Feature

แด่ความเป็นพ่อของ พอล สโคลส์ : ยอดนักเตะของโลก...ผู้เลือกเป็นโลกทั้งใบของลูก | Main Stand

พอล สโคลส์ ตำนาน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตัดสินใจอำลาอาชีพกูรูฟุตบอล เพื่อทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้ลูกชายที่ป่วยเป็นออทิสติกขั้นรุนแรง  

 

เบื้องหลังความเงียบของชายผู้ไม่ชอบเป็นข่าว คือเรื่องราวของพ่อคนหนึ่งที่ยอมวางทุกสิ่ง เพื่ออยู่ในโลกใบเดียวกับลูก แม้มันจะไม่ง่ายเลยก็ตาม

ร่วมสดุดีความเป็นพ่อของ สโคลส์ ไปกับ Main Stand 

 

สิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องเจอ

ไม่ว่าจะยากดีมีจน หรือร่ำรวยล้นฟ้า ชื่อเสียงล้นโลก แต่หนึ่งในสิ่งที่ทำให้ชีวิตมนุษย์ทุกคนมีรสชาติ และสร้างตัวตนของเราขึ้นมาในแบบที่เราอยากจะเป็นคือ "การจัดการกับเรื่องต่าง ๆ" ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ไม่ว่ามันจะเป็นสุขหรือทุกข์ มนุษย์ทุกคนล้วนต้องอยู่กับมันให้ได้

ปัญหาที่เข้ามาทดสอบคนเรานั้น แต่ละเรื่องล้วนแตกต่างกันไป และแต่ละคนก็ล้วนมีวิธีรับมือกับสิ่งเหล่านี้ในแบบของตัวเอง ดังคำกล่าวที่ว่า "ชีวิตใครชีวิตมัน" ทุกอย่างล้วนอยู่ที่เราเลือกเองเหมือนกับเรื่องของ พอล สโคลส์ และ เอเด็น ลูกชายวัย 21 ปี ที่ถูกตรวจพบว่าเป็นออทิสติกตั้งแต่อายุ 2 ขวบ 

และนี่คือตัวอย่างการจัดการชีวิต แบบที่ทุกคนในเรื่องนี้ ยังยิ้มรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างมีความสุข แม้จะเป็นความทุกข์ในมุมมองของคนอื่นก็ตาม 

เมื่อ เอเด็น ลูกชายคนที่ 2 ลืมตาดูโลกในปี 2004 พอล สโคลส์ ก็ถือว่าเป็นชายผู้มีทุกอย่างแบบที่เด็กทั่วโลกใฝ่ฝันจะเป็น เขาเป็นนักเตะระดับแถวหน้าของโลก มีรายได้ที่ดี และได้รับความนับหน้าถือตาในสังคม มันเป็นช่วงเวลาที่ทุกอย่างกำลังเข้าที่เข้าทางสำหรับผู้ชายคนหนึ่ง

แต่แล้วเมื่อ เอเด็น อายุได้ 2 ขวบ แพทย์พบว่าเขาเป็น ออทิสติก หรือ ภาวะความบกพร่องทางพัฒนาการที่ส่งผลต่อสมอง ที่อาจทำให้มีปัญหาในการสื่อสารและการเข้าสังคม ... เมื่อนั้น สโคลส์ ก็พบว่าตัวเองกับสู้กับสิ่งนี้ ท่ามกลางศึกในสนามที่ก็ไม่สามารถทิ้งได้ในทันที 

สโคลส์ เปิดเผยกับสื่อดังอย่าง The Telegraph ว่า ในช่วงแรกที่ เอเด็น ตรวจพบว่าเป็นออทิสติก มันเป็นไปไม่ได้เลยที่คนเป็นพ่ออย่างเขาจะไม่รู้สึกช็อก หัวใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม เพราะมันหมายความว่าต่อจากนี้ เขาและครอบครัว จะต้องช่วยกันดูแล เอเด็น เป็นพิเศษ มันเป็นความเสียสละตัวเองในระดับที่ "คนที่เคยเจอเท่านั้นจะเข้าใจ" 

สำหรับ สโคลส์ ในเวลานั้นเขารู้สึกเหมือนกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่รู้จะบอกเรื่องนี้กับใคร และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะบอกไปทำไม เขาพยายามจะบาลานซ์ชีวิตให้สมดุลทั้งกับการดูแลลูก และการเล่นฟุตบอลไปด้วย เขายอมรับว่า ยังคงมองไม่ออกว่าเรื่องนี้จะไปจบที่ตรงไหน ? 

