Feature

Three Lions : บทเพลงเชียร์อังกฤษ ที่สะท้อนให้เห็นถึง "สัจธรรมชีวิต" | Main Stand

ทุกครั้งที่ทีมชาติอังกฤษเข้าสู่ทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลทีมชาติ เสียงเพลง ๆ หนึ่ง ก็มักจะมาพร้อมกับความรู้สึกของเหล่ากองเชียร์ทีมสิงโตคำรามเสมอ ... ความรู้สึกที่ว่า "ถ้วยแชมป์จะเดินทางมาสู่บ้านที่ให้กำเนิดกีฬาลูกหนัง"

 

นี่เอง คือที่มาของประโยค Football's coming home ซึ่งมาจากเพลงที่แต่งขึ้นเมื่อปี 1996

เหตุใดความนิยมของมันจึงยังไม่จางหายแม้กาลเวลาผ่านไป? บทเพลงดังกล่าวสะท้อนถึงอะไรจึงได้อยู่กลางใจแฟนบอลกว่า 2 ทศวรรษ? Main Stand ขอพาท่านไปทำความรู้จักกับเพลงอันดับ 1 ในใจแฟนบอลทีมสิงโตคำรามกันให้ลึกซึ้ง
 

It's coming home, it's coming home, it's coming.

Football's coming home

นี่คือเสียงเพลงที่คุ้นหูแฟนฟุตบอลอังกฤษเสมอ เพราะไม่ว่าจะในรอบสุดท้ายของรายการใด นี่คือเพลงที่ "ไม่เปิดไม่ได้" ยิ่งหากเกมใดที่ทีมสิงโตคำรามคว้าชัยชนะ แฟน ๆ ถึงกับร้องเพลงนี้ด้วยตัวเอง เพื่อเร่งเร้าให้ดีเจในสนามเปิดเพลงตาม จะได้ร้องตามกันอย่างสุดเสียง

อันที่จริงเพลงนี้ มันสะท้อนถึงความผิดหวังซ้ำซาก แต่มันกลับเป็นเพลงที่แฟนบอลอังกฤษเอามาร้องได้เสมอไม่มีเบื่อทุกครั้งยามทัพสิงโตคำรามลงศึกใหญ่ ความนิยมที่ไม่มีวันเหือดหายไปนี้เกิดขึ้นด้วยเหตุใดกัน ?

 

เมื่อฟุตบอลกลับบ้าน

เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นในปี 1996 ซึ่งอังกฤษได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ศึกใหญ่ระดับนานาชาติครั้งแรกนับตั้งแต่ฟุตบอลโลก 1966 ที่สามารถคว้าแชมป์ได้สำเร็จ

การได้กลับมาเป็นเจ้าภาพอีกครั้งหลังห่างหายมานาน บวกกับผลงานสุดเลิศหรูจากการเป็นเจ้าภาพรายการก่อนหน้า รวมถึงความย่ำแย่ของทีมสิงโตคำรามตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทั้งการตกรอบแรกยูโร 1992 และตกรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 1994 ทำให้พวกเขาหวังกับรายการนี้มากเป็นพิเศษ

เทอร์รี่ เวนาเบิ้ลส์ ผู้รับอาสาคุมงานที่มีความกดดันมากที่สุดของโลกในเวลานั้น คัดสรรเหล่าขุนพลนักรบในอาณัติด้วยความมั่นใจ เขาเลือกผสมผสานผู้เล่นมากประสบการณ์ที่เคยผ่านงานในฟุตบอลโลก 1990 อย่าง พอล แกสคอยน์, สจ็วร์ต เพียร์ซ และ เดวิต แพล็ตต์ กับหน้าใหม่ไฟแรงที่กำลังจะได้ลงแข่งในศึกใหญ่เป็นครั้งแรกอย่าง อลัน เชียเรอร์, แกรี่ เนวิลล์ รวมถึง แกเร็ธ เซาธ์เกต

