Feature

ปัญหาสู่ "008" : โฟลเรียน เวียตซ์ กำลังเจอกับอะไรที่ ลิเวอร์พูล ? | Main Stand

“116 ล้านปอนด์” คือค่าตัวที่ทำให้ โฟลเรียน เวียตซ์ ถูกคาดหวังว่าจะเข้ามาเปลี่ยนแปลง ลิเวอร์พูล ในทันที 

 


แต่เมื่อผ่านไปไม่กี่สัปดาห์ในพรีเมียร์ลีก เขากลับต้องเผชิญกับแรงกดดันมหาศาล เสียงวิจารณ์ดังรอบด้าน และคำถามมากมาย 

ตอนนี้เขากำลังเจอกับอะไรอยู่ ทำไมอัจฉริยะแห่งเมืองเบียร์จึงกลายเป็น "008" บนหน้าสื่อ ? ติดตามกับ Main Stand 

 

116 ล้านปอนด์ สู่ 008 

เสียงวิจารณ์เริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ รอบตัวของ โฟลเรียน เวียตซ์ หลังจากที่เขาย้ายจาก ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น มาอยู่กับ ลิเวอร์พูล ด้วยราคา 116 ล้านปอนด์ในซัมเมอร์ 2025 ที่ผ่านมา 

แน่นอนว่าเสียงวิจารณ์เกิดขึ้น ก็เพราะสิ่งที่คาดหวังกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงนั้นแตกต่างกันพอสมควร ตอนที่ เวียตซ์ เล่นในเยอรมันนั้น เราได้เห็นความเก่งกาจแบบรอบด้าน เป็นเบอร์ 10 ที่มีครบทั้งพรสวรรค์ ทัศนคติ และความเข้าใจเกม ... นักเตะระดับเขาไม่น่าจะใช้เวลานานในการปรับตัว ไม่ว่าจะย้ายไปอยู่ทีมใหญ่ทีมไหนก็ตาม แม้กระทั่งกับ ลิเวอร์พูล ซึ่งเป็นทีมที่มีสไตล์การเล่นเป็นเอกลักษณ์ที่สุดทีมหนึ่งของโลก 

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ซึ่งในกรณีนี้ อาจจะเป็นเพราะการโดนจับจ้องเป็นพิเศษของสื่อสำหรับนักเตะค่าตัวสถิติเกาะอังกฤษ (ช่วงสั้น ๆ) อย่างเขาก็ได้ เพราะสิ่งที่สื่อตั้งใจจะนำเสนอและเล่นงาน คือตัวเลขผลลัพธ์สุดท้ายที่หลายคนใช้ชี้วัดว่านักฟุตบอลในตำแหน่งตัวรุกคนหนึ่ง "ดีหรือไม่ดี" นั่นคือ ประตู และ แอสซิสต์

ตอนนี้ เวียตซ์ ผ่านเกมอย่างเป็นทางการกับ ลิเวอร์พูล มา 8 เกม และทำไป 0 ประตู 0 แอสซิสต์ ซึ่งแน่นอนว่ามุก สายลับ "007" หรือ "008" อะไรก็ตามที่สื่ออังกฤษมักจะโยนใส่นักเตะค่าตัวแพงก็วนมาถึงรอบของเวียตซ์อย่างเลี่ยงไม่ได้ และเมื่อมันเป็นกระแสก็เกิดความเห็นมากมาย ไม่ใช่แค่สื่อเท่านนั้น แต่กับอดีตนักเตะทั้งของ ลิเวอร์พูล เอง และทีมอื่น ๆ ด้วย 

เวย์น รูนี่ย์ อดีตกัปตันทีมชาติอังกฤษ กล่าวในพอดแคสต์ของ BBC ว่า เวียตซ์ เป็นคนที่ทำลายสมดุลเกมของ ลิเวอร์พูล ขณะที่ เจมี่ คาร์ราเกอร์ อดีตแนวรับหงส์แดง ก็ออกมาพูดแรงถึงขั้นแนะนำว่า ควรปล่อยตัวแข้งวัย 22 ปีรายนี้นั่งอยู่บนม้านั่งสำรองเสียด้วยซ้ำ 