 

รับมือ เสียสละ และทำด้วยความสุข 

สโคลส์ พยายามรับมือกับเรื่องนี้ด้วยตัวคนเดียว เขาไม่ได้บอกคนรอบตัวคนไหน แม้แต่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน คนที่รักเขาเหมือนลูก สโคลส์ ก็ไม่กล้าพูดด้วยซ้ำ เหตุผลไม่มีอะไรมากไปกว่า "พูดไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น" นั่นคือมุมมองของเขาในตอนแรก 

"ผมไม่ได้ต้องการให้ใครมาสงสาร ผมคิดว่าต่อให้ผมพูดเรื่องนี้ออกไปมันก็ยากจะเปลี่ยนอะไรได้ มันไม่ได้ช่วยอะไรเอเด็นได้อยู่ดี"

แกรี่ เนวิลล์ ยังจำได้ว่า หลายครั้ง สโคลส์ มาซ้อมพร้อมรอยข่วนตามหน้า ซึ่ง สโคลส์ อธิบายเอาภายหลังว่าเรื่องทั้งหมดเกิดจากความไม่เข้าใจของลูกชายในวัยเด็ก 

"เขาไม่ได้ตั้งใจ เขาแค่หงุดหงิดเพราะพูดไม่ได้ บอกไม่ได้ว่ารู้สึกยังไง ผมเข้าใจเขา"

"มันยากมาก โดยเฉพาะตอนเขายังเด็ก บางครั้งเขาทำร้ายตัวเอง หรือพยายามกัด ข่วน ผมพยายามสื่อแต่ด้านดี ๆ ของเขา เพราะอีกด้านมันหนักเกินจะอธิบาย"

เขาเลือกใช้ชีวิตแบบหวานอมขมกลืนแบบที่เลี่ยงไม่ได้ นอกจากนี้ การจะพูดเรื่องการเป็นออทิสติกในยุคสมัยนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำกันได้ง่าย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสื่ออังกฤษ หากพวกเขารู้ว่าลูกชายของอัจฉริยะแห่งยุคอย่าง พอล สโคลส์ เป็นเด็กพิเศษ ก็อาจจะมีการเล่นข่าว จนกระทั่งครอบครัวของเขาได้รับผลกระทบมากกว่าการเก็บเงียบเอาไว้คนเดียวก็เป็นได้ 

"ผมไม่เคยได้พักเลย แม้แต่ตอนที่ยังเป็นนักฟุตบอลอยู่ มันยากมาก ๆ ในสมัยนั้น ผมพยายามเก็บทุกอย่างไว้กับตัวเอง" สโคลส์ เริ่มเล่า

"ครั้งแรกที่เอเด็นตรวจพบว่าเป็นออทิสติก หลังจากนั้นไม่กี่วันผมต้องไปเล่นเกมเยือนกับ ดาร์บี้ และผมคิดว่าผมไม่ได้มีความรู้สึกอยากจะไปที่นั่นเลย จนกระทั่งต่อจากนั้นมา 1 สัปดาห์ ผู้จัดการ (เฟอร์กี้) ก็ตัดชื่อผมออกจากทีมในเกมต่อมา ตอนนั้นผมก็ยังไม่ได้บอกใครอีกเพราะมันยากที่จะสื่อสารเรื่องนี้" 

สโคลส์ พยายามอธิบายต่อว่า แม้เรื่องที่เกิดขึ้นจะทำให้เขาต้องเหนื่อยมากขึ้นทั้งกับชีวิตครอบครัวและชีวิตนักฟุตบอล แต่ สโคลส์ ก็พยายามทำทั้ง 2 อย่างไปพร้อม ๆ กัน เขาเริ่มศึกษางานวิจัยทางการแพทย์ อ่านหนังสือเกี่ยวกับโรคออทิสติก และเขายังย้ำอีกว่า สิ่งที่เขาเล่าออกมา ออกจะดูเหมือนกับความทุกข์ ความลำบาก แต่ในความรู้สึกของ สโคลส์ ทุกสิ่งที่เขาพยายามทำเพื่อ เอเด็น มันคือความสุข แม้มันจะทำให้เขาต้องเหนื่อยเพิ่มกว่าชีวิตปกติทั่วไปก็ตาม 

ยกตัวอย่างเช่นเรื่องที่ปกติก็ยากอยู่แล้วสำหรับเด็กธรรมดา อย่างการไปหาหมอฟัน ลองคิดดูว่ากับ เอเด็น ที่เป็นเด็กพิเศษ เรื่องนี้มันจะยากขึ้นแค่ไหน 

"อย่าเข้าใจผิดนะ เขาเป็นเด็กที่มีความสุขมาก และเขาให้ความสุขเรามากจริง ๆ" สโคลส์ กล่าว

