Feature

รุ่งอรุณแห่ง "แม็คไกวร์" : เส้นทางการกลับมาของชายที่เคยถูกทั้งโลกหัวเราะเยาะ | Main Stand

ประตูชัยในเกมพรีเมียร์ลีกที่ แอนฟิลด์ เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2025 ทำให้ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ ปลดแอกคำวิจารณ์ที่เกาะกินตัวเขาลงได้อย่างสมบูรณ์แบบ ... นี่คือเครื่องยืนยันถึงการเปลี่ยนแปลงที่หลายคนไม่ได้สังเกตเห็นจากตัวเขาในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา

 


เมื่อโลกฟุตบอลหันหลังให้ เขากลับเลือกตอบด้วยผลงานในสนาม การกลับมาของแม็คไกวร์ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่คือบทพิสูจน์ว่า "ผลงาน" สำคัญกว่า "คำพูด"

ติดตามเรื่องของเขากับ Main Stand 

 

อะไร ๆ ก็แม็คไกวร์ 

ภาพลักษณ์ของ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ ถูกเปลี่ยนแปลงจากปราการหลังจอมแกร่งของ เลสเตอร์ และ ทีมชาติอังกฤษ เมื่อเขาย้ายมาเป็นสมาชิกของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยราคา 80 ล้านปอนด์ เมื่อปี 2019 เพราะช่วงเวลาหลังจากนั้น คือช่วงเวลาที่เราสามารถพูดได้ว่า เขากลายเป็นคนที่จะต้องรับผิดชอบ "ทุกครั้ง" ในวันที่ ปีศาจแดง ได้ผลการแข่งขันที่น่าผิดหวัง 

แม้หลายครั้งก็ต้องยอมรับว่า เขาเองนี่แหละที่แสดงความผิดพลาดออกมาด้วยตัวเอง แต่เขาย่อมต้องเข้าใจว่ามันเกิดขึ้นจากสถานะของเขา ณ ช่วงเวลาแย่ ๆ ดังกล่าวด้วย 

เขาเป็นปราการหลังตัวหลักของทีมชาติอังกฤษมาตั้งแต่ช่วงก่อนฟุตบอลโลก 2018 เป็นกัปตันทีมของสโมสรใหญ่อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งเป็นทีมที่มีคนจ้องแช่งชักหักกระดูกมากที่สุดทีมหนึ่งในประเทศ ตั้งแต่ปี 2020 ถึงปี 2023 ดังนั้นความผิดพลาดที่เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์จึงกลายเป็นเรื่องใหญ่เสมอ แม้จะเกิดขึ้นนอกสนาม เช่นตอนที่ แม็คไกวร์ ไปมีเรื่องกับตำรวจจนถูกจับระหว่างการไปพักร้อนที่ประเทศกรีซเมื่อปี 2020 ก็ตาม

คุณอาจจะพูดได้ว่าสื่ออังกฤษเป็นพวกชอบขุดคุ้ยและเล่นกันเอาตายไม่สนว่าใครเป็นใคร ดังที่ ลูก้า โมดริช เคยบอกว่า "นักข่าวและคนรอบข้างนักฟุตบอลอังกฤษนี่แหละคือตัวแปรสำคัญที่แท้จริง"  ... แต่อย่าลืมว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่แม็คไกวร์ต้องเจอเพียงคนเดียว 

เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ก็เคยผ่านการถูกจับตาความผิดพลาดเหล่านี้ แต่ก็ผ่านบททดสอบไปได้ด้วยคาแร็คเตอร์ที่แข็งแกร่ง และสร้างตัวตนขึ้นมาเป็นผู้นำในเกมรับของ ลิเวอร์พูล ที่ไม่ใช่แค่รับผิดชอบหน้าที่ตัวเอง แต่รวมถึงการจัดระเบียบเกมรับให้นักเตะแนวรับคนอื่น ๆ ในทีมด้วย ซึ่งหากจะพูดถึงเรื่องการโดนจ้องจับผิด จ้องจะแซว ทุกวันนี้ ฟาน ไดค์ ก็ยังคงเจอกับสถานการณ์เช่นนี้อยู่ในทุก ๆ ครั้งที่เขามีส่วนต่อการเสียประตู

