
ลามีน ยามาล ไม่ใช่แค่นักเตะดาวรุ่ง แต่คือนักเตะระดับโลกทั้งในแง่ฝีเท้าและมูลค่านอกสนาม
ดังนั้นคุณจึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไม "เด็กหนุ่ม" แบบเขาจึงมีข่าวดราม่าได้ไม่เว้นแต่ละวัน จนบางคนบอกว่า เขากำลังจะมีปัญหาจากการกระทำและคำพูดที่ขาดความยับยั้งชั่งใจ
จาก "หนุ่มเฟี้ยว" เขาจะสามารถเป็น "หนุ่มจืด" ที่โฟกัสแต่เรื่องในสนามได้หรือไม่ ? เจาะลึกตั้งแต่การเลี้ยงดูในครอบครัว และสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาในโลกฟุตบอลกับ Main Stand
โตมาไม่เหมือนใคร
ในแง่มุมของนักฟุตบอลนั้น ลามีน ยามาล เป็นนักฟุตบอลที่เติบโตมาแบบไม่เหมือนใครในโลกลูกหนัง ด้วยสาเหตุที่เข้าใจได้ง่าย ๆ แม้แต่ระดับโคตรนักเตะของโลกในอดีต ก็ไม่มีคนไหนที่มีคุณสมบัติคล้ายกับเขา

เล่นให้ทีมชุดใหญ่ของหนึ่งในสโมสรที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง บาร์เซโลน่า ตั้งแต่อายุ 15 ปี และตลอดเส้นทางก็โดนสื่อจับจ้องอยู่ตลอดเวลาในฐานะเด็กมหัศจรรย์ แม้แต่ คีลิยัน เอ็มบัปเป้ ที่แจ้งเกิดตั้งแต่อายุ 17-18 ปี ก็ยังยอมรับว่า โลกฟุตบอลที่ ยามาล เติบโตนั้นกดดันกว่าโลกของเขาเยอะ จนเขาไม่สามารถจะให้คำแนะนำอะไรให้กับรุ่นน้องต่างสโมสรคนนี้ได้เลย
"ลามีน ยามาล เล่นให้กับสโมสรที่ในแง่ของสื่อมีอิทธิพลมากกว่าสโมสรของผมตอนเริ่มต้นเยอะมาก ด้วยความเคารพต่อโมนาโก แต่บาร์เซโลน่า มันใหญ่กว่านั้นมาก" เอ็มบัปเป้ กล่าวไว้เมื่อไม่นานมานี้
ตัดมาที่อีกแง่มุมหนึ่งของเขา นั่นคือแง่มุมของชีวิตความเป็นอยู่และครอบครัว ยามาล เติบโตขึ้นในย่านมาทาโร ใกล้เมืองบาร์เซโลน่า ในครอบครัวเชื้อสายผสม พ่อเป็นชาวโมร็อกโก แม่มาจากอิเควทอเรียลกินี ซึ่งเป็นประเทศในตอนกลางของทวีปแอฟริกา บ้านของเขาไม่ได้ร่ำรวย แต่เต็มไปด้วยความพยายามของพ่อแม่ที่อยากให้ลูกชายได้มีอนาคตที่ดีกว่าเดิม
และการเป็นเด็กเชื้อสายแอฟริกันในประเทศสเปนไม่ใช่เรื่องง่าย โลกของฟุตบอลอาจเปิดกว้างให้เขาเข้าไปในตอนแรก แต่ในชีวิตประจำวัน เขายังต้องเจอกับสายตาจับจ้อง และต้องพยายามพิสูจน์ตัวเองตลอดเวลา ซึ่งเรื่องการเหยียดเชื้อชาติในสเปน ก็ถือเป็นสิ่งที่ยังเกิดขึ้นอยู่บ่อย ๆ ถ้าใครติดตามข่าวเกี่ยวกับฟุตบอล ก็น่าจะได้เห็นสิ่งที่ วินิซิอุส จูเนียร์ เคยออกมาเรียกร้อง หลังจากเขาโดนเหยียดผิวตลอดช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา
เมื่อเอาโลกทั้งสองใบมารวมกัน คุณน่าจะเริ่มมองออกว่า ยามาล เติบโตบนเส้นทางชีวิตและเส้นทางฟุตบอลที่แตกต่างและยากจะหาใครเหมือน และการจะบอกว่าแรงกดดันที่เขาเผชิญ มันมากกว่าที่ เอ็มบัปเป้ และ เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ เจอในวัยเดียวกันก็คงจะไม่ใช่เรื่องเกินจริง

ในขณะที่ เอ็มบัปเป้ เติบโตจากเมืองหลวงและสร้างชื่อกับทีมม้ามืด ขณะที่ ฮาลันด์ ก็มาจากครอบครัวนักฟุตบอลอาชีพ ยามาล กลับต้องเริ่มต้นในสังคมที่ไม่ง่ายเลยสำหรับเด็กผิวดำเชื้อสายผสมในยุโรป เขาไม่ได้เกิดมาในระบบที่พร้อมรับมือกับชื่อเสียง แต่กลับต้องเรียนรู้วิธีรับมือกับมันตั้งแต่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ
ดังนั้นเมื่อถึงวันที่เขาดังเป็นพลุแตก กลายเป็นนักฟุตบอลระดับแถวหน้า ตั้งแต่อายุยังไม่เต็ม 17 ปี เราจึงได้เห็นแง่มุมเฮ้ว ๆ ที่นักเตะเกรดท็อประดับเดียวกับเขาไม่ค่อยแสดงความคิดเห็นหรือแสดงออกอะไรที่มันสุ่มเสี่ยงต่อการสร้างภาพลักษณ์ในเชิงลบของแฟนบอลส่วนใหญ่แบบที่ ยามาล เป็น
เล่นกับไฟ
ปกติแล้วโดยลักษณะนิสัยที่คนรอบข้างพูดถึง ยามาล หลายคนมักจะบอกว่า ยามาล เป็นเด็กที่รักการเป็นตัวเอง เขาหัวเราะง่าย พูดตรง ชอบเล่นมุก และไม่กลัวที่จะ "พูดในสิ่งที่คิด"
ไม่ว่าจะเป็นการตอบคำถามต่อหน้าสื่อ ที่ล่าสุดกลายเป็นประเด็นร้อนสุด ๆ หลังจากที่เขาตอบคำถามเชิงทีเล่นทีจริงตอนไปปรากฏตัวในฟุตบอล Kings League ที่จัดโดย เคราร์ด ปิเก้ หรือโพสต์ภาพกวน ๆ ลง Instagram ก่อนเกมใหญ่ ทุกอย่างคือความสนุกของวัยรุ่นธรรมดาคนหนึ่ง ... นั่นอาจจะเป็นสิ่งที่เขา หรือแฟนคลับของเขาหลายคนคิด

ทว่าโลกนี้มันมี 2 ด้านเสมอ และสิ่งที่ ยามาล อาจจะลืมคิดไปคือ แม้เขาจะอายุแค่ 18 ปี แต่เขาเป็นข้อยกเว้นกรณีพิเศษ เพราะว่าเขา "ไม่ใช่วัยรุ่นธรรมดา" แต่เขาคือนักเตะของ บาร์เซโลน่า เขาคือสัญลักษณ์ของอนาคตทีมชาติสเปน เขาคือแบรนด์ที่มีมูลค่ามหาศาลในตัวคนเดียว
ดังนั้นทุกคำพูด ทุกอารมณ์ และทุกโพสต์จึงถูกขยายออกไปจนกลายเป็นข่าวทันที สิ่งที่เคยเป็นเสน่ห์ กลับกลายเป็นประเด็นที่ทำให้หลายคนมองว่า "ยามาลยังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจโลกของมืออาชีพ"
ทั้งหมดนี้เขาทำแบบสนุก ๆ ตามสไตล์ แต่กลายเป็นว่ามันคือการ "เล่นกับไฟ" เพราะสุดท้ายกระแสตีกลับอย่างแรง แม้แต่แฟน บาร์ซ่า ก็มีจำนวนไม่น้อยที่ไม่พอใจกับท่าทีของเขา มองว่าเป็นความอวดดีที่เกินงาม แม้จะเข้าใจว่าเขายังเป็นวัยรุ่นชอบหยอกล้อ แต่หลายคนรู้สึกว่ามันคือสิ่งที่มากเกินไป
เสียงวิจารณ์จากแฟนบอลของตัวเอง ทำให้ฝั่งสโมสรบาร์ซ่าเองก็ต้องหันกลับมามองตัวเอง และเริ่มตั้งคำถามใหม่ว่า พวกเขาจะจัดการอย่างไรกับดาวรุ่งที่ทั้งเก่งและกล้าเกินไปคนนี้ ?
