“เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล” สำนวนไทยที่ใช้ได้ทุกพื้นที่ ทุกเวลา ประวัติศาสตร์ในสงคราม สอนให้เรารู้ว่า ผู้อยู่เบื้องล่างย่อมถูกใช้งานอย่างไม่เป็นธรรมจากเบื้องบนเสมอ
สำหรับเรื่องราวดังกล่าวในวงการกีฬา ชื่อของ “มูฮัมหมัด ฮัสซาน” (Muhammad Hassan) คงคุ้นหูแฟนมวยปล้ำชาวไทยไม่น้อย จากเพลงเปิดตัวภาษาอาหรับอันเป็นเอกลักษณ์ และ คำพูดที่ถากถางประเทศสหรัฐอเมริกา เรียกเสียงโห่จากคนดูอยู่ตลอดเวลา
ท่ามกลางเสียงตอบรับสูงเสียดฟ้า อยู่ดีๆนักมวยปล้ำรายนี้หายไปจากหน้าจอทีวี ไม่มีเรื่องราวของของ มูฮัมหมัด ฮัสซาน บนเวทีมวยปล้ำอีก ท่ามกลางความสงสัยมากมายว่า เกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่?
Main Stand ขอพาคุณไปรับรู้เรื่องราวของ นักมวยปล้ำเชื้อสายยุโรป ผู้ยอมรับบทบาทชาวอาหรับ ก่อนยุติความฝันบนสังเวียน WWE (ดับเบิลยูดับเบิลยูอี) ด้วยเวลาไม่ถึงปี จากคำสั่งของสมาคมที่ต้องรักษาผลประโยชน์ของตัวเอง
เกิดอะไรขึ้นกับ มูฮัมหมัด ฮัสซาน ติดตามเรื่องราวที่เกิดขึ้นไปพร้อมกัน...
อิตาเลียนพันธ์ุอาหรับ
แม้หน้าฉาก มูฮาหมัด ฮัสซาน จะรับบทบาทเป็นวายร้ายเชื้อสายมุสลิม-อเมริกัน แต่แท้จริงแล้ว ฮัสซาน หรือในชื่อจริง มาร์ค ยูเลียน โคปานี (Marc Julian Copani) คือชายเชื้อสายอิตาเลียน-อเมริกัน โดยไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดอาหรับแม้แต่น้อย
ฮัสซานเริ่มเส้นทางของเขาในวงการมวยปล้ำ ในปี 2002 เขาหลงใหลกีฬาชนิดนี้ถึงกับยอมลาออกจากมหาวิทยาลัย เพื่อเดินหน้าบนสังเวียนอย่างเต็มตัว เขาตัดสินใจเซ็นสัญญากับค่ายโอไฮโอ วัลเลย์ เรสลิง (Ohio Valley Wrestling) หรือ OVW ศูนย์ฝึกนักมวยปล้ำของ WWE ในขณะนั้น
ชีวิตมวยปล้ำฮัสซานเป็นไปอย่างราบรื่น เขาคว้าแชมป์ OVW มาครองด้วยวัย 22 ปี พร้อมพัฒนาฝีมือและภาพลักษณ์ จนพร้อมจะถูกดันขึ้นสู่ค่ายหลักอย่าง WWE ในปี 2004 ฮัสซานจึงได้รับข้อเสนอจาก จิม คอร์เน็ตต์ (Jim Cornette) ให้รับบทบาทเป็นนักมวยปล้ำอาหรับ ซึ่งถูกวางแผนเป็นตัวร้ายระดับท็อปของค่าย
“วันหนึ่ง จิม คอร์เน็ตต์ เรียกผมเข้าไปในห้องทำงาน เขาถามผมว่า คุณอยากรับบทเป็นอาหรับไหม? ผมคิดว่ามันตลกดีนะ แต่ผมพร้อมจะก้าวไปค่ายใหญ่ จึงตกลงรับบทบาทนั้น” ฮัสซานย้อนถึงวันที่ตกลงรับบทบาทอันอื้อฉาว
