ไม่ใช่คำพูดที่ยกยอเกินจริง หากจะบอกว่าอดีตกองหน้าหมายเลข 40 ของบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด คือผู้เล่นที่ดีสุดตลอดกาลนับตั้งแต่ก่อตั้ง ไทยลีก มากว่า 22 ปี อะไรทำให้เขายืนอยู่เหนือกว่า ตำนานทุกบทบนลีกสูงสุดแดนสยาม
“ดิโอโก ใครมาซื้อ กูก็ไม่ขาย” คำพูดของ เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่ประกาศชัดเจนต่อหน้าธารกำนัลหลายหมื่นชีวิต ในงานฉลองเทศกาลปีใหม่ 2561 ถึงจุดยืนที่มีต่อ ดิโอโก หลุยส์ ซานโก กองหน้าตัวเก่งประจำทีม
Photo : Facebook : Buriram United
ตลอด 4 ฤดูกาลในการค้าแข้งที่เมืองไทย อดีตดาวยิงที่เคยตกเป็นข่าวกับ ลิเวอร์พูล สร้างผลงานอันยากที่หาใครเทียบเคียงได้ ด้วยมาตรฐานการเล่นที่ไม่เคยตก จนเป็นส่วนสำคัญในการช่วยพา บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด กวาดความสำเร็จถ้วยแชมป์มากมาย และทุบสถิติเป็นว่าเล่น
101 ประตูจาก 104 เกมที่ลงเล่นบนลีกสูงสุด คือตัวเลขที่บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่า ดิโอโก ได้ก้าวขึ้นมาเป็นตำนานนักเตะของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และเป็นหนึ่งในนักเตะที่เก่งกาจสุดเท่าที่ โตโยต้า ไทยลีก เคยมีมาเลยก็ว่าได้
และในช่วงเลกสองของศึกไทยลีก ที่กำลังมาถึง แฟนลูกหนังชาวไทย ก็คงตื่นเต้นไม่น้อยที่จะได้เห็น ดิโอโก หลุยส์ ซานโต กลับมาโลดแล่นในลีกสูงสุดแดนสยามอีกครั้ง ในสีเสื้อน้ำเงินของ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด เหตุใดเขาถึงได้รับการยกย่องเช่นนี้ หาคำตอบได้จากบทความนี้
เพื่อนเนย์มาร์
...ปฐมบทตำนานดิโอโก เกิดขึ้นหลังสิ้นสุดฤดูกาล 2014 บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ทำการเปลี่ยนแปลงผู้เล่นต่างชาติแบบยกแผง เหลือไว้เพียง อันเดรส ตูเญซ คนเดียวเท่านั้น แล้วหันไปอิมพอร์ตผู้เล่นจากภูมิภาคละติน-อเมริกาใต้ เข้ามาสู่ทีมแทน
ดิโอโก หลุยส์ ซานโต กองหน้าวัย 28 ฝน เป็นหนึ่งในนักเตะต่างชาติหน้าใหม่ เขาย้ายโดยตรงจาก พัลไมรัส สโมสรชั้นนำในซีรีย์ เอ บราซิล มาร่วมทีมบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ช่วงก่อนเปิดฤดูกาล 2015
Photo : Facebook : Diogo Luis Santo