กรณีของ ฟาน ไดค์ มันแสดงให้เห็นว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะเปลี่ยนความคิดเห็นของคนรอบข้างหรือสื่อ ดังนั้นสิ่งที่ทำได้คือการยอมรับสถานะ "ตัวโดน" ให้ได้ และพัฒนาตัวเองขึ้นมาให้มากที่สุด เพื่อให้คุณเป็นกองหลังที่สร้างความผิดพลาดที่น้อยที่สุด ซึ่งเรื่องนี้ แม็คไกวร์ ก็ใช้ความพยายามไม่แพ้กับ ฟาน ไดจ์ค เลยที่จะก้าวข้ามสถานะตัวโดนให้ได้ ... และสิ่งแรกที่เขาทำได้ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้นั่นคือ "การยอมรับความจริงว่ามีปัญหา" 

 

ยอมรับปัญหา จุดเริ่มของการเปลี่ยนแปลง

สิ่งหนึ่งที่ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ ทำได้ดีคือ "ไม่ปฏิเสธความจริง" ... ซึ่งเรื่องนี้เขาก็ใช้เวลาไม่น้อยกว่าจะยอมจุดนี้ได้ 

แต่ก่อนหากยังจำกัดได้ แม็คไกวร์ ดูจะวุ่นวายกับการรักษาภาพลักษณ์การเป็นกัปตันหรือผู้นำทีม ทุกครั้งที่ทีมแพ้ หรือหลายครั้งที่ตัวเขาเองผิดพลาด เขามักจะหลีกเลี่ยงประเด็นเหล่านั้น และเลือกที่จะโพสต์รูปในโซเชี่ยลมีเดียพร้อมคำคมในเชิงที่สร้างภาพลักษณ์เชิงบวกเช่น "เราจะสู้เพื่อตราสโมสร" หรืออะไรทำนองนั้น 

ซึ่งจริง ๆ แล้วการโพสต์เอาหล่อมันไม่ได้สำคัญอะไรเลยในวันที่ทีมแพ้หรือวันที่คุณเป็นหนี่งในความผิดพลาด สิ่งที่คุณต้องทำคือยอมรับ แก้ไข พัฒนา และแสดงให้โลกรู้ว่าคุณพัฒนาขึ้นแค่ไหนเมื่อการแข่งขันมาถึง ... การพิสูจน์ตัวเองในสนาม สำคัญกว่าสิ่งอื่นใดสำหรับนักฟุตบอลอาชีพ ผลงานดีทุกอย่างจบ แม้คุณไม่โพสต์อะไร ผู้คนก็พร้อมจะสรรเสริญจากสิ่งที่พวกเขาได้เห็นด้วยตาของตัวเองอยู่แล้ว 

ในช่วงแย่ ๆ เมื่อปี 2022 แม็คไกวร์ เคยให้สัมภาษณ์ยอมรับความจริงว่า "ผมรู้ดีว่าผมไม่ได้อยู่ในฟอร์มที่ดีที่สุด แต่ผมจะไม่หนี ผมจะกลับมาให้ได้" ซึ่งนี่เป็นประโยคสำคัญของเรื่องนี้เลยก็ว่าได้ เพราะการยอมรับความจริงคือพื้นฐานของมนุษย์ที่อยากจะพัฒนาตัวเอง 