"เขายังไม่พร้อมสำหรับการลงสนามเลย" คาร์ราเกอร์กล่าว "เขาเป็นแค่เด็กหนุ่มที่เพิ่งย้ายมาเล่นในลีกใหม่ ยังมีเวลาอีกมาก แต่ตอนนี้เขาควรถอยออกมา และให้ลิเวอร์พูลกลับไปเล่นแบบที่เคยทำได้ดีเมื่อฤดูกาลก่อน เพื่อเรียกความมั่นใจกลับมา"

สิ่งที่ รูนี่ย์, คาร์ราเกอร์ และสื่ออีกหลายเจ้าพยายามไม่ต้องตีความเยอะ พวกเขาเปรียบเทียบ ลิเวอร์พูล ในซีซั่นที่แล้วที่ไม่มีเบอร์ 10 ธรรมชาติ ฟุตบอลกระจายไปทั่วสนามในเกมรุก จนทีมสามารถคว้าแชมป์ลีกได้แบบม้วนเดียวจบ แตกต่างกับตอนนี้ที่ เวียตซ์ เป็นเพลย์เมคเกอร์ และทำให้จังหวะของทีมไม่ลงล็อกเหมือนเดิมแม้จะนำเป็นจ่าฝูงของลีกก็ตาม 

เพียงแต่เรื่องแบบนี้ บางครั้งมันก็กลายเป็นเรื่องสนุกปากและสื่อก็ชอบที่ปั่นกระแสให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ นี่คือราคาที่นักเตะค่าตัวแพงทุกคนจะต้องเจอ ... แต่สำหรับ เวียตซ์ เขาควรสนใจคำวิจารณ์เหล่านี้หรือไม่ ? เขาแย่ขนาดนั้นจริง ๆ น่ะเหรอ ? 

 

เหยื่อของค่าตัวมหาศาล

สำหรับนักเตะราคาแพงระยับขนาดนี้ ใคร ๆ ก็ไม่รอดเสียงวิจารณ์ เจดอน ซานโช่, อันโตนี่, มอยเซส ไกเซโด้, เอ็นโซ่ เฟอร์นานเดซ และอีกหลาย ๆ คนก็มีช่วงเวลาที่คล้าย ๆ กับ เวียตซ์ แทบทั้งนั้น 

ค่าตัวระดับสถิติของอังกฤษย่อมมาพร้อมความคาดหวังว่าต้องเปลี่ยนทีมได้ทันที แต่ความจริงคือเขาย้ายมาตั้งแต่อายุเพียง 21 ปี ต้องปรับตัวทั้งกับทีมใหม่ ลีกใหม่ และชีวิตนอกสนามในอังกฤษ

แม้เจ้าตัวจะบอกว่าไม่ได้กังวลเรื่องค่าตัว แต่เมื่อผลงานทีมชนะรวด 5 เกมแรกของฤดูกาล เสียงวิจารณ์ก็ยังเบา ๆ ทว่าหลังพ่ายติดต่อกัน 2 นัดล่าสุด เขากลายเป็นเป้าโจมตีโดยเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งความผิดพลาดของเขาในเกมที่พ่ายแพ้นี่แหละ ที่ทำให้เขา "มีจุดให้จี้" มากขึ้นเป็นพิเศษ 

แอนดี้ โจนส์ นักเขียนของ The Athletic วิเคราะห์ว่านอกจากเรื่องของการปรับตัวในช่วง 1-2 เดือนแรกที่นักเตะใหม่แทบทุกคนต้องเจอ ปัญหาของ เวียตซ์ คือ เขาแค่ต้องการเล่นในตำแหน่งที่ถนัดมากที่สุดก่อนในช่วงตั้งตัวนี้ ... และบางครั้งอาจจะต้องการโชคลางอีกสักหน่อย 

"ในเกมเยือน คริสตัล พาเลซ (แพ้ 1-2) อาร์เน่อ ชล็อต ส่ง เวียตซ์ ลงเล่นริมเส้นฝั่งซ้ายของ 3 แนวรุก พร้อมให้อิสระในการตัดเข้าด้านใน แต่สุดท้ายแผนนี้ก็ไม่เวิร์กและทีมก็แพ้ไป ขณะที่ในเกมแชมเปี้ยนส์ลีก เขากลับมาเล่นในตำแหน่งถนัด ทว่าก็ยังไม่สามารถสร้างความแตกต่างได้ในฐานะเพลย์เมคเกอร์เบอร์ 10 ... แต่เมื่อเขาได้เล่นเบอร์ 10 ใช่ว่าเขาจะไม่ได้โชว์ให้เห็นทิศทางในเชิงบวกออกมาเลยเสียเมื่อไร" 