ในเวลานั้น การย้ายทีมของ ดิโอโก เสียงฮือฮาให้แฟนบอลได้ไม่น้อย เพราะเส้นทางการค้าแข้ง และโปรไฟล์ ก่อนหน้านี้ของเจ้าตัวจัดว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
อดีตเด็กปั้นของ แอตเลติโก มิเนยโร และเจ้าของค่าตัวสถิติค่าตัวสโมสร ปอร์ตูเกซา ถือเป็นดาวรุ่งที่ได้รับการจับตามองฝีเท้าในบราซิลมาตั้งแต่อายุยังน้อย
เขาเคย คาร์ลอส ดุงกา ถูกเรียกติดทีมชาติบราซิล รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ชุดเหรียญทองแดงโอลิมปิก 2008 (ชุดเดียวกับ ติอาโก ซิลวา, มาร์เซโล, โรนัลดินโญ, รามิเรส) แต่น่าเสียดายที่ เจ้าตัว โชคร้ายสุดขีดได้รับบาดเจ็บหนัก จนต้องถอดตัวออก ก่อนการแข่งขันจะเริ่มขึ้นและไม่มีชื่ออยู่ในทีมชุดดังกล่าว
แถมยังเคยผ่านสังเวียนลูกหนังระดับโลก อย่าง ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก สมัยอยู่กับ โอลิมเปียกอส รวมถึงเคยตกเป็นเป้าหมายของ ลิเวอร์พูล ก่อนจะย้ายกลับมาเล่นให้ ฟลาเมงโก และ ซานโตส ด้วยสัญญายืมตัว เนื่องจากเจ้าตัวมีอาการบาดเจ็บติดตัว ทำให้ไม่สามารถลงช่วยทีมได้สม่ำเสมอ ซึ่งสโมสรหลังนี่เอง ทำให้เขาได้รู้จักและลงเล่นเคียงบ่าเคียงไหล่กับ เนย์มาร์ ซูเปอร์สตาร์ทีมชาติบราซิล
เขาและ เนย์มาร์ จับคู่ช่วยกันพา ซานโตส ซิวแชมป์ทวีปรายการ โกปา ลิเบร์ตาดอเรส โดย ดิโอโก เคยให้สัมภาษณ์ถึง เนย์มาร์ ใน FourFourTwo Thailand ว่า "เขาเองมีความสัมพันธ์ที่ดีกับ เนย์มาร์ สมัยเล่นร่วมกัน แม้ปัจจุบันจะแยกย้ายกันไปคนละซีกโลก แต่ถ้าเจอหน้าก็มั่นใจว่ายังพูดคุยทักทายกันได้ตามปกติ ตามประสาคนรู้จัก"
แต่ไม่ใช่แค่ชื่อเสียง และโปรไฟล์เท่านั้นที่ทำให้ ดิโอโก เมื่อย้ายมาแล้ว สามารถปรับตัวระเบิดฟอร์มได้ตั้งแต่ฤดูกาลแรก ในศึกโตโยต้า ไทยลีก เลย ทั้งที่ในอดีตก็มีนักเตะดีกรีสูง ตกม้าตายในไทยลีกเป็นว่าเล่น
หลังหมดสัญญายืมตัวกับ ซานโตส ดิโอโก ยังโลดแล่นอยู่กับทีมชั้นนำของบ้านเกิด ทั้ง ปอร์ตูเกซา และย้ายไปเล่นให้สโมสรขวัญใจในวัยเด็กอย่าง พัลไมรัส
โดยในปี 2014 ดิโอโก ได้รับโอกาสลงสนามมากถึง 30 นัด จุดนี้แสดงให้เห็นว่า ก่อนย้ายมา บุรีรัมย์ฯ ดิโอโก ยังดีพอที่จะลงเล่นในลีกสูงสุดบราซิล ไม่ใช่พวกย้อมแมวมาขายบุรีรัมย์
ประกอบกับ ด้วยวัยที่เพิ่งอายุ 28 ปี ในฤดูกาลแรกที่ ดิโอโก ย้ายมา ทำให้ ปราสาทสายฟ้า ได้ทั้ง นักเตะที่มีประสบการณ์สูง, ฝีเท้าดี และมีอายุการใช้งานที่ยังเหลือๆ