“ผมจำไม่ได้หรอกว่าเสียงตอบรับเป็นอย่างไร หลายคนตื่นเต้นที่จะมีบทบาทนี้ในค่ายอีกครั้ง แต่หลายคนรู้สึกว่ามันตลก เพราะผมเป็นแค่ใครสักคนที่หน้าเหมือนชาวอาหรับ จึงได้รับบทบาทนี้”
ปลายปี 2004 WWE เริ่มต้นปล่อยวิดีโอแนะนำตัว มูฮัมหมัด ฮัสซาน ให้แฟนมวยปล้ำได้รู้จัก เขาวางคาแรกเตอร์ของนักมวยปล้ำรายนี้ให้เป็นชาวมุสลิม-อเมริกัน ที่ได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมจากเพื่อนร่วมชาติหลังเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน พ.ศ. 2544 หรือ 9/11
“นี่คือประเทศที่ผมเติบโตมา ผมไปโรงเรียนเดียวกันกับคุณ กินอาหารเดียวกันกับคุณ ดูรายการทีวีเดียวกันกับคุณ และไม่มีความเป็นปรปักษ์ใดระหว่างเรา จนกระทั่ง 9/11 มันเปลี่ยนเรื่องทุกอย่างระหว่างผมกับผู้คนรอบตัว” คำพูดในวิดีโอแนะนำตัวของฮัสซาน สร้างเสียงตอบรับจากแฟนมวยปล้ำทั่วโลก
“คุณลองมองไปที่ความแตกต่างตอนนี้ อย่าพูดว่าคุณไม่รู้สึกอะไร ซื่อสัตย์กับตัวเอง อย่าตัดสินผมเพราะผมมีเชื้อสายอาหรับ อย่าตัดสินเพราะผมชื่อมูฮัมหมัด ผมคืออาหรับ-อเมริกัน และผมต้องการสิทธิ์ทุกอย่างที่ชาวอเมริกันคนอื่นได้รับ ถ้าคุณไม่ให้ความเคารพในแบบที่ผมต้องการ ผมจะเล่นงานทุกคนที่ยืนอยู่บนเส้นทางของผม”
เข้าถึงบทบาท
เมื่อเสียงต้อนรับร้อนแรงตั้งแต่ยังไม่เปิดตัวบนเวที คาแรกเตอร์ของมูฮัมหมัด ฮัสซาน จึงถูกเพิ่มแง่มุมของความเกลียดชังต่อสหรัฐอเมริกาให้มากขึ้น หลังปรากฏตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 13 ธันวาคม ปี 2004 แฟนมวยปล้ำทั่วโลกได้เห็นฮัสซานบูชาพระอัลลอฮ์บนเวที หรือ แปลทุกคำพูดของเขาเป็นภาษาเปอร์เซีย ผ่านผู้จัดการส่วนตัวชื่อไดวารี (Daivari)
“ผมชอบมันนะ ถึงผมจะรู้สึกเสมอว่ามันอาจจบลงไม่สวยนัก แต่พวกเขาเตรียมพร้อมกับทุกอย่างที่จะเกิดขึ้น ความคิดแรกของผมรู้สึกว่า มันต้องสร้างความเกลียดชังได้แน่ ซึ่งมันถูกต้องตามที่ผมคิด”
“เราเคยมีคาแรกเตอร์ไอรอน ชีค (Iron Sheik) และความหวาดกลัวต่อผู้คนจากต่างประเทศมาอย่างยาวนาน แต่ตัวตนของผมคือสิ่งที่สดใหม่ในการนำเสนอภาพนักมวยปล้ำมุสลิม บทบาทชาวอาหรับที่ผมคิดว่ามันเจ๋งมาก”