"เกมที่อิสตันบูล แม้ลิเวอร์พูลจะเล่นไม่ออกแทบทั้งทีม แต่ เวียตซ์ จ่ายทะลุช่องสวย ๆ ได้ 2-3 หน และเป็นผู้เล่นคนเดียวที่สร้างโอกาสให้ทีมได้ภายในครึ่งหลัง"

"ยังมีหลายเกมที่เขาได้เล่นเบอร์ 10 และแสดงให้เห็นศักยภาพที่พัฒนาได้ ยกตัวอย่างเช่นเกมกับ แอตฯ มาดริด 3-2 ที่แอนฟิลด์ เกมนั้น เวียตซ์ โดดเด่นมากจริง ๆ" เหยี่ยวขาวจากสื่อดังระบุ 

จากที่เขากล่าวมา เมื่อคุณวิเคราะห์ผลงานของเขา คุณจะพบว่าแต่ละเกมเขามีโอกาสมากมายที่จะทำลายสถิติการเป็น 008 ได้ แต่นั่นแหละ บางครั้งชีวิตมันก็ไม่ได้ง่ายเสียขนาดนั้น จังหวะไหนที่ไม่ใช่จังหวะของเรา ต่อให้มันเป็นลูกที่ควรจะเข้าแค่ไหน บางครั้งมันก็กลายเป็นตรงกันข้าม 

เหตุผลที่เรากล่าวแบบนั้นก็เพราะว่า เวียตซ์ เป็นนักเตะที่สร้างโอกาสในการจบสกอร์ให้ทีมได้ถึง 21 ครั้ง ซึ่งตัวเลขดังกล่าวนับเป็นสถิติที่ดีที่สุดพรีเมียร์ลีก เทียบเท่ากับ แจ็ค กรีลิช ของ เอฟเวอร์ตัน ซึ่งในขณะเดียวกัน กรีลิช ก็ได้รับคำชมและคำยกย่องว่ากำลังผลงานในระดับท็อปที่สุดในรอบหลายปี 

เรื่องของ เวียตซ์ จะเปลี่ยนเป็นอีกเรื่องเลยหากในจังหวะต่าง ๆ ที่เขาสร้างมันจบด้วยการยิงเข้าประตูไป เช่นการจ่ายให้ โม ซาลาห์ ยิงชนเสาในเกมกับ แอตฯ มาดริด และในเกมเดียวกันที่จ่ายให้ เจเรมี่ ฟริมปง เลือกยิงจ่อ ๆ แต่ก็ไม่เข้า 

ฟังดูเหมือนนี่อาจจะเป็นเรื่องของความโชคร้าย แต่ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ทำให้ เวียตซ์ ต้องรู้ตัวว่า นี่ยังไม่ใช่ฟอร์มที่ดีที่สุดที่เขาเคยทำได้ และถ้าหากจะแก้ปัญหานี้ให้ไวที่สุด คือการที่เขาเริ่มแก้มันด้วยตัวเอง 

 

เริ่มด้วยกันทั้งหมด

หากมองลึกไปที่สถิติ จะเห็นได้ชัดว่า เวียตซ์ กำลังเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่ในพรีเมียร์ลีก จากโอกาสที่เขาสร้างขึ้นทั้งหมด 21 ครั้ง มีเพียง 10 ครั้ง ที่เกิดขึ้นใน 6 เกมลีก โดยในจำนวนนั้นเพียง 7 ครั้ง มาจากโอเพ่นเพลย์ ซึ่งเท่ากับจำนวนโอกาสทั้งหมดที่เขาสร้างได้จากการลงเล่นเพียง 2 นัดในแชมเปี้ยนส์ลีก