และถือเป็นธรรมเนียมด้วยเช่นกัน ที่สมาคมฟุตบอลอังกฤษ หรือ เอฟเอ จะต้องออกเพลงเชียร์ของทีมชาติทุกครั้งเมื่อถึงศึกใหญ่ ซึ่งเกิดขึ้นครั้งแรกช่วงฟุตบอลโลก 1970 และประสบความสำเร็จงดงามแทบทุกครั้ง ยิ่งบวกกับกระแส บริทป็อป ที่กำลังดังสุดขีดในยุค 90 ศิลปินดังมากมายต่างก็พร้อมขันอาสาทำเพลงเชียร์แก่ทีมชาติของพวกเขา ด้วยความคิดที่ว่ามันถึงเวลาแล้วที่ทีมชาติอังกฤษจะต้องกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง

ทว่า เอียน โบรดี้ นักร้องนำวง The Lightning Seeds วงอัลเทอร์เนทีฟร็อกจากเมืองลิเวอร์พูลที่กำลังสร้างชื่อในประเทศ ณ ขณะนั้น จนเอฟเอติดต่อให้เป็นผู้แต่งเพลงเชียร์อย่างเป็นทางการของทีมกลับเห็นต่าง

"ในตอนนั้นผมมีความรู้สึกว่า งานนี้จะสำเร็จได้มันต้องมีคนช่วย ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวเท่านั้น และผมตั้งใจว่าจะไม่แต่งเพลงนั้นในฐานะที่เป็นเพลงเชียร์ของทีม แต่เป็นเพลงของกองเชียร์ ซึ่งทำให้ผมตัดสินใจไม่ให้นักเตะทีมชาติมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเพลงนี้ด้วยเช่นกัน"

ด้วยเหตุนี้ เขาจึงติดต่อ เดวิด แบดเดิล และ แฟรงค์ สกินเนอร์ คู่หูดาวตลกที่กำลังสร้างชื่อทั่วอังกฤษในยุค 90s จากการเป็นพิธีกรรายการ Fantasy Football League ให้มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของงานชิ้นนี้ โดยโบรดี้ที่เชี่ยวชาญงานดนตรีเขียนทำนอง ส่วนแบดเดิล และสกินเนอร์ ที่เข้าใจฟุตบอลในมุมของแฟนบอลอย่างดี รับหน้าที่ในส่วนของเนื้อร้อง ขณะที่การร้อง แบดเดิล, สกินเนอร์, โบรดี้ และวง The Lightning Seeds ทำหน้าที่ร่วมกัน

"ถึงกระนั้น ตอนแรกที่คนในเอฟเอได้ฟังเพลงนี้หลังแต่งเสร็จ พวกเขากลับเกลียดมันมาก ส่วนเหล่านักเตะก็รู้สึกเฉยๆ ค่อนไปทางช็อก" โบรดี้เผยถึงเหตุการณ์หลังเพลงเสร็จสมบูรณ์ได้ไม่นาน "วันที่พวกเราเล่นเพลงดังกล่าวให้พวกเขาฟัง เสียงตอบรับ ณ ตอนนั้นมีเพียงการเอาส้อมเคาะจานเป็นทำนองนิดๆ หน่อยๆ ตอนนั้นผมมีความรู้สึกเหมือนพวกนักเตะกำลังคิดว่า 'พวกแม่งร้องอะไรกันฟะ? ยังไงเราก็จบเห่แน่งั้นเหรอ?' แต่พอเราอธิบายความหมายของเพลงให้ฟังหลังเล่นจบ เทอร์รี่ เวนาเบิ้ลส์ รวมถึง พอล แกสคอยน์ ก็ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น เมื่อพวกเขาชอบไอเดียการนำเสนอของเรา ถึงตอนนี้ผู้หลักผู้ใหญ่ก็ยอมที่จะโอเคกับมันแล้ว"
 

สู่กลางใจแฟน
 

หลังจากนั้น ก็ถึงเวลาของการโปรโมทในวงกว้าง ซึ่งผลการตอบรับถือว่ายอดเยี่ยม เมื่อเพลงดังกล่าวสามารถทะยานขึ้นสู่อันดับ 1 ของชาร์ทเพลงที่อังกฤษได้สำเร็จ เบียดเพลง We're In This Together โดยวง Simply Red ซึ่งเป็นเพลงประจำการแข่งขันอย่างเป็นทางการให้มีผลงานดีที่สุดเพียงอันดับ 8 เท่านั้น