"แต่บางครั้งคุณก็เจอสถานการณ์ที่ทำอะไรไม่ได้เลย เหมือนตอนที่เขาเจ็บฟัน ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะเขาพูดไม่ได้ เราต้องพาไปหาหมอฟันเฉพาะทาง แล้วให้เขาดมยาสลบด้วยแก๊สเพื่อรักษา มันทรมานมาก เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ต้องทนปวดฟันมา 8-9 เดือน คิดดูสิว่ามันทรมานแค่ไหน ... แค่คิดเรื่องนี้ขึ้นมาผมยังเจ็บใจแทน" 

สโคลส์ กับภรรยาของเขาเสียสละตัวเองเพื่อลูกชาย จนกระทั่งถึงวันที่เขาแขวนสตั๊ดในปี 2013 และช่วงเวลาหลังจากนั้นถือเป็นช่วงเวลาที่เขาต้องรับมือกับ เอเด็น มากขึ้น เพราะเขาก็เริ่มโตขึ้นด้วย และยิ่งต้องการความช่วยเหลือ การดูแลจากครอบครัวไม่ต่างจากตอนเป็นเด็ก ซึ่งเรื่องนี้มันยากขึ้น เพราะ สโคลส์ และ แคลร์ ภรรยาของเขา ตัดสินใจหย่าร้าง แยกทางกันในปี 2020

 

เส้นทางที่สวรรค์กำหนด 

หลังเลิกเป็นนักฟุตบอล สโคลส์ ก็มักจะรับหน้าที่เป็นพันดิท หรือกูรูด้านฟุตบอลให้กับช่องโทรทัศน์ต่าง ๆ โดยเฉพาะงานกับ TNT Sports ที่ทำให้เขาได้ออกมาหน้าจอให้แฟน ๆ ได้หายคิดถึงมากที่สุด 

ตัวของ สโคลส์ ก็ทำงานด้านนี้ไปด้วย และยังไม่เคยลดความสำคัญให้กับการดูแล เอเด็น ลูกชายของเขา ซึ่ง สโคลส์ มองว่าหน้าที่ความเป็นพ่อควรมาเป็นอันดับ 1 ต่อให้งานกำลังไปได้สวย แต่สุดท้ายเมื่อมันทำให้เขาต้องจัดการเวลายากสำหรับการดูแลลูก สโคลส์ ก็ไม่ลังเลเลยที่จะลาออกจากงานกูรู และทุ่มชีวิตทั้งหมดให้ลูกก่อนเป็นอันดับแรก

"เรื่องมันเกิดขึ้นมายาวยาน และผมก็เพิ่งตัดสินใจได้ในปีนี้ ปัญหาของผมคือคืนวันพฤหัสบดี ซึ่งมันเป็นเวลาที่ตรงกับผมต้องดูแลเอเด็น ลูกชายของผม  และเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับเขาทั้งหมด เพราะทุกสิ่งที่ผมจะทำ ล้วนเกี่ยวข้องกับการดูแลเขาในทุก ๆ ทาง"

"เขามีตารางการใช้ชีวิตต่าง ๆ ที่เรากำหนดเอาไว้แน่นอน ผมกับแคลร์เลิกกันแล้ว แต่เรายังแบ่งเวลาดูเขาคนละสามคืน และคืนวันศุกร์เขาจะไปอยู่กับคุณยายของเขา"

หากคุณยังนึกภาพไม่ออกว่า ทำไมงานด้านโทรทัศน์ที่ดูจะใช้เวลาแค่ไม่กี่นาทียังไม่สามารถทำได้ ? คำตอบคือ เอเด็น ไม่สามารถสื่อสารได้ และความจำของเขาจะจดจำสิ่งต่าง ๆ จากกิจวัตรประจำวันเท่านั้น ... ดังนั้น หากวันนี้ สโคลส์ มาสาย ดูแล เอเด็น ไม่ทัน เขาก็ยิ่งไม่ได้ฝึกความจำใด ๆ เพิ่มอีกเลย สำหรับ สโคลส์ มันคือการเสียโอกาสของลูกที่เขาไม่สามารถยอมให้มันเกิดขึ้นได้ 

"เขาอาจไม่รู้ว่าวันนี้วันอะไร แต่จะรู้จากสิ่งที่เราทำ เช่น ทุกวันอังคารผมจะไปรับเขาจากศูนย์ดูแลตอนบ่าย แล้วเราไปว่ายน้ำ จากนั้นแวะกินพิซซ่ากลับบ้าน"