อย่างไรก็ตาม บทบาทการสวดบูชาพระเจ้าบนเวทีดำเนินไปไม่นานหนัก หลังชาวอาหรับ-อเมริกัน ประท้วงว่าเรื่องดังกล่าวเป็นสิ่งไม่เหมาะสม WWE จึงลดบทบาทฮัสซานที่เกี่ยวข้องกับความเป็นอาหรับลง และเพิ่มมุมมองความเกลียดชังต่อสหรัฐอเมริกาให้มากขึ้นไปอีก ซึ่งฮัสซานเองเห็นดีเห็นงามในแง่มุมดังกล่าวด้วยเช่นกัน
“ผมนำความจริงที่เกิดขึ้นเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบทบาท ความจริงที่เผชิญกับผู้คนในปี 2005 คือความหวาดกลัวต่อชาวต่างชาติที่เกิดขึ้นในปี 2001” ฮัสซานกล่าวถึงแนวคิดที่เขาสวมบทบาท
ด้วยเหตุนี้ ฮัสซานจึงแต่งตัวเป็นชาวมุสลิมแม้จะอยู่นอกเวทีมวยปล้ำ เขาสวมผ้าคลุมศีรษะ หรือ Ghutra ตามที่สาธารณะ โดยเฉพาะสนามบินที่เต็มไปด้วยแฟนมวยปล้ำ และเสนอคาแรกเตอร์ที่สวมบทบาทให้ทุกคนได้รับรู้ แม้มันอาจเป็นการกระทำที่มากเกินพอดี
“ผมได้รับข้อความขู่ฆ่า ทั้งทางโทรศัพท์และจดหมาย ผมไม่เคยรับมือกับมันได้ ผมแค่เลือกจะปฏิเสธมัน เพราะแค่รับมือกับคนที่พยายามจะเข้าถึงตัวและต่อยผมในทุกโชว์ มันก็ยุ่งมากพออยู่แล้ว”
“ผู้คนเกลียดผม เพราะผมไม่ได้รับบทเป็นคนอาหรับ ผมเป็นอาหรับ-อเมริกัน และผมกำลังบอกเล่าเรื่องราวที่คุณเห็นได้ในทุกวันของสังคม”
ความเกลียดชังอาจทำให้นักมวยปล้ำเจอกับอันตราย แต่อีกแง่มุม มันคือการสร้างกระแสที่ดีแก่สมาคม มูฮัมหมัด ฮัสซาน ได้รับการการันตีจากบอสใหญ่อย่าง วินซ์ แมคแมน (Vince McMahon) ว่าเขาสามารถเป็นสุดยอดดาวดังของค่าย
ฮัสซานจึงถูกผลักดันให้เจอกับนักมวยปล้ำระดับตำนานของ WWE ทั้ง ฮัลค์ โฮแกน (Hulk Hogan), ชอวน์ ไมเคิลส์ (Shawn Micheals) และ ดิ อันเดอร์เทคเกอร์ (The Undertaker) แม้จะเปิดตัวได้ไม่ถึงปี พร้อมกับข่าวลือว่าเขาอาจเป็นแชมป์โลกที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์
จนกระทั่ง เหตุการณ์ในวันที่ 7 กรกฎาคม ปี 2005 ได้ทำลายเส้นทางมวยปล้ำของ มูฮัมหมัด ฮัสซาน อย่างไม่มีวันหวนกลับ
“ผมกำลังเดินบนพื้นน้ำแข็งที่เปราะบาง แต่ตัวผมในตอนนั้นไม่ตระหนักถึงมันเลย” ฮัสซานย้อนรำลึกถึงความรู้สึก ก่อนถึงจุดสิ้นสุดอาชีพของเขา
ผู้ก่อการร้ายบนสังเวียน
เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นในศึกสแมคดาวน์ (Smackdown) วันที่ 4 กรกฎาคม ปี 2005 ซึ่งตรงกับวันประกาศเอกราชของสหรัฐอเมริกาพอดี WWE จึงวางบทบาทใหญ่ให้มูฮัมหมัด ฮัสซาน ที่กำลังเปิดศึกกับ ดิ อันเดอร์เทคเกอร์ เพื่อยกระดับความเกลียดชังต่อคาแรกเตอร์นี้เพิ่มขึ้นไปอีก
หลังจบแมตช์ระหว่าง ดิ อันเดอร์เทคเกอร์ กับ ไดวารี บทบาทที่ฮัสซานต้องเล่นคือ สรรเสริญต่อพระผู้เป็นเจ้าบริเวณทางเดิน จากนั้นจึงมีกลุ่มชายแต่งตัวคล้ายผู้ก่อการร้าย วิ่งออกมาเพื่อเล่นงาน ดิ อันเดอร์เทคเกอร์ ก่อนกลุ่มชายก่อการร้ายจะแบกไดวารีไว้เหนือหัว ในแง่มุมคล้ายการบูชา
ทุกอย่างในวันถ่ายทำเป็นไปด้วยดี จนกระทั่งกำหนดการออกฉายในวันที่ 7 กรกฎาคม เกิดเหตุระเบิดในกรุงลอนดอนจากฝีมือผู้ก่อการร้าย ทำให้มีผู้เสียชีวิต 56 ราย และผู้บาดเจ็บอีก 784 ราย
ท่ามกลางความเศร้าสลดที่กำลังปกคลุมคนทั่วโลก บนหน้าจอทีวีช่อง UPN วันเดียวกัน แฟนมวยปล้ำยังได้เห็น มูฮัมหมัด ฮัสซาน ใช้บทบาทผู้ก่อการร้ายเล่นงานคู่ต่อสู้ แม้ทุกอย่างดำเนินไปในแง่มุมของความบันเทิง แต่ช่วงเวลาดังกล่าวไม่มีใครรู้สึกขบขัน และคมดาบจากทั่วโลกกำลังพุ่งมาที่ WWE
ช่อง UPN ผู้ครองลิขสิทธิ์ทีวีรายการสแมคดาวน์ คือเจ้าแรกที่เริ่มโจมตี WWE พวกเขาประกาศอย่างเป็นทางการห้ามให้คาแรกเตอร์ มูฮัมหมัด ฮัสซาน ปรากฏตัวบนหน้าจอทีวีอีก โดยไม่สนใจเนื้อเรื่องใดที่กำลังดำเนินอยู่ทั้งสิ้น
“โปรดิวเซอร์เข้ามาบอกผมว่ามันกำลังเกิดอะไรขึ้น ตอนนั้นผมคิดว่าผมจะต่อสู้เพื่อปกป้องตัวเอง ออกรายการทอล์คโชว์ ขึ้นไปพูดบนเวทีหรืออะไรก็ได้ แต่สุดท้ายผมรู้ภายหลังว่า ไม่มีทีวีช่องไหนที่พร้อมต้อนรับเราเลย” ฮัสซานย้อนถึงเรื่องราววันดังกล่าว
“ผมจำไม่ได้หรอกว่าผมรู้เรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร ผมรู้เพียงว่าไม่กี่สัปดาห์หลังเหตุการณ์นี้ ผมมั่นใจว่าคาแรกเตอร์ มูฮัมหมัด ฮัสซาน จะไม่ได้กลับสู่หน้าจอทีวีอีก”
เพื่อยุติเรื่องราวที่กำลังค้างคาบนหน้าจอ มูฮัมหมัด ฮัสซาน ได้อนุญาตให้ขึ้นปล้ำแมตช์สุดท้ายในศึก เกรท อเมริกัน แบช (Great American Bash) วันที่ 24 กรกฎาคม ปี 2005 โดยตัวเขาต้องแพ้กับ ดิ อันเดอร์เทคเกอร์ อย่างราบคาบ และยุติบทบาทของ มูฮัมหมัด ฮัสซาน ไว้เท่านี้