เรียกได้ว่ากรณีที่เกิดขึ้นกับ ยามาล คือเคสแรกที่ บาร์ซ่า ควรเอาหลักสูตรนี้ไปใช้เป็นหลักสูตรในการเตรียมรับมือดาวรุ่งฝีเท้าดีจาก ลา มาเซีย ที่ก้าวขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ด้วยความพร้อมทั้งในสนามและแบรนดิ้งที่แข็งแกร่ง เพื่อหาความพอดีของเรื่องนี้ให้เจอ ทำให้นักเตะสามารถเป็นตัวของตัวเองได้ และยังเป็นนักเตะที่สร้างภาพลักษณ์ดี ๆ ให้กับทีมในเวลาเดียวกัน
แต่ถ้าถามว่าเรื่องนี้มันสำคัญจนถึงขั้นเป็นปัญหาระดับที่ต้องเปิดห้องประชุมถกเครียดกันเป็นวัน ๆ เลยหรือไม่ ? ก็คงต้องตอบว่า "ไม่ถึงขนาดนั้น"
เพราะถ้าเราลองมองย้อนกลับไปในโลกฟุตบอลตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน การขายข่าวของสื่อถือเป็นเรื่องปกติมาแต่ไหนแต่ไร และนักเตะที่ชอบพูดอะไรแบบขวานผ่าซาก หรือเล่นกับไฟก็มีมากมายในอดีต ใช่ว่า ยามาล จะเป็นดาวรุ่งที่ผ่าเหล่าผ่ากอ เปรี้ยวบนหน้าสื่อเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์เสียเมื่อไร
และเมื่อคุณมองไปที่ ยามาล หากคุณมองเขาผ่านโลกของความเป็นจริง คุณก็จะสามารถรู้ได้ทันทีว่า เขาคือดาวรุ่งที่เต็มไปด้วยพรสวรรค์ และเล่นฟุตบอลด้วยความมั่นใจ ซึ่งความมั่นใจนี่แหละที่ทำให้เขาเลี้ยงหลบผู้เล่นคู่แข่ง 2-3 คนได้แบบสบาย ๆ มันทำให้เขากลายเป็นคนพิเศษ

และการที่เขาทำเรื่องพิเศษ ๆ ราวกับเป็นของง่าย ๆ มันทำให้เขามีคาแร็คเตอร์ในแบบของตัวเอง ... คุณจะเปลี่ยนนักเตะที่มาถึงจุดนี้ได้ด้วยความห้าวก่อนวัยอันควร ให้กลายเป็นคนที่วางตัวแบบถ่อมตัวเหมือนกับคนธรรมดา ๆ อย่างนั้นน่ะเหรอ ?