แตกต่างจาก การ์เมโล กอนซาเลซ ดาวยิงชาวสเปน ที่ถูกขายจากทีมในวัย 31 ปี ในซีซั่นเดียวกัน ที่มีอายุแก่กว่า ดิโอโก ถึง 3 ปี แม้จะต้องแลกกับการจ่ายค่าเหนื่อยเรือนล้านต่อเดือน แต่ก็นับว่าเป็นดีลที่คุ้มค่า ตั้งแต่เริ่มเซ็นสัญญา จนถึงตอนนี้ ดิโอโก ได้ตอบแทนให้บุรีรัมย์ฯ ได้คุ้มทุกบาทที่จ่ายไป ด้วยผลงานระดับมาสเตอร์พีซในสนาม
ปรับตัวได้หลายบทบาท
เพียงแค่ฤดูกาลแรก ดิโอโก หลุยส์ ซานโต ก็ทำให้ทุกคนได้เห็นถึงศักยภาพ และคลาสฝีเท้าที่เหนือกว่าผู้เล่นทุกคนที่ค้าแข้งในเมืองไทย เขาตะบันไปได้ถึง 33 ประตู จากการลงสนามในลีก 32 นัด ผงาดซิวรางวัลดาวซัลโว และนักเตะยอดเยี่ยม
แถมยังเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญในการพา บุรีรัมย์ กวาดความสำเร็จ 5 แชมป์ในฤดูกาลเดียว แบบที่ไม่เคยมีสโมสรไหนในทวีปเอเชียทำได้มาก่อน
จนมีคำพูดที่ในโลกโซเซียลว่า บุรีรัมย์เป็นแชมป์เพราะ “ระบบ ดิโอโก้” ที่พึ่งพาความสามารถเฉพาะตัวของหัวหอกจอมถล่มประตูรายนี้เพียงอย่างเดียว
จึงไม่ใช่เรื่องแปลก หากฤดูกาล 2016 หลายคนจะมองว่า บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด พลาดท่าเสียแชมป์ลีกให้กับ คู่ปรับหมายเลข 1 อย่าง เมืองทอง ยูไนเต็ด นั้นมาจากการที่ ทีมขาด ดิโอโก หลุยส์ ซานโต ตลอดช่วงเลกแรก จากอาการบาดเจ็บ ส่งผลให้ทีมฟอร์มตกลงไป
ส่วนการได้แชมป์ โตโยต้า ลีก คัพ, ถ้วย ก. และโตโยต้า พรีเมียร์ คัพ ในปีดังกล่าวนั้น เป็นเพราะทีมได้ ดิโอโก กลับมาช่วงเลกสอง
นอกจากนี้ ยังมีบางกระแสวิจารณ์ว่า ดิโอโก ยิงประตูได้เยอะ เพราะมีตัวปั้นชั้นดีทั้ง กิลแบร์โต มาเชนา และ ธีราทร บุญมาทัน คอยสนับสนุน หากทั้งคู่ไม่อยู่แล้ว บางทีระบบดิโอโก อาจถึงคราวอวสานก็ได้
Photo : Facebook : Buriram United
แต่ในฤดูกาล 2017 ดิโอโก กลับทำในสิ่งที่แตกต่าง และตรงข้ามออกไป เขาไม่ได้เล่นตำแหน่ง หน้าเป้า แต่ถอยตัวเองออกมายืนเป็น หน้าต่ำ หรือตัวด้านข้าง บ่อยครั้ง พร้อมกับโชว์ให้เห็นความสามารถอีกด้านที่ไม่ใช่แค่ยิง แต่ยังสามารถเป็นตัวป้อน จ่ายให้เพื่อนทำประตูได้อีกด้วย หรือทำหน้าที่เป็น ตัวขึ้นเกมรุกของทีมได้อีกด้วย ในจังหวะสวนกลับ
ดิโอโก มีส่วนในการปั้น ชาชา โคเอลโญ กองหน้าเพื่อนร่วมชาติ ให้ตะบันไปได้ถึง 38 ประตูจาก 40 เกมที่ลงสนาม ส่วน ดิโอโก ยิงไป 29 ประตู จ่าย 11 แอสซิสต์ จาก 34 เกมที่ลงสนาม (ทุกรายการ)