ไม่ว่าด้วยความตั้งใจ หรือเพียงเพื่อความสะใจ WWE สั่งลา มูฮัมหมัด ฮัสซาน ด้วยการนำเสนอคาแรกเตอร์นี้เป็นผู้ก่อการร้ายโดยสมบูรณ์ ฮัสซานเปิดตัวมาพร้อมกองทหารปิดหน้าตาในชุดสีดำ โดยนั่งบนเสลี่ยงภาพลักษณ์คล้ายรถถัง ช่วยตอกย้ำความเป็นผู้ไม่หวังดีชาวอาหรับของตัวละครนี้เข้าไปอีก
เสียงอื้อฉาวจากแฟนมวยปล้ำ สปอนเซอร์ และ ผู้ถือครองลิขสิทธิ์ทีวี ดังขึ้นอีกครั้ง แต่ WWE ยืนยันว่า มูฮัมหมัด ฮัสซาน ได้จากทุกคนไปแล้ว ไม่ใช่เฉพาะแค่ในทีวี แต่จากวงการมวยปล้ำไปตลอดกาล
วันที่ 21 กันยายน ปี 2005 WWE ประกาศยกเลิกสัญญา มูฮัมหมัด ฮัสซาน อย่างเป็นทางการ ในวันเดียวกันนั้นเอง ฮัสซานประกาศอำลาวงการมวยปล้ำ ยุติความฝันบนพื้นผ้าใบในวัย 24 ปี
บทบาทที่ยังไม่จบสิ้น
ทุกวันนี้ ฮัสซาน ประกอบอาชีพเป็นรองครูใหญ่ ที่ไฮสคูลแห่งหนึ่งในเมืองซีราคิวส์ รัฐนิวยอร์ค บ้านเกิดของตัวเอง โดยตัวเขารับหน้าที่สอนวิชาสังคมศึกษา ซึ่งสอดคล้องกับบทบาทที่เขาได้รับ จนต้องจบอาชีพนักมวยปล้ำอย่างน่าประหลาด
“ผมคิดว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้คาแรกเตอร์ฮัสซานออกมาดีมาก คือความรู้ของผมในด้านประวัติศาสตร์ การเมือง จิตวิทยา และ สังคมศึกษา แน่นอนว่าเรามีนักเขียนสำหรับบทพูดของเรา แต่ในขณะเดียวกัน พื้นฐานความรู้และความสนใจในการเมืองของผม ช่วยพัฒนาคาแรกเตอร์นี้”
เมื่อมองย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่ยังเป็นนักมวยปล้ำ ฮัสซานเข้าใจดีว่าเหตุใดบทบาทของเขาจึงจบลงอย่างรวดเร็ว ภาพลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายยังเปราะบางต่อผู้คนทั่วไปในสังคม รวมถึงตัวละครที่ WWE แสดงออกมาผ่านตัวเขา ยังขัดแย้งจากความจริงของชาวอาหรับ-อเมริกัน มากทีเดียว
“ผมไม่ได้รับกระแสตีกลับจากชาวอเมริกันผิวขาว มันเป็นแรงตีกลับจากชาวอาหรับ-อเมริกัน ที่มองคาแรกเตอร์ของผมว่าเป็นการแสดงภาพลักษณ์ที่แย่ของพวกเขา ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมไม่สามารถปฏิเสธได้”
“ถึงแม้ว่า มูฮัมหมัด ฮัสซาน จะไม่ได้เป็นตัวละครที่ยึดโยงกับหลักศาสนา แต่เขาก็มีบทบาทที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มคนซึ่งลงมือฆ่าผู้บริสุทธิ์ ผมคิดว่าถ้าคุณย้อนกลับไปมองมัน ว่าสิ่งใดคือการล้อเลียน และสิ่งใดคือเรื่องที่แตะต้องไม่ได้ เราได้เข้าไปยุ่งกับความรู้สึกที่แตะไม่ได้ ของสหรัฐอเมริกา และ ยุโรปตะวันตก ในช่วงนั้น”