แต่ความสำเร็จขั้นสูงสุดของเพลงดังกล่าวในตอนนั้น เกิดขึ้นหลังสิ้นเสียงนกหวีดจบเกมนัดที่สองของรอบแบ่งกลุ่ม ที่ทีมชาติอังกฤษเอาชนะทีมชาติสกอตแลนด์ คู่ปรับร่วมสหราชอาณาจักร

แบดเดิลเล่าถึงช่วงเวลาแห่งความทรงจำนั้นว่า "วันนั้นพวกเราอยู่ในสนามเช่นกัน พอเกมจบลงด้วยชัยชนะของอังกฤษ ดีเจก็หยิบเพลงนี้มาเปิด ทันใดนั้นทุกคนที่อยู่ในสนามต่างก็พร้อมใจกันร้องเพลงนี้อย่างสุดเสียง แบบที่ผมก็ไม่นึกมาก่อนว่าแฟนบอลจะร้องเพลงนี้กันได้ มันเป็นช่วงเวลาที่น่าเหลือเชื่อมาก"

แต่เหตุใดที่ทำให้เพลงนี้ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม จนดีเจต้องเปิดเพลงนี้ทุกครั้งเวลาที่ทีมสิงโตคำรามลงสนามในศึกยูโรที่บ้านเกิดกัน?

"เพราะเพลงนี้ได้สะท้อนถึงความเชื่อไม่เสื่อมคลายของแฟนบอลที่มีต่อทีมครับ" โบรดี้เผย "ที่สำคัญคือ มันเข้ากับบรรยากาศของทัวร์นาเมนต์ใหญ่ ซึ่งทุกคนล้วนตั้งความหวังในทีมชาติของเราว่าจะกลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้ง"

และเมื่อย้อนมาดูที่เนื้อเพลงก็จะเห็นว่า เพลงดังกล่าวได้สะท้อนในสิ่งที่แฟนบอลเป็นกันจริงๆ ทั้งความผิดหวังที่ต้องประสบพบเจอเป็นประจำ (Everyone seems to know the score, they've seen it all before.They just know, they're so sure, that England's gonna throw it away, gonna blow it away.), ความเจ็บช้ำจากการถูกถากถาง (So many jokes, so many sneers. But all those 'Oh, so nears' wear you down through the years.), ความหลังอันแสนหวานชื่น (But I still see that tackle by Moore and when Lineker scored, Bobby belting the ball and Nobby dancing. - ซึ่งท่อนนี้ผู้แต่งได้นำช่วงเวลาแห่งความทรงจำของนักเตะทีมสิงโตคำรามในอดีตมาเป็นเนื้อเพลงด้วย) รวมถึงความหวังที่ไม่มีวันสิ้นสุด (I know that was then, but it could be again.)

นั่นทำให้ความหมายของ Football’s coming home. ประโยคทองในเพลงนี้ไม่ได้เป็นเพียงการสะท้อนว่าฟุตบอลได้กลับสู่แผ่นดินที่ให้กำเนิดอีกครั้งในศึกยูโร 1996 เพียงเท่านั้น แต่ผู้แต่งยังแฝงความหมายไว้อีกอย่างซึ่งตรงใจแฟนบอลอย่างยิ่ง ... ความหวังที่พวกเขาจะได้เห็นทีมชาติอันเป็นที่รักคว้าแชมป์นั่นเอง

"มันเลยทำให้เนื้อเพลงที่พวกเราแต่งในตอนนั้น ได้แทรกซึมสู่สังคมวงกว้างโดยที่ผู้คนไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันมาจากไหน" โบรดี้เสริม "ตอนแรกแฟนเพลงนึกว่าเราร้อง 'Three Lines' ตรงท่อนฮุกด้วยซ้ำ พอมาอ่านเนื้อเพลงจริงๆ พวกเขาจึงสงสัยว่า 'ทำไมต้อง Three Lions ด้วย?' ผมเลยตอบว่า 'ก็มันอยู่บนเสื้อน่ะสิ' ซึ่งสาเหตุที่มีคำนี้ในเพลง ก็เพราะในตอนนั้นผมคิดว่า คนอังกฤษหลายคนคงตอบไม่ได้หรอกว่าโลโก้บนเสื้อทีมชาตินั้นคืออะไร และมันก็ช่วยได้จริงๆ"

ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ สัจธรรมความจริงที่แฟนบอลต้องประสบตามความหมายของเพลงนี้ ไม่เพียงแต่จะโดนใจชาวอังกฤษเท่านั้น แต่แฟนบอลในประเทศอื่นๆ อย่าง สเปน หรือแม้แต่ เยอรมนี ก็ยังอินไปกับมันด้วย เราจึงได้เห็นการนำเพลงนี้มาเปิด มาร้อง ระหว่างเกมทีมชาติของทีมอื่นๆ เช่นกัน

ส่วนผลงานของทีมชาติอังกฤษในศึกยูโร 1996 ก็กำลังไปได้สวย แม้ทีมจะทำได้เพียงเสมอสวิตเซอร์แลนด์ในนัดแรก แต่ชัยชนะเหนือสกอตแลนด์และฮอลแลนด์ก็เพียงพอที่พวกเขาจะผ่านเข้ารอบในฐานะแชมป์กลุ่ม ยิ่งบวกกับการที่ทีมสามารถเอาชนะในการดวลจุดโทษเป็นครั้งแรกในรอบ 8 ทีมสุดท้ายเหนือสเปน นักเตะและแฟนบอลต่างก็เชื่อมั่นว่า ความสำเร็จที่ห่างหายมา 30 ปี จะสิ้นสุดลงในปีนั้น

แม้ด่านสำคัญในรอบรองชนะเลิศจะเป็นเยอรมนี คู่ปรับตลอดกาลที่พวกเขาไม่เคยเอาชนะได้เลยในรอบสุดท้ายของรายการใหญ่ หลังจากที่เอาชนะมาในฟุตบอลโลก 1966 รอบชิงชนะเลิศก็ตาม

 

ผิดหวังซ้ำซาก

แต่แม้ความฝันของแฟนทีมสิงโตคำรามจะใกล้ความจริงขนาดไหน ที่สุดแล้วเรื่องแล้วก็จบอย่างเศร้าสร้อย เหมือนเนื้อท่อนแรกของเพลง เมื่อบทสรุปกลับเป็นเหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา คือลงเอยด้วยความผิดหวังแบบซ้ำๆ

เพราะพลันที่บอลจากปลายสตั๊ดของ แกเร็ธ เซาธ์เกต พุ่งไปโดนมือของ อันเดรียส ค็อปเค่ ในการดวลจุดโทษ พวกเขาก็ถึงคราวจบเห่อีกครั้ง แม้คนที่ดับความหวังจริงๆ จะเป็น อันเดรียส โมลเลอร์ ของฝั่งอินทรีเหล็กที่ยิงลูกตัดสินเกมเข้าหลังจากนั้นเพียงไม่กี่อึดใจก็ตาม

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า สื่อและแฟนบอลอังกฤษที่ถนัดอยู่แล้วเรื่องการหาแพะรับบาป จัดการส่งชื่อของกองหลังวัย 25 ปีในขณะนั้น เข้าสู่ทำเนียบเดียวกับเพียร์ซและ คริส วอดเดิ้ล ที่ยิงลูกโทษไม่เข้าจนทีมพ่ายศัตรูรายเดียวกันนี้ในรอบเดียวกันของฟุตบอลโลกเมื่อ 6 ปีก่อนทันที ซึ่งเจ้าตัวก็ทำได้เพียงรับสภาพความจริงที่เกิดขึ้นเท่านั้น

"เรื่องใหญ่ที่สุดที่ผุดขึ้นมาในเสี้ยววินาทีนั้น คือผมทำให้เพื่อนร่วมทีม และคนทั้งชาติผิดหวัง" เขากล่าว