เช่นเดียวกับในฤดูกาล 2018 เขาสามารถโยกตัวเองไปได้ทุกตำแหน่งตามใจชอบ ไม่ใช่แค่กองหน้าตัวเป้า แต่ในบทบาทของตัวริมเส้น หรือบางเกมที่ลงมายืนเป็น กองกลางตัวรุก เขาก็ลงเล่นได้แบบไหลลื่น ไม่มีมีสะดุด
ที่สำคัญ ดิโอโก ยังเป็นคนที่คุมจังหวะเกมได้บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะยิง หรือจ่าย เขาแทบจะคอนโทรลจังหวะสุดท้ายได้หมด นั่นคือข้อแตกต่างของ ดิโอโก กับผู้เล่นระดับตำนานคนอื่นๆของไทยลีก ที่ส่วนใหญ่จะเล่นได้ดีสุดแค่ตำแหน่ง 1-2 ตำแหน่งเท่านั้น รวมถึงรางวัลความสำเร็จที่ ดิโอโก ได้มามากมายตลอด 4 ซีซั่นกับ ปราสาทสายฟ้า ยิ่งส่งเสริมให้เขาเข้าใกล้ความเป็นตำนานมากขึ้นไปอีก
Photo : Facebook : Diogo Luis Santo
จ๊อบบี้ - บริพัทธ์ สูนรอด ผู้จัดการทีม บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ผู้ที่ได้ทำงานกับนักฟุตบอลทั้งไทยและเทศ หลายร้อยชีวิต พูดถึงสาเหตุที่ทำให้ ดิโอโก สามารถปรับตัวเข้ากับทุกระบบได้เร็ว และเล่นได้ท็อปฟอร์มเสมอต้นเสมอปลายว่า
“ดิโอโก เป็นคนที่ซีเรียสมากเวลาฝึกซ้อม เขาเป็นคนหนึ่งที่ไม่เคยแสดงอาการเหยาะแหยะ หรือไม่เต็มที่ ทุกๆการฝึกซ้อม จะเห็นชัดเลยว่า เขามีความตั้งใจมากเป็นพิเศษกว่าคนอื่นๆ ไม่ว่าจะร่วมงานกับโค้ชคนไหน เขาเป็นคนที่รับฟัง แล้วทำตามทุกอย่างที่โค้ชบอก ทำให้เขาเข้าใจแท็คติกได้เร็ว และสามารถเล่นได้หลากหลายตำแหน่ง”
“อีกอย่างคงเป็นเพราะ ดิโอโก มีความสามารถเฉพาะตัวสูง ไม่ว่าจะจับเขาไปเล่นตรงไหน แท็คติกอะไร เขาก็จะทำให้สิ่งที่ดูยากๆ ของฟุตบอล ให้ดูเป็นเรื่องง่ายไปหมด”
ด้วยมาตรฐานที่สูงส่งของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ผู้เล่นต่างชาติคนหนึ่ง จะสามารถยืนระยะอยู่กับสโมสรแห่งนี้ได้ยาวนานถึง 4 ฤดูกาล
ผู้เล่นต่างชาติหลายคน ถูกขาย ถูกปล่อยตัวออกจากทีม เนื่องจากไม่สามารถปรับตัวเข้ากับ แนวทาง และแท็คติกที่สโมสรวางไว้ บางคนเล่นได้ดีกับโค้ชคนหนึ่ง แต่ปรับตัวเข้ากับโค้ชอีกคนไม่ได้ บางคนเล่นได้ดีแค่บางตำแหน่ง แต่มีข้อจำกัดการเล่นในบางตำแหน่งที่ถูกปรับเปลี่ยน บางคนเล่นดีแค่ปีเดียว แล้วฟอร์มดร็อปไปในปีต่อมา…