แม้ความฝันในการเป็นนักมวยปล้ำของฮัสซาน จะจบลงอย่างรวดเร็ว จากการบังคับคาแรกเตอร์ให้เดินไปอย่างย่ำแย่ และ ผิดที่ผิดทาง แต่ฮัสซานมองถึงข้อดีที่ได้รับจากเรื่องดังกล่าว เขาสนใจศึกษาวิชาประวัติศาสตร์อย่างจริงจัง โดยเฉพาะความขัดแย้งของชาวอาหรับและโลกตะวันตก ที่ยังเป็นปัญหาต่อเนื่องไม่สิ้นสุด
“ตอนนี้ชีวิตของผมเปลี่ยนแปลงไป ผมพูดคุยเรื่องการเล่าเรียนประวัติศาสตร์จากทั่วโลก ศาสนาอิสลามยุคใหม่และเก่า ศาสนาคริสต์ยุคใหม่และเก่า พวกเขาเปลี่ยนผันเป็นการปะทะกันทางพื้นที่ได้อย่างไร เราสามารถย้อนดูประวัติศาสตร์ของยุโรปตะวันตก และ ตะวันออกกลาง ได้ตั้งแต่สมัยสงครามครูเซด” ฮัสซานพูดถึงความสนใจที่ได้รับ จากบทบาทนักมวยปล้ำชาวมุสลิม
“ตอนที่ผมทำคาแรกเตอร์นี้ ความรู้สึกต่อต้านอิสลามยังเป็นเรื่องใหม่ของสหรัฐอเมริกา การโจมตีตึกเวิล์ดเทรดจุดความรู้สึกต่อต้านอาหรับ ต่อต้านอิสลาม ให้ติดขึ้นมา ย้อนกลับไปเมื่อปี 2005 มันคือเรื่องใหม่ แต่ตอนนี้ ผมคิดว่าประเทศเราปรับตัวเข้ากับมันได้แล้ว”
ไม่มีใครรู้ว่าในอนาคต คาแรกเตอร์นักมวยปล้ำอาหรับจะกลับมาสู่วงการอีกหรือไม่ จุดจบของเขาจะแตกต่างจาก มูฮัมหมัด ฮัสซาน มากน้อยเพียงใด ยังอยู่ในเครื่องหมายคำถามที่ไร้คำตอบ?
สิ่งเดียวที่เรารู้แน่ชัด คือเรื่องราวบนเส้นทางมวยปล้ำของ มูฮัมหมัด ฮัสซาน แม้ความสำเร็จของเขาจะยุติลงด้วยระยะเวลาอันสั้น แต่ชีวิตนอกเวทีของเขายังดำเนินต่อไป ในฐานะครูสังคมผู้สนใจประวัติศาสตร์
อันเป็นอิทธิพลจากบทบาทนักมวยปล้ำอาหรับ-อเมริกัน ที่เปิดโอกาสให้เขาได้ศึกษา และเข้าใจความขัดแย้งต่างวัฒนธรรม มูฮัมหมัด ฮัสซาน ช่วยสะท้อนมุมมองต่อชาวอาหรับในช่วงเวลานั้นได้อย่างน่าชื่นชม แม้สุดท้ายตัวละครดังกล่าวกลายเป็นเพียงผู้ก่อการร้าย ที่สังคมรุมประณามก็ตาม
แหล่งอ้างอิง :
http://www.prowrestlingsheet.com/muhammad-hassan-interview/#.XPyPHo_grIU
https://www.wrestlinginc.com/news/2016/02/muhammad-hassan-first-full-interview-in-years-heat-in-wwe-607505
https://forum.bodybuilding.com/showthread.php?t=151008863&page=1
https://www.wrestlinginc.com/news/2016/01/finding-muhammad-hassan-reconnecting-with-one-of-the-most-607021