"วันพฤหัสบดี เราไปกินข้าวด้วยกัน ส่วนวันอาทิตย์ ผมจะไปรับเขาที่บ้านแคลร์ แล้วไปเทสโก้ เขาจะซื้อของจนรถเข็นเต็มไปด้วยช็อกโกแลต ... เอเด็น อาจจะไม่รู้เวลา แต่เขารู้ว่า 'กิจกรรมแบบนี้' หมายถึงวันไหนในสัปดาห์" นี่คือเหตุผลที่ สโคลส์ ให้ความสำคัญอย่างมากกับเรื่องเวลา จนเขาต้องลาออกจากงานที่หลายคนใฝ่ฝันอยากจะได้โอกาสตรงนั้น 

ทั้งหมดนี้ไม่มีอะไรมากเกินไปกว่าคำว่า "ความเป็นพ่อ" แม้ที่สุดแล้ว เอเด็น อาจจะจำใครคนอื่น ๆ ไม่ได้ หรือแม้แต่ตัวของ สโคลส์ เองอาจจะหายไปจากหน้าจอจนแฟน ๆ ลืมเขาไป ... สำหรับเขา แค่นี้ไม่เป็นไรเลย เพราะเขาทิ้งหน้าที่ความเป็นพ่อไม่ได้จริง ๆ และเขารู้ว่าต่อให้คนอื่นจะมองเขาแบบไหน แต่สำหรับ เอเด็น เขาคือโลกทั้งใบของลูกชายคนนี้ ดังนั้นนี่จึงเป็นหน้าที่ที่เขาเลือกให้เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต 

"ตอนนี้ผมอายุ 50 แล้ว เขาก็อายุประมาณ 20 ปี … ผมคิดอยู่ตลอดว่า 'ถ้าวันหนึ่งผมไม่อยู่แล้ว จะเกิดอะไรขึ้นกับเขา' มันเป็นสิ่งที่วนอยู่ในหัวตลอดเวลา" นี่คือสิ่งที่ สโคลส์ บอก และยืนยันถึงเรื่องทั้งหมดได้เป็นอย่างดีว่า ในหัวใจและสมองของเขาในตอนนี้ ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่ไปกว่าชีวิตของ เอเด็น อีกแล้ว 

ส่วนแฟน ๆ ที่คิดถึงเขา นอกจาก Instagram ของเจ้าตัว @paulscholesaaa ก็มีพอดแคสต์ The Good, The Bad & The Football ที่เขาทำร่วมกับ นิคกี้ บัตต์ ตำนานแข้ง แมนฯ ยูไนเต็ด ร่วมรุ่นเดียวกันให้หายคิดถึง ซึ่งเจ้าตัวยอมรับว่า งานพอดแคสต์เช่นนี้ ทำให้เขาควบคุมกิจวัตรเพื่อให้ความสำคัญกับการดูแล เอเด็น ได้ง่ายกว่างานทีวีมาก

คำตอบของคำถามที่ สโคลส์ กังวลใจ อาจจะยังไม่สามารถหาคำตอบได้ แต่ ณ ตอนนี้สิ่งที่เขาทำได้ คือการทำให้ช่วงเวลาที่ยังมีกันและกันอยู่เต็มไปด้วยความสุข ความสัมพันธ์ และสร้างความทรงจำให้ได้มากที่สุด แม้ว่าท้ายที่สุดแล้ว เอเด็น อาจจะเก็บความทรงจำเหล่านี้ได้ไม่หมด แต่สำหรับคนเป็นพ่อ นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย 

ต่อให้ลูกไม่จำ แต่เชื่อเหลือเกินว่า ตัวของ สโคลส์ รู้ดีอยู่แก่ใจว่าเขาได้ทุ่มเต็มที่เพื่อลูกชายคนนี้อย่างสุดความสามารถ ... ต่อให้วันหนึ่งเขาจากโลกนี้ไป ความภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองทำจะไม่มีใครพรากไปจากเขาได้ และเขาจะกล้าไปพบพระเจ้าในอีกโลกด้วยความรู้สึกที่ไร้ซึ่งความติดค้างในหัวใจทั้งหมดอย่างแน่นอน 

 

แหล่งอ้างอิง

https://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-15241819/Paul-Scholes-Man-United-family-autistic-wife-children.html
https://www.bbc.com/sport/football/articles/c5ylkrkle22o
https://www.goal.com/en/lists/paul-scholes-reveals-heart-wrenching-reason-he-gave-up-punditry-man-utd-legend-lifts-lid-on-relationship-with-special-needs-son/blta95a3467b7030cf3
https://www.telegraph.co.uk/football/2025/10/30/paul-scholes-quits-commentary-autistic-son-aiden-man-utd/

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Photo

วัชพงษ์ ดวงแปง

Main Stand's Backroom staff

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