ทว่าสิ่งที่ว่ามาทั้งหมด ไม่เคยขึ้นกับ ดิโอโก หลุยส์ ซานโต ที่มีความสามารถสูงเป็นต้นทุน ประกอบกับ ความมุ่งมั่นตั้งใจที่มากกว่านักฟุตบอลคนอื่นๆ จึงทำให้ ดิโอโก โดดเด่น และใช้เวลาปรับตัวอันน้อยนิด ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปสวมบทบาทใดๆ ก็ตามในสนาม…
บางทีคำว่า “ระบบดิโอโก” อาจจะไม่ใช่คำพูดที่จริงร้อยเปอร์เซนต์ เพราะในความจริงแล้ว ดิโอโก ต่างหาก ที่เป็นเพียงไม่กี่คน ที่สามารถเล่นได้ตามทุกระบบที่ บุรีรัมย์ฯ ต้องการ แถมยังลงเล่นด้วยฟอร์มอันยอดเยี่ยมอีกด้วย
ไม่ใช่แค่เก่ง แต่เล่นเพื่อทีม
ใช่ว่าความเก่งอย่างเดียว จะเป็นเหตุผลที่เพียงพอให้ ดิโอโก หลุยส์ ซานโต อยู่โยงกับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด มาได้ถึง 4 ฤดูกาล และได้ชื่อว่าผู้เล่นที่เก่งสุดในประวัติศาสตร์ไทยลีก หากปราศจาก “ทีมเวิร์ก” ที่เจ้าตัวมีสิ่งนี้อยู่ตัวสูง
ตามธรรมชาติของนักฟุตบอลต่างชาติในไทยลีกแล้ว มักจะไม่ได้มีการเซ็นสัญญาอาชีพที่ยืดยาวนัก ดังนั้น พวกแข้งต่างชาติ ที่มีผลงานถล่มประตูเยอะๆ ส่วนมาก จะเป็นนักเตะประเภท วัน แมน โชว์ โดยเน้นการสร้างผลงานส่วนตัวเป็นอันดับแรกก่อนทีม
ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดเพราะ นักฟุตบอลต่างชาติ จำเป็นต้องทำทุกอย่าง เพื่อให้ตัวเองมีผลงาน มีชื่อ เพื่อโอกาสได้รับสัญญาว่าจ้างต่อ โอกาสในการเพิ่มค่าเหนื่อย หรือถูกซื้อตัวในอนาคต โดยเฉพาะกับไทยลีก ที่มีการเปลี่ยนแปลงต่างชาติได้ง่ายดาย
“ดิโอโก เป็นนักฟุตบอลที่มีวินัยสูงมาก ทุ่มเทและจริงจัง กับทุกนัดที่ลงเล่น ทุกรายการ เขามักแสดงให้เพื่อนๆในทีมเห็นว่า เขากระหายกับการเล่นแค่ไหน เช่น การลงมาช่วยเล่นเกมรับ เขาจะไม่ใช่กองหน้าประเภทยืนรอบอล รอทำประตูอย่างเดียว แต่จะลงมาช่วยเพื่อนร่วมทีมด้วย” บริพัทธ์ ผู้จัดการทีมบุรีรัมย์ ฯ กล่าวเริ่ม
“ที่เห็นชัดๆเลย คือเวลาที่เขาทำบอลเสีย เขาจะพยายามตามเอาบอลคืนมาให้ได้ โดยไม่ต้องไปรบกวนให้คนอื่นวิ่งไล่แทนให้ เขาเป็นต้นแบบให้ นักฟุตบอลคนอื่นๆ รู้สึกว่า ถ้าฉันทำเสียบอล ฉันต้องเอาบอลคืนมาให้ได้”
นอกจากจะเป็นผู้เล่นที่มี ทักษะ ความสามารถ และทีมเวิร์กสูง จนเอาชนะใจสต๊าฟฟ์โค้ช รวมถึงเพื่อนร่วมทีมแล้ว
อีกแง่หนึ่งที่หลายคนอาจไม่รู้ก็คือ ดิโอโก เป็นทั้งต้นแบบและพี่เลี้ยง ให้กับเหล่านักเตะดาวรุ่งมากมายของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จนแข้งอายุน้อยเหล่านั้น สามารถยกระดับฝีเท้าขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่ ได้อย่างเต็มภาคภูมิ