การกล้าออกมาพูดถึงตัวเองในเชิงลบ เป็นจุดเปลี่ยนเล็ก ๆ ที่บอกว่า เขาพร้อมแล้วที่จะแสดงความสามารถในการฟื้นตัวจากความล้มเหลวที่เกิดขึ้นจากอดีต แทนที่จะใช้คำคมและประโยคสวย ๆ ปลอบประโลมตัวเองและแฟนบอล ซึ่งในความจริงไม่มีใครรู้สึกอินไปกับสิ่งเหล่านั้นมากนัก ตราบใดที่ผลงานของทีมยังติดลบ เรื่องนี้เขาเองก็รู้ดียิ่งกว่าใคร 

2 ปีที่แล้ว ในช่วงซัมเมอร์ของฤดูกาล 2023-24 แม็คไกวร์ ตกต่ำที่สุดในอาชีพเพราะกลายเป็นตัวเลือกท้าย ๆ ในยุค เอริค เทน ฮาก พร้อมถูกยึดปลอกแขนกัปตันทีม จนมีข่าวว่าสโมสรจะขายเขาออกไปแล้วด้วยซ้ำ แต่ แม็คไกวร์ ก็ใช้ช่วงซัมเมอร์นั้นได้อย่างคุ้มค่า เขาหั่นวันพักร้อนของตัวเองลง และใช้เวลาถึง 3 สัปดาห์ในการฝึกซ้อมพิเศษ 3 ครั้งต่อวัน และใช้เวลาซ้อมแบบ 1 ต่อ 1 กับ ริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่ ตำนานกองหลัง เชลซีและทีมชาติโปรตุเกส เพื่อหวังกลับมาทวงตำแหน่งตัวจริงอีกครั้งให้ได้

เราไม่รู้ว่า คาร์วัลโญ่ สอนอะไรมาบ้าง แต่ดูเหมือนหลาย ๆ อย่างเปลี่ยนไปในตัว แม็คไกวร์ เช่นการจ่ายบอลพลาดเวลาที่คู่แข่งเพรสซิ่งลดน้อยลง, การเลือกจ่ายแบบระมัดระวังมากขึ้น ไม่ฝืนจ่ายใส่พื้นที่อันตรายเหมือนแต่ก่อน รวมถึงการอ่านเกมที่เร็วขึ้น ไม่ถอยอย่างเดียวเหมือนในอดีตแล้ว

ไม่ใช่แค่การพัฒนาตัวเองในสนามเท่านั้น ในช่วงเวลาเดียวกัน แม็คไกวร์ ก็รับมือกับกระแสลบ ๆ ในโซเชี่ยลมีเดียได้ดีมากขึ้น แม้จะถูกลดบทบาทจาก เทน ฮาก แต่ แม็คไกวร์ ไม่เคยออกสื่อโจมตี สร้างดราม่าเพื่อบีบให้ตัวเองได้ลงสนาม เขาอดทน ทำงานหนัก และรอโอกาสของตัวเอง ... ซึ่งเจ้าตัวพูดถึงการเปลี่ยนแปลงในซัมเมอร์ดังกล่าวว่า 

"ผมพยายามดูแลตัวเองมากที่สุดทั้งในและนอกสนาม พยายามทำหลายสิ่งหลายอย่างให้มันกลับมาอยู่ในจุดที่ถูกต้อง มันเริ่มทำให้ผมกลับมาฟิตสมบูรณ์ สดชื่นและพร้อมทั้งใจจิตรวมถึงร่างกายด้วย" 

คำพูดหล่อ ๆ ครั้งนี้แตกต่างไปจากครั้งก่อน เพราะถ้าคุณเป็นแฟนบอล แมนฯ ยูไนเต็ด คุณจะเริ่มพบว่าในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา แม็คไกวร์ มีความผิดพลาดส่วนบุคคลน้อยลงมาก (แม้จะยังหลงเหลืออยู่บ้าง) และในหลายครั้งเขาเล่นได้ดีขึ้น ขณะที่ในบางนัด เขาก้าวขึ้นมาเป็นฮีโร่ของทีมในเวลาที่ทีมต้องการใครสักคน ... สัญญาณแห่งการ "ชุบชีวิต" ของเขาได้เริ่มขึ้นอย่างช้า  ๆ

