภายใต้การแข่งขันที่ถูกออกแบบมาสำหรับคนสูงอายุ
ทั้งหมดก็เพื่อให้กลุ่มคนวัยมากประสบการณ์เหล่านี้ไม่ได้แค่รู้สึกถึงเรื่องสุขภาพที่เสื่อมถอยหรือต้องใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว
แหล่งอ้างอิง
https://www.japantimes.co.jp/sports/2023/04/19/soccer/japan-senior-soccer-o80/
https://www.nippon.com/en/japan-data/h01111/
https://www.reuters.com/investigates/special-report/asia-population-japan-elderly-soccer/
https://www.asahi.com/ajw/articles/14797799
https://dmh.go.th/news-dmh/view.asp?id=30453
https://plus.thairath.co.th/topic/everydaylife/101170