"ตอนที่อังกฤษคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 1966 ผมยังไม่เกิด ขณะที่ปี 1990 ก็ยังเด็กเกินไปสำหรับการติดทีมชาติ หากนับเฉพาะฟุตบอลสมัยใหม่ ยูโรครั้งนั้นถือเป็นศึกใหญ่ที่สุดสำหรับหลายๆ คนเลยก็ว่าได้ เพราะมันเกิดขึ้นในบ้านของเราเอง"

"ยิ่งเมื่อผู้เล่นอย่าง สจ็วร์ต เพียร์ซ ที่อุตส่าห์เปลี่ยนใจกลับมารับใช้ชาติอีกครั้ง ต้องอำลาทีมชาติไปด้วยความผิดหวัง ผมก็ยิ่งรู้สึกไม่ดีเข้าไปใหญ่"

ขณะที่สามทหารเสือผู้ร่วมกันรังสรรค์เพลงฮิตอันดับ 1 ของยูโร 96 แม้จะใช้ความผิดหวังครั้งนั้นมาเปลี่ยนเป็นไอเดีย แปลงเนื้อเพลงเสียใหม่ ทั้งการเอาเหตุการณ์ที่เซาธ์เกตยิงลูกโทษพลาดมาเปิดเพลง, เปลี่ยนชื่อนักเตะที่เอ่ยถึงให้ร่วมสมัยมากขึ้น รวมถึงอัพเดทบริบทในเพลงให้สามารถเปิดซ้ำๆ ได้โดยไม่ตกยุค ออกเป็นผลงานภาคต่อในชื่อ Three Lions ('98) จนกลายเป็นเพลงฮิตหมายเลข 1 แห่งศึกฟุตบอลโลก 1998 ที่ประเทศฝรั่งเศส แซงหน้า (How Does It Feel to Be) On Top Of The World? เพลงเชียร์อย่างเป็นทางการของทีมสิงโตคำรามในฟุตบอลโลกคราวนั้น ที่ได้วงดังอย่าง Spice Girls มาร่วมขับร้องให้ชนิดไม่เห็นฝุ่น


แต่พวกเขาก็ไม่วายถูกวิจารณ์ว่า ผลงานระดับมาสเตอร์พีซชิ้นนี้คืออีกสาเหตุที่ทำให้ทีมชาติอังกฤษต้องพบกับความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากเนื้อเพลงที่ไม่ค่อยจรรโลงใจเท่าใดนัก จนทั้งสามต่างต้องผลัดเปลี่ยนออกมาสวนกลับอยู่เนืองๆ ว่า เหล่านักวิจารณ์ก็วิเคราะห์กันเป็นตุเป็นตะไปเรื่อย เพลงแค่เพลงเดียวมันจะส่งผลต่อความล้มเหลวของทีมฟุตบอลสักทีมได้อย่างไรกัน?

 

ความฝันที่ไม่มีวันจางหาย

กาลเวลาผ่านไปกว่า 20 ปีหลังจากที่เพลงนี้เข้ามากระทบโสตประสาทของคนฟังเป็นครั้งแรกจนถึงตอนนี้ สถานการณ์ต่างๆ ก็ยังคงเหมือนเดิม เมื่อทีมชาติอังกฤษยังไม่สามารถก้าวไปถึงตำแหน่งแชมป์ได้อย่างที่หวัง แถมบางครั้งยังสาหัสหนัก ถึงขั้นตกรอบคัดเลือกเหมือนเมื่อศึกยูโร 2008

แต่ถึงกระนั้น หากความฝันสูงสุดของแฟนบอลชาวไทย คือการได้เห็นทีมชาติไทยไปลุยศึกฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายฉันใด แชมป์ทัวร์นาเมนต์ใหญ่ในนามทีมชาติ ก็ยังคงเป็นเพชรยอดมงกุฎที่แฟนบอลอังกฤษหวังไขว่คว้ามาครอบครองอยู่เสมอ ทุกครั้งที่ทัวร์นาเมนต์ทีมชาติมาถึง เสียงร้อง Football's coming home. ก็จะดังเซ็งแซ่อยู่เสมอ พร้อมกับความหวังที่ว่า ปีนี้ต้องถึงทีของพวกเขา

แต่เหตุใดกัน ที่ทำให้พวกเขาไม่เคยเข็ด แม้จะต้องเจอกับความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า?