 

รุ่งอรุณแห่งแม็คไกวร์ 

แม้ว่าจะดูแปลกและอาจจะบอกว่าเป็นการอวยกันหลังยิงประตูได้ แต่นับตั้งแต่เข้าสู่ยุคของ รูเบน อโมริม แฮร์รี่ แม็คไกวร์ ก้าวมาเป็นคนสำคัญในทีมอีกครั้ง และอย่างที่กล่าวไปในข้างต้น ในหลาย ๆ ครั้งเขายังเป็นคนที่รับบทฮีโร่ผู้ยิงประตูของทีมอีกด้วย 

"แม็กไกวร์มีอิทธิพลมากขึ้นในกรอบเขตโทษของฝ่ายตรงข้าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเล่นลูกตั้งเตะของ แมนฯ ยูไนเต็ด ทุกวันนี้ เขาอ่านบอลได้ดีและมีรูปร่างที่สามารถสร้างอิมแพ็กต์กับทีมได้ ผมมองว่าเขากำลังพัฒนานิสัยการทำประตูในช่วงเวลาสำคัญ ๆ" ลอรี่ วิทเวลล์ นักข่าวของ The Athletic พูดถึง แม็คไกวร์ ไว้ เมื่อช่วงปลายซีซั่น 2024-25

ในซีซั่นนั้น แม็คไกวร์ ช่วยทีมในเวลาสำคัญบ่อย ๆ เช่นการตีเสมอ ปอร์โต้ 3-3 ในเกม ยูโรป้า ลีก, การยิงประตูชัยในเกม เอฟเอ คัพ กับ เลสเตอร์ ซิตี้, การโหม่งประตูชัยในเกมชนะ อิปสวิช ทาวน์ 3-2 และที่ลืมไม่ได้ในเกม ยูโรป้า ลีก รอบก่อนรองชนะเลิศ ที่เขาทำ 1 แอสซิสต์ และยิงประตูชัยนาทีบาป พาทีมผ่าน ลียง เข้าไปสู่รอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ 

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องฟลุก ไมค์ ฟีแลน อดีตผู้ช่วยของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และเคยทำงานกับ แม็คไกวร์ มาแล้วสมัยที่เขาเป็นมือขวาของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา บอกว่า วิธีการเข้าหาบอลของ แม็คไกวร์ เปลี่ยนไป และมันเป็นที่มาของการยิงประตูในเกมสำคัญของเขา 

"แม็คไกวร์ เล่นเหมือนกับเป็นกองหน้าตัวเป้าในฟุตบอลยุคเก่า ในแบบที่บอกว่าโยนเข้ามาในพื้นที่ว่างได้เลย แล้วข้าจะเข้าไปเล่นจังหวะนั้นเอง ... ฟังดูง่าย ๆ แต่มันใช้ความกล้าหาญนะ" ฟีแลน กล่าวเริ่ม

"มันอาศัยความกล้าเยอะเลย เพราะคุณต้องไม่กล้วที่จะโฟกัสไปที่ลูกบอลอย่างเดียวโดยไม่มองคน แต่ แม็คไกวร์ เหมือนกับคนที่บอกตัวเองตลอดว่า 'ข้าจะต้องเป็นคนที่ถึงบอลก่อน' ... มีนักเตะไม่กี่คนหรอกที่พร้อมจะอัดกันแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ไม่คุณก็ผมจะต้องมีคนหัวแตกฟันร่วงกันสักคน" 