ศศลักษณ์ ไหประโคน วิงแบ็กพลังหนุ่ม เปิดเผยกับ Main Stand ถึงรุ่นพี่รายนี้ว่า “ดิโอโก เปรียบเสมือนพี่ชายของพวกเรา เขาไม่เคยด่า ไม่เคยตำหนิ เวลาดาวรุ่งเล่นผิดพลาด เขามีแต่จะสอนว่า จังหวะนี้เราควรทำอย่างไร ควรเล่นแบบไหน ลองทำแบบนี้สิ ตั้งแต่ในสนามซ้อมเลย”
Photo : Facebook : Buriram United
“อย่างที่ทุกคนเห็น เขากล้าที่จะจ่ายบอลให้ดาวรุ่งบ่อยครั้ง ทั้งที่เขาสามารถเลี้ยงไปยิงเองก็ได้ หรือ เวลาที่นักเตะดาวรุ่งทำประตูได้ ดิโอโก ก็ดูเขามีความสุขไปด้วย ที่ได้เห็นพวกเราเติบโต เขาไม่เคยแบ่งแยกว่าตัวเองเป็นซูเปอร์สตาร์ แล้วเราเป็นแค่ดาวรุ่ง”
“อย่างวันแข่งขัน ช่วงก่อนเกม ดิโอโก จะเป็นคนที่ออกมากระตุ้นคนอื่นๆในทีม เพื่อย้ำว่า เกมนี้สำคัญอย่างไร แต่พอลงไปสนาม ดิโอโก เขาจะชอบทำให้เห็นมากกว่าพูด ว่า เขาเล่นเต็มที่แค่ไหน ทุ่มเท่ขนาดไหน พอเราเห็น ก็จะเกิดความรู้สึกว่า ขนาดดิโอโก ยังทำเพื่อทีมขนาดนี้ เราก็ต้องทำไม่น้อยหน้ากว่าเขา”
อยู่อย่างตำนาน
ดิโอโก หลุยส์ ซานโต จัดเป็นผู้เล่นที่มีตัวเลขสถิติส่วนตัวที่น่าทึ่ง และรักษามาตรฐานได้ดี ไม่มีตก ตลอดช่วง 4 ฤดูกาล เขาทำไปแล้ว 132 ประตู 43 แอสซิสต์ 8 แฮตทริค จาก 130 เกมที่ลงสนามทุกรายการให้กับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด
หากนับเฉพาะ โตโยต้า ไทยลีก ก็ต้องยอมรับตามตรงว่า มาตรฐานที่เขาสร้างไว้ เป็นสิ่งยากยิ่งที่จะหาใครสักคนทำได้เช่นนี้ ไม่ว่าจะในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
ในฤดูกาล 2015 ดิโอโก ลงเล่น 32 นัด ยิงได้ 33 ประตู, ฤดูกาล 2016 ลงเล่น 11 นัด ยิงได้ 8 ประตู, ฤดูกาล 2017 ลงเล่น 29 นัด ยิงได้ 26 ประตู และในฤดูกาล 2018 หลังผ่านไป 33 เกม เจ้าตัวยิงไปแล้วถึง 34 ประตู (นำเป็นดาวซัลโวสูงสุด) และสามารถพาทีมคว้าแชมป์ไทยลีก สมัยที่ 6 มาครองได้สำเร็จ
เท่ากับว่าตลอด 4 ฤดูกาล ไม่มีเคยมีซีซั่นไหนที่ ดิโอโก มีค่าเฉลี่ยการทำประตูต่ำกว่า 0.70 ต่อนัด ที่น่าทึ่งไปกว่านั้นก็คือ เขาเคยผ่านการบาดเจ็บหนักถึง 2 ครั้งหน โดยเฉพาะในฤดูกาล 2016 ที่ต้องถอนชื่อออกจากทีมในช่วงเลกแรก จนหลายคนกังวลว่า ดิโอโก จะกลับมาอยู่ในฟอร์มที่สุดยอดเหมือนปี 2015 ได้หรือไม่