นิค ฮอร์นบี้ นักเขียนนวนิยายชื่อดังของอังกฤษเจ้าของผลงานเบสท์เซลเลอร์อย่าง Fever Pitch มองว่า

"ภาวะธรรมชาติสำหรับแฟนฟุตบอลทุกคนนั้นคือความผิดหวังอันแสนขมขื่นครับ แต่ขณะเดียวกัน ความคาดหวังทั้งในทางดีหรือร้าย ก็มักจะมาพร้อมกันเสมอ ซึ่งส่วนใหญ่เราก็มักมีความหวังลึกๆ ว่าผลลัพธ์จะออกมาสวยงามมากกว่าอยู่ดี"

ขณะที่แบดเดิลและสกินเนอร์มองว่า เพลงของพวกเขาสะท้อนถึงการเป็นแฟนฟุตบอล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แฟนฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ ได้อย่างตรงเผงที่สุด

"จะเรียกว่า มันเป็นเพลงเกี่ยวกับความรักอันหวานอมขมกลืนที่มีต่อทีมชาติอังกฤษก็คงไม่ผิดอะไร"

"มันเป็นเพลงที่เหมือนกับจะตัดพ้อถึงความล้มเหลวที่มีมาโดยตลอดก็จริง แต่ขณะเดียวกัน มันก็เป็นเพลงที่เราทุกคนอยากร้องให้สุดเสียงทุกครั้งก่อนเกม รวมถึงตอนที่ทีมได้รับชัยชนะอยู่เสมอไม่มีเบื่อ เพราะในความผิดหวังที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ มันมีความหวังในสิ่งที่กำลังจะมาถึงอยู่ด้วยเสมอนั่นเอง"

เรื่องดังกล่าวได้สะท้อนผ่านสถิติที่บันทึกว่า ในวันที่ทีมชาติอังกฤษชนะจุดโทษโคลอมเบีย มีการเปิดเพลง Three Lions ผ่าน Spotify บริการสตรีมมิ่งเพลงชื่อดังมากถึง 450,000 ครั้งในวันเดียว ขณะเดียวกัน การสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับเพลงนี้ รวมถึงประโยค Football's coming home ใน Google ยังเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญทุก 2 ปี พูดง่ายๆ ก็คือ ฟุตบอลโลกหรือยูโรมาถึงเมื่อใด ก็จะยิ่งมีการพูดถึงเพลงนี้มากขึ้นเป็นเงาตามตัว

จริงอยู่ที่หากว่ากันถึงความหมาย เพลง Three Lions นั้นคงเทียบไม่ได้กับเพลงเชียร์ทีมชาติอังกฤษเพลงอื่นๆ อย่าง World In Motion หรือแม้แต่ Vindaloo ขณะเดียวกัน การที่มันไม่ใช่เพลงประจำการแข่งขันฟุตบอลโลกอย่างเป็นทางการ ก็ทำให้เพลงนี้ไม่ได้อยู่ในทำเนียบเดียวกับเพลงอย่าง Un'estate italiana (To Be Number One), La Copa de la Vida (The Cup of Life) หรือ Waka Waka ด้วยเช่นกัน

แต่หากจะหาเพลงใดที่สามารถแทนใจแฟนบอลอย่างเราๆ ท่านๆ หรือแม้กระทั่งนักฟุตบอลได้ตรงกับความเป็นจริงที่สุด ก็คงจะหนีไม่พ้นเพลงนี้ เพราะแม้แต่ตัวเซาธ์เกตเอง ก็ยังรู้สึกแบบเดียวกัน ซึ่งเจ้าตัวเคยกล่าวถึงเรื่องนี้ ตอนที่อังกฤษชนะจุดโทษโคลอมเบีย ในฟุตบอลโลก 2018 รอบ 16 ทีมสุดท้าย

"แม้ชนักปักหลังจากการพลาดจุดโทษครั้งนั้นจะคงอยู่กับผมไปตลอดกาล แต่ผมเชื่อว่าชัยชนะจะเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับทุกคน รวมถึงนักเตะในทีมของเรา"