กลับมาที่ปัจจุบัน ณ ตอนนี้ แม็คไกวร์ คือหนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญ นั่นคือการชนะการดวลลูกกลางอากาศเฉลี่ย 3.1 ครั้งต่อ 90 นาที ความสามารถในลูกกลางอากาศนี่เองที่ทำให้เขากลายเป็นอาวุธโจมตีชั่วคราวของอโมริมในช่วงเวลาที่ต้องการตั้งหลักกับอะไรสักอย่าง และประตูชัยในแอนฟิลด์ จากการโหม่งของ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ อาจจะมีส่วนสำคัญในการสร้างความมั่นใจและเป็นจุดเปลี่ยนในทีมชุดปัจจุบัน 

ณ ตอนนี้ แม็คไกวร์ ไม่ใช่คนที่แฟนบอลยี้ตั้งแต่เห็นชื่อบนใบประกาศ 11 ตัวจริงอีกแล้ว แม้เขาจะไม่ใช่กองหลังที่ดีที่สุดหรือเป็นนักเตะระดับโลก แต่ด้วยตัวเลือกที่มีในตำแหน่งปราการหลังตัวกลาง การเลือก แม็คไกวร์ เป็นสิ่งที่แฟนบอลเข้าใจได้ และหากคุณสังเกตดี ๆ คุณจะพบว่ากระแสและมุมมองของแฟนบอล แมนฯ ยูไนเต็ดท ที่มีต่อเขานั้นเป็นไปในเชิงบวกมากขึ้น 

หลายครั้งที่การสกัด หรือการโหม่งของเขา เรียกเสียงเฮจากแฟน ๆ ใน โอลด์ แทรฟฟอร์ด ได้ นั่นแสดงให้เห็นว่า ณ ตอนนี้เขาได้เปลี่ยนแปลงตัวเองโดยสมบูรณ์ แม้จะไม่ดีที่สุดในโลก แต่ก็ดีที่สุดในแบบของเขา ทำให้ตัวเองเป็นกองหลังที่แฟนบอลเบาใจได้มากกว่าหวั่นใจ ซึ่งนั่นคือทิศทางที่ยอดเยี่ยม และมีนักเตะหลายคนที่ไม่สามารถพลิกสถานการณ์แบบนี้เหมือนกับเขาได้ 

ประตูชัยที่แอนฟิลด์ จะทำให้แฟนบอล ยูไนเต็ด รัก แม็คไกวร์ ขึ้นอีกหลายเท่า ... แต่สิ่งที่เราต่างรู้ดีกันมาตลอดคือ โลกฟุตบอลว่ากันที่ปัจจุบันเสมอ หลังจากเกมนี้และสัปดาห์ต่อ ๆ ไป สิ่งที่แฟนบอลอยากจะเห็นคือภาพความประทับใจเช่นนี้เกิดเรื่อย ๆ นั่นเป็นหน้าที่ของนักเตะที่ต้องลงเล่นด้วยทัศนคติที่เต็มร้อย พร้อมทุ่มเทเพื่อชัยชนะ และพยายามทำให้ตัวเองเป็นจุดแข็งของทีมให้ได้ 

สัปดาห์ต่อไป เรื่องที่แอนฟิลด์จะกลายเป็นอดีตไปแล้ว ... แต่ความมั่นใจจากประตูนี้ รับรองได้ว่ามันจะต้องติดตาตรึงใจ อย่างน้อย ๆ ก็เป็นแรงส่งที่ดีให้กับ แม็คไกวร์ ได้รู้ว่าความทุ่มเทในการคืนชีพของเขาคุ้มค่า จนเขาได้ลิ้มรสกับรสชาติของรุ่งอรุณที่สดใสที่สุดดังเช่นวันนี้ 

 

แหล่งอ้างอิง

https://www.football365.com/news/maguire-hits-back-daily-mirror-man-utd-ronaldo-power-struggle
https://www.90min.com/posts/tyrone-mings-insists-harry-maguire-not-england-weak-link-man-utd
https://bleacherreport.com/articles/2664573-10-athletes-unfairly-vilified-by-sports-fans-and-social-media
https://www.nytimes.com/athletic/6324196/2025/05/01/harry-maguire-manchester-united-redemption-striker/

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