สถิตินี้ตอกย้ำแนวคิดว่า เวียตซ์ ยังดิ้นรนอย่างหนักในการปรับตัวกับความเข้มข้นของฟุตบอลอังกฤษ ... และนี่คือเรื่องของการปรับตัวกับลีกฟุตบอลใหม่ ทีมใหม่ และประเทศใหม่ของเขาอย่างแท้จริง เพราะถึงตอนนี้คุณก็ไม่สามารถพูดได้เต็มปากเลยว่า เวียตซ์ อยู่ในช่วงฟอร์มที่ดีสำหรับอาชีพของเขา 

สิ่งที่เห็นบ่อยครั้งคือ เวียตซ์ ถูกบีบเสียบอลเมื่อครองบอล หรือถูกคู่แข่งเข้ามาขวางจนยิงไม่ถนัด กลายเป็นลูกถูกบล็อกมากกว่าจะกลายเป็นประตู และเมื่อเทียบกับเบอร์ 10 ในซีซั่นที่แล้วของทีมอย่าง โดมินิค โซโบสไล คุณก็จะพบว่าสไตล์ของทั้ง 2 คนแตกต่างกันอย่างมาก ดังนั้นเมื่อเปลี่ยนเบอร์ 10 ใหม่ นักเตะในทีมคนอื่น ๆ ก็ต้องปรับตัวใหม่เช่นกัน 

โซโบสไลมีความแข็งแกร่งทางกายภาพและสามารถพาบอลและหยุดเกมรุกในแดนคู่แข่งได้อย่างดุดัน ขณะ เวียตซ์ นั้นเก่งในเรื่องการเคลื่อนที่ด้วยตัวเปล่า เอาตัวรอดในที่แคบ ๆ ด้วยความคล่องแคล่ว และปล่อยบอลเร็วจากวิชั่นที่โดดเด่น ... ซึ่งในตอนนี้เรายังไม่ได้เห็นจุดแข็งของเขามากนัก 

ลิเวอร์พูล คือทีมที่เปลี่ยนนักเตะเกมรุกแบบแทบยกชุดในปีนี้ ตัวรุกที่เขามาใหม่อย่าง เวียตซ์, อเล็กซานเดอร์ อิซัค และ อูโก้ เอกิติเก้ อยู่ในช่วงปรับตัวและส่งผลกระทบต่อทั้งแนวรุกและเกมรับ ลิเวอร์พูลจึงดูเปราะบางมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะเมื่อคุณสังเกตดี ๆ ไม่ใช่แค่ เวียตซ์ คนเดียวเท่านั้นที่ฟอร์มตก แนวรุกอย่าง ซาลาห์ และ โคดี้ กักโป ก็ไม่ได้อยู่ในฟอร์มที่ดีที่สุด 

ในจังหวะที่คนเก่า มีจำนวนพอ ๆ กับคนใหม่ ทำให้การปรับตัวของเขาไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้าตัวเพียงฝ่ายเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับเพื่อนร่วมทีมใหม่ว่าจะเรียนรู้และเข้ากับสไตล์ของเขาได้มากแค่ไหนด้วย 

สิ่งที่เห็นชัดคือ เวียตซ์ ยังต้องการเวลาในการปรับตัวกับฟุตบอลอังกฤษ ทั้งในแง่ความแข็งแกร่ง ความเร็วของเกม และความเข้าใจกับเพื่อนร่วมทีม ลิเวอร์พูลในตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน และการจะทำให้นักเตะใหม่อย่าง เวียตซ์ และคนอื่น ๆ เป็นเนื้อเดียวกับนักเตะเก่าก็เป็นส่วนหนึ่งของโจทย์ใหญ่ที่ ชล็อต ต้องหาคำตอบให้ได้

ชล็อต อธิบายเรื่องนี้อย่างเข้าใจว่า "เขากำลังฟิตขึ้นเรื่อย ๆ และปรับตัวกับทีมได้มากขึ้น ซึ่งนี่มันเป็นเรื่องปกติมาก เราทั้งหมดนี่แหละที่จะต้องใช้เวลาปรับตัวหากันและกัน สำหรับ โฟลเรียน ทุกคนรู้ว่าเขาเก่งมาก แต่เขาอายุแค่ 22 ปี และย้ายออกมาใช้ชีวิตต่างประเทศเป็นครั้งแรก เขาไม่ได้เปลี่ยนแค่สโมสร แต่ทั้งชีวิตของเขาเปลี่ยนไป ทุกอย่างรอบตัวเขาไม่ปกติอีกต่อไป เรื่องแบบนี้มันสูบพลังงานชีวิตคุณได้มากโขเลย"