"ที่ผ่านมาเราเคยพบกับความผิดหวังมากมาย แต่ถึงตอนนี้เราก็ได้ใช้ผลงานตอบข้อกังขาไปแล้วก็ไม่น้อย เราผ่านรอบแบ่งกลุ่มได้ ผ่านรอบน็อกเอาต์ได้ แถมยังชนะดวลจุดโทษได้แล้วด้วย ทุกอย่างเหล่านี้ได้เพิ่มความเชื่อมั่นให้กับเรามากกว่าแต่ก่อน รวมถึงแฟนๆ ที่บ้านซึ่งเชื่อในตัวเรายิ่งกว่า หลายคนบอกว่าฟุตบอลกำลังจะกลับสู่บ้านที่เคยอยู่ แต่เรายังสนุกกับมัน และไม่อยากกลับบ้านในตอนนี้หรอกนะ"

ท่ามกลางความสมหวัง ความผิดหวัง คำชม หรือแม้กระทั่งคำเหยียดหยาม แต่แฟนบอลอังกฤษ รวมถึงแฟนบอลทั่วทุกมุมโลกต่างก็มีบางสิ่งที่เหมือนกัน นั่นคือความหลังอันแสนหอมหวานอันยากจะลืมเลือน รวมถึงความหวังอันแรงกล้าที่พวกเขาจะได้เห็นทีมอันเป็นที่รักประสบความสำเร็จอีกครั้ง

นั่นทำให้แม้ผลลัพธ์สุดท้ายในฟุตบอลโลก 2018 ของทีมชาติอังกฤษจะลงเอยด้วยความผิดหวังอีกครั้ง กับการคว้าอันดับ 4 จนต้องบวกเวลารอคอยความสำเร็จเพิ่มต่อไปอีกเรื่อยๆ และไม่รู้ว่าในศึกยูโร 2020 จะสมหวังสักทีหรือไม่ แฟนบอลทีมสิงโตคำรามทุกคนก็ยังพร้อมเสมอที่จะร้องเพลงนี้ออกมาให้สุดเสียงในทุกครั้งที่ทีมชาติของพวกเขาลงสนามอย่างแน่นอน ...

เพราะเมื่อมีความฝัน ก็ย่อมมีความหวังรออยู่เสมอ ... เหมือนกับทุกๆ เรื่องในชีวิตของเรานั่นแหละ

 

แหล่งอ้างอิง

http://www.songfacts.com/detail.php?id=7259
https://www.radiox.co.uk/features/three-lions-baddiel-skinner-lightning-seeds-video/
http://www.officialcharts.com/chart-news/celebrating-football-anthem-three-lions-20-years-on-it-was-certainly-trite-and-twee-but-ingratiating-too__15213/
https://www.bbc.com/news/entertainment-arts-36458805
https://www.bbc.com/news/newsbeat-44711564
https://www.telegraph.co.uk/music/artists/thirty-years-hurt-three-lions-broke-football-song-curse/
https://www.theguardian.com/music/2014/jun/11/ian-broudie-lightning-seeds-three-lions-world-cup-interview
https://www.theguardian.com/commentisfree/2014/jul/16/germans-singing-three-lions-footballs-coming-home
https://www.theguardian.com/football/2018/jul/03/england-have-created-their-own-history-gareth-southgate-world-cup
https://www.economist.com/prospero/2018/07/03/three-lions-perfectly-captures-the-masochism-of-supporting-england
https://www.independent.co.uk/sport/football/world-cup/three-lions-lyrics-in-full-its-coming-home-england-world-cup-2018-anthem-skinner-baddiel-a8430331.html
https://inews.co.uk/sport/football/world-cup/three-lions-its-coming-home-england-world-cup-spotify-youtube-views-popularity-plays/
https://talksport.com/football/338650/i-might-not-have-survived-manager-without-euro-96-semi-final-penalty-miss-says-gareth/

Author

เจษฎา บุญประสม

Content Creator ผู้ชื่นชอบการกิน, ท่องเที่ยว และดูกีฬาแทบทุกประเภท โดยเฉพาะฟุตบอล, อเมริกันเกมส์, มอเตอร์สปอร์ต, อีสปอร์ต

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