มันคงเป็นเรื่องยากที่จะเป็นไปได้ในการได้เห็น ยามาล เดินหงิม ๆ อยู่เงียบ ๆ สงบเสงี่ยมเจียมตัวในเร็ว ๆ นี้ เพราะทุกก้าวที่กำลังเดินอยู่ถือเป็นก้าวที่เขาต้องเรียนรู้ทั้งในฐานะนักฟุตบอล และในฐานะมนุษย์คนหนึ่งที่กำลังโตขึ้นในทุก ๆ วัน
แล้วถ้าเป็นแบบนั้น ปัญหาของ ยามาล กับข่าวดราม่า มันคืออะไรกันแน่ ?
"ยามาล คือ ยามาล"
ในขณะที่หลายคนติติงความเฮ้วของเขา แต่ก็ยังมีแฟน ๆ อีกจำนวนไม่น้อยที่ชื่มชอบ ยามาล เพราะคาแร็คเตอร์ที่เต็มไปด้วยสีสันนอกสนามแบบนี้
หลายคนบอกว่า การมีคาแร็คเตอร์ที่ชัดแบบนี้เองที่ทำให้เขาเป็นขวัญใจของแฟนบอลรุ่นใหม่ โดยเฉพาะเด็ก ๆ ในวัยเจนอัลฟ่าที่แทบจะมี ยามาล เป็นไอดอลทั้งนั้น
พวกเขา … รวมถึงพวกเราที่อ่านบทความนี้อยู่ ต่างรู้จัก ยามาล ในฐานะตัวแทนของยุคสมัยสำหรับเด็กที่ไม่กลัวจะพูดออกไป ไม่กลัวจะโดดเด่นเกินไป แม้ว่าความโดดเด่นจะเป็นดาบสองคมก็ตาม

พูดง่าย ๆ ก็คือ นี่เป็นตัวตนของเขา ... เพียงแต่ว่าสิ่งสำคัญจริง ๆ ของเรื่องนี้คือ คนที่อยู่ข้าง ๆ เขา ก็ควรช่วยให้คำแนะนำและดูแลให้เขาแสดงออกแบบนอกกรอบได้ แต่เอาให้ "ไม่เกินพอดี"
เพราะถึงแม้สิ่งที่เขาพูดมันจะไม่ผิด และเป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล แต่ท้ายที่สุดแล้วเมื่อคำพูดออกจากปากเขาไป บางครั้งคำพูดเหล่านั้นก็สร้างความลำบากให้กับเขาเองนี่แหละ ... ยกตัวอย่างง่าย ๆ ก็คือดราม่ากับ เรอัล มาดริด ล่าสุด
เรื่องนี้ ฮันซี่ ฟลิค กุนซือของทีมได้พูดถึงเขาหลังเกมที่ บาร์ซ่า จบลงด้วยความพ่ายแพ้แบบที่ไม่ได้ต่อว่า ยามาล เลย แต่พยายามจะสะท้อนให้เขาเห็นภาพที่เกิดขึ้น และให้เขาเลือกที่จะเรียนรู้ว่า บางครั้ง การเป็นตัวเองในแบบที่ไม่หาเหาใส่หัวอาจจะเป็นอะไรที่ดีกว่า
"วันนี้ไม่ง่ายสำหรับเขา เขากำลังเรียนรู้ที่จะรับมือกับเสียงโห่และแรงกดดันจากแฟนบอล แต่มันก็เป็นเรื่องปกติ เขายังมีแรงจูงใจเต็มเปี่ยมอยู่ ... มาดริด ป้องกันได้ดี เล่นเกมรับได้เยี่ยม และบางครั้งคุณก็ต้องยอมรับเมื่อคู่แข่งเล่นเกมรับยอดเยี่ยม" นี่คือสิ่งที่ ฟลิค พูด
สิ่งที่ ยามาล ควรใส่ใจที่สุดคือ "ตัวเอง" และ "เกมฟุตบอลของเขา" เพราะมันสิ่งที่ชี้วัดของจริงสำหรับนักเตะอาชีพ ตราบใดที่ผลงานยอดเยี่ยม และพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลาใครก็จะมาว่าเขาไม่ได้ เพราะเขาทำหน้าที่นักฟุตบอลได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว
ส่วนเรื่องของการที่เขาตกเป็นเป้าของสื่อนั้น แทบไม่ต้องคิดอะไรมากนัก เพราะมันเป็นสิ่งที่ ยามาล ไม่สามารถควบคุมด้วย ด้วยสถานะนักเตะ No.1 ของ บาร์เซโลน่า (ยืนยันจากการรับค่าเหนื่อยแพงที่สุด ทั้ง ๆ ที่อายุแค่ 18 ปี) ไม่ว่าเขาจะทำอะไร มันจะเป็นเรื่องที่น่าสนใจ จนสื่อนำไปขยายให้ใหญ่อยู่เสมอ ... มันเป็นเรื่องธรรมดาที่นักเตะระดับท็อปของโลกทุกคนล้วนเคยเจอมาแล้ว
เปรียบเทียบให้เห็นภาพที่สุดคือ หากย้อนกลับไปยังเกม เอล กลาซิโก้ ครั้งที่ผ่านมา บาร์เซโลน่า เป็นฝ่ายชนะ และหากวันนั้น ยามาล ยิงประตูสุดสวยได้สักลูก เรื่องทั้งหมดจะถูกสื่อพูดอีกแบบหนึ่งแน่นอน การอวยแบบถล่มโลกก็จะเกิดขึ้น ... นี่คือความเป็นจริงที่คุณไม่สามารถปฏิเสธได้ เพราะนักเตะระดับโลกมีราคาที่ต้องจ่ายคูณสองเสมอ ไม่ว่าจะเรื่องเชิงบวกหรือเชิงลบก็ตาม

สำหรับ ยามาล มันคือการบอกว่า ท้ายที่สุด ... ไม่ใช่ทุกคนที่เกิดมาเพื่อเดินตามกรอบ บางคนสร้างแสงของตัวเองได้เสมอ และบางครั้ง แสงนั้นก็แรงจนโลกต้องหรี่ตามอง
ยามาล อาจไม่เปลี่ยน เขาอาจยังคงเป็นเด็กหนุ่มที่พูดตรง หัวเราะเสียงดัง และมีชีวิตชีวาในทุกสถานการณ์ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งผิด ตราบใดที่เขายังเคารพเกมฟุตบอล และยังคงสร้างผลงานในสนามอย่างยอดเยี่ยม
โลกฟุตบอลอาจพยายามเปลี่ยนเขาให้นิ่งกว่านี้ แต่บางที สิ่งที่ทำให้เขาพิเศษกว่าคนอื่น ก็อาจเป็นความไม่เรียบร้อยเหล่านี้นี่แหละ ที่ช่วยสร้าง ยามาล ให้เป็น ยามาล แบบทุกวันนี้
และท้ายที่สุด เรื่องกฎของการเติบโตและเรียนรู้ของมนุษย์คนหนึ่ง เชื่อเหลือเกินว่านักเตะอย่าง ยามาล จะฉลาดพอที่จะรู้ว่าตัวเองควรทำอะไรหรือไม่ทำอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่เขาได้รับบทเรียนด้วยตัวเองเช่นนี้ … ครั้งต่อไปเรามาดูกันดีกว่าว่า เขาจะรับมือกับเรื่องยุ่งเหยิงที่เข้ามาอย่างไร ? … นี่แหละคือสีสันที่ทำให้ฟุตบอลเป็นกีฬาที่มีเสน่ห์อย่างแท้จริง
แหล่งอ้างอิง
https://www.nytimes.com/athletic/6753263/2025/10/27/lamine-yamal-clasico-barcelona-real-madrid/
https://www.nytimes.com/athletic/6756555/2025/10/28/barcelona-yamal-clasico-fallout-madrid-elche/