"ลองคิดดูสิ นอกจากชีวิตแล้วเขาก็ยังปรับเรื่องฟุตบอล ที่ เลเวอร์คูเซ่น เขาเล่นในระบบ 3-4-3 แต่เราเล่น 4-3-3 เราจึงต้องการอะไร ๆ จากเขามากขึ้นทั้งเรื่องการครองบอลและการเล่นเกมรับ ... ผมไม่ได้มีปัญหาอะไร และผมมองว่าเขากำลังเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ผมเชื่อว่านักเตะคุณภาพอย่างเขาจะปรับตัวได้แบบที่เขาต้องการเสมอ ถ้าเขาปรับได้ ทีมของเราก็จะพัฒนาขึ้นอีกขั้น" ชล็อต กล่าว

สิ่งที่เราไม่ควรลืมคือ ณ ตอนนี้ เวียตซ์ ไม่ใช่นักเตะใหม่เพียงคนเดียวที่กำลังพยายามตั้งหลักกับทีม ฟริมปง, มิลอส เคอร์เคซ, รวมถึง อิซัค ต่างก็เริ่มต้นที่แอนฟิลด์ได้ไม่ค่อยดีนัก ... ความใหม่นี้คือสิ่งที่ ลิเวอร์พูล ไม่ค่อยเจอบ่อย ๆ มีไม่กี่ซีซั่นหรอกที่พวกเขาจะซื้อนักเตะเข้ามาเปลี่ยน 11 ตัวจริงเกือบครึ่งทีมแบบนี้ 

ความต่อเนื่องคือจุดแข็งของลิเวอร์พูลในฤดูกาล 2024-25 ระหว่างทางสู่แชมป์พรีเมียร์ลีก แต่ในขณะนี้ที่ ชล็อต กำลังปรับเปลี่ยนทีมใหม่ ความสัมพันธ์ในทีมทั้งในและนอกสนามก็ต้องใช้เวลาในการสร้างขึ้นมาอีกครั้ง นี่คือทีมที่กำลังเปลี่ยนจากตัวตนหนึ่งไปสู่อีกตัวตนหนึ่งที่มี โฟลเรียน เวียตซ์ เป็นกุญแจสำคัญ 

หลายคนบอกว่านักเตะอย่าง เวียตซ์ มีพรสวรรค์เกินกว่าจะไม่ประสบความสำเร็จกับ ลิเวอร์พูล ... แต่นี่คือเรื่องที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขาแค่คนเดียวเท่านั้น ทุกคนในทีมต้องเริ่มทำอะไรใหม่ ๆ ด้วยกัน ดังนั้นนี่ไมใช่งานเดี่ยวที่ เวียตซ์ ต้องแก้ไขเพียงลำพัง แต่มันคืองานกลุ่มที่ทุกคนต้องสุมหัว ใช้เวลาร่วมกันจนเกิดความเข้าใจในแบบที่ "มองตาก็รู้ใจ" แบบที่ ลิเวอร์พูล ชุดก่อน ๆ แสดงให้เราเห็นเสมอ  

บทพิสูจน์ใหม่ที่ท้าทายสำหรับ เวียตซ์ และ หงส์แดง ยังคงดำเนินต่อไป ... และการเป็นหนึ่งเดียวกันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ คำตอบนี้เราต้องไปรอดูในสนามเท่านั้น 

 

แหล่งอ้างอิง

https://www.nytimes.com/athletic/6679764/2025/10/02/florian-wirtz-stats-form-liverpool/
https://www.nytimes.com/athletic/6401889/2025/06/16/creating-florian-wirtz/
https://www.liverpoolecho.co.uk/sport/football/football-news/arne-slot-told-real-reason-32585227
https://www.reddit.com/r/LiverpoolFC/comments/1nurce0/jamie_carragher_right_now_florian_wirtz_needs_to/?rdt=53988
https://talksport.com/football/3604274/florian-wirtz-worst-premier-league-signing-ibrahima-konate-liverpool/

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