แต่ เจ้าของเสื้อหมายเลข 40 ก็สามารถก้าวข้ามอาการบาดเจ็บ กลับมายืนระยะอยู่บนจุดสูงสุดของลีกไทยได้อีกครั้ง ด้วยความแข็งแกร่งทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และฝีเท้าที่ไม่เคยโรยราไป จนถึงฉากสุดท้ายของการค้าแข้งในถิ่นช้าง อารีนา เขาก็ยังคงเป็นผู้เล่นคนสำคัญของ บุรีรัมย์ ฯ ก่อนย้ายไป ยะโฮร์ ในฤดูกาล 2019
“ผมไม่เคยเห็นนักฟุตบอลคนไหน มืออาชีพเท่ากับ ดิโอโก มาก่อน” ศศลักษณ์ ไหประโคน เผยถึงเคล็ดลับของสุดยอดแข้งอย่าง ดิโอโก
Photo : Facebook : Buriram United
“เขาเป็นคนที่ดูแลร่างกายตัวเองดีมาก ทุกๆวัน เขาจะมาเข้าห้องฟิตเนส ทำแบบนี้อยู่ตลอด ไม่เว้นแม้แต่วันหยุด หลังเลิกซ้อม ก็จะใช้เวลาอยู่กับครอบครัว ไม่เหลวไหลเลย ดิโอโก ทำทุกอย่างแบบมืออาชีพหมด”
“ที่สำคัญเขาไม่เคยหยุดพัฒนาตัวเอง ไม่ว่าเราจะรู้สึกว่าเขาเก่งขนาดไหนในไทยลีก แต่เขาก็เหมือนคนที่ไม่เคยพอกับสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ เขาชอบพัฒนาให้ตัวเองเก่งขึ้นไปกว่านี้ ผมว่านี่แหละคือ ข้อแตกต่างของ ดิโอโก กับนักเตะคนอื่นๆที่ผมเคยสัมผัสมา”
มีผู้เล่นมากมายในไทยลีก ที่เคยสร้างชื่อ แจ้งเกิด และโด่งดัง บางคนยืนระยะได้ 1 ปี 2 ปี ก็ค่อยๆผ่านจุดพีคไป
แต่สำหรับดิโอโก ตลอด 4 ปีในลีกไทย ทั้งผลงาน และคุณภาพ รวมถึงการวางตัว นอกสนาม ที่เขาเป็นที่รักของทุกคนในรังช้าง อารีนา ตั้งแต่แฟนบอล, เพื่อนร่วมทีม, เจ้าหน้าที่สโมสร รวมถึงประธานฯ
Photo : Facebook : Buriram United
“ดิโอโก เป็นมิตรกับทุกคน เมื่ออยู่นอกสนาม เขาไม่มีอีโก้ และความเย่อหยิ่งเลย เมื่อไหร่ก็ตามที่ แฟนๆต้องการถ่ายรูป เขาพร้อมจะทำมันด้วยความเต็มใจ นั่นแหละตัวตนของเขา” บริพัทธ์ สูนรอด เล่าถึงอีกด้านของ ดิโอโก
ไม่ว่าคุณจะจดจำ ชายหนุ่มจากเมืองเซา เปาโล คนนี้ ในแง่มุม “เทวา” ที่พร้อมเนรมิตทุกสิ่งให้กับทีมที่คุณเชียร์ หรือ “ซาตาน” ที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม อันแพรวพราว ยามอยู่ในสนามแข่งขัน
Photo : Facebook : Buriram United
แต่สิ่งหนึ่งทุกคนไม่อาจปฏิเสธได้ ก็คือ ดิโอโก ได้กลายเป็น “ตำนาน” ของไทยลีกไปแล้ว ด้วยสองเท้าของเขาที่ได้ขีดเขียนเรื่องราวมากมาย ให้เกิดขึ้นบนลีกอาชีพเมืองไทย… และดูเหมือนว่า ตำนานบทนี้จะยังไม่สิ้นสุด เพราะเขากำลังจะมาขีดเขียนเรื่องภาคสอง ในถิ่นลีโอ สเตเดียม ด้วยวัย 33 ปี