Feature

โตไปไม่ "โอเว่น" : เหตุผลที่ดาวรุ่งแบกอายุยุคนี้ต่างจาก 20 ปีที่แล้วแบบสุดขั้ว | Main Stand

ริโอ เอ็นกูโมฮา สร้างชื่อเรียบร้อยด้วยวัย 16 ปี 361 วัน หลังจากซัลโวประตูชัยในนาทีที่ 90+10 ให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ นิวคาสเซิล 3-2 ในเกมพรีเมียร์ลีก เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2025

 

นับวันนักเตะระดับพรสวรรค์จะแจ้งเกิดด้วยอายุที่น้อยลงเรื่อย ๆ … และการลงเล่นในเกมระดับโลก ด้วยวัยขนาดนี้ จะไม่ส่งผลกับพวกเขา เหมือนที่มันเคยเกิดขึ้นกับ ไมเคิล โอเว่น ในช่วงราว ๆ 20-30 ปีก่อน ที่เล่นจนร่างกายพังหรือ ?

ถ้าคุณกลัวว่า เอ็นกูโมฮา หรือดาวรุ่งแห่งยุคอย่าง ลามีน ยามาล จะเจ็บหนักก่อนโต Main Stand จะหาคำตอบว่าทำไมโอกาสซ้ำรอยกับโอเว่นจึงน้อยลงมาก 

 

สมัย "โอเว่น" แจ้งเกิด

หนึ่งในข้อโต้เถียงที่เกิดขึ้นบนโลกโซเชี่ยลบ่อย ๆ ในช่วงนี้คือการคำถามที่ว่า ไมเคิล โอเว่น ตอนขึ้นรุ่นมาใหม่ ๆ กับ ลิเวอร์พูล ในปี 1997 กับ คีลิยัน เอ็มบัปเป้ หรือ ลามีน ยามาล ดาวรุ่งในโลกฟุตบอลยุคใหม่ ใครคือนักเตะที่ดีกว่ากัน โดยคนเปิดประเด็นคือ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ที่บอกว่า โอเว่น เหนือกว่า

คำตอบที่ชัดเจนของคำถามนี้คือ "ไม่มี" และบอกไม่ได้เลยว่าใครเหนือกว่าใคร เพราะนักเตะเกิดคนละยุคไม่มีทางที่เราจะเปรียบเทียบกันได้ การตัดสินล้วนเป็นความคิดเห็นของแต่ละบุคคลเท่านั้น 

เพียงแต่ว่าสิ่งที่เกิดกับ โอเว่น ในช่วงเวลานั้น คือ "ปรากฏการณ์" อย่างแท้จริง นักเตะอายุ 17 ย่าง 18 ปี กลายเป็นตัวหลักของสโมสรอย่าง ลิเวอร์พูล ลงเล่นเป็นประจำทุกรายการ ยิงประตูเกิน 20 ลูก 2 ปีติดต่อกัน ใช้เวลาแค่ปีเดียวกระโดดจากทีมชาติอังกฤษชุดยู 17 ก้าวไปติดทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ และแย่งดาวซัลโวกับนักเตะรุ่นพี่อย่างดุเดือด โดยโอเว่น คว้าดาวซัลโวร่วมของพรีเมียร์ลีก 2 ฤดูกาลติดต่อกัน ในซีซั่น 1997-98 และ 1998-99

ถ้ามีเด็กอายุ 18 ปี ทำได้แบบเขาบนเวทีพรีเมียร์ลีก ณ ตอนนี้ คุณคิดว่าเด็กคนนั้นจะมีค่าตัวเท่าไหร่ ?

มีคำกล่าว (Top Comment) ที่พูดถึง โอเว่น ในสมัยบนข้อโต้เถียงดังกล่าวบนเว็บบอร์ดของคนทั่วโลกอย่าง Reddit ว่า "สิ่งที่โอเว่นทำตอนอายุ 17-18 ในทีมลิเวอร์พูลชุดที่เต็มไปด้วยนักเตะห่วย ๆ (เขาใช้คำว่า a shite Liverpool) มักจะถูกมองข้ามไปในตอนนี้ เพราะ 1. เขาทำให้ตัวเองกลายเป็นไอ้ซื่อบื้อในภายหลัง และ 2. นั่นแหละคือช่วงที่พีกที่สุดในอาชีพของเขา"

"แต่สิ่งที่คุณต้องยอมรับเลยคือ เขาโคตรจะเก่งเลยนะในฤดูกาล 97-98 และ 98-99 คุณจะเอาไปเทียบกับนักเตะอย่างเอ็มบัปเป้และยามาลที่เล่นในทีมท็อป ๆ ที่มีนักเตะเก่ง ๆ ล้อมรอบไม่ได้จริง ๆ" 

เราขอให้มองเรื่องความต่างของทีมไปก่อน และโฟกัสตรงจุดที่คอมเมนต์นี้บอกว่า "นั่นแหละคือช่วงที่พีกที่สุดในอาชีพของเขา" เพราะมันไม่ได้เกินเลยความจริงไปมากนัก เพราะแม้โอเว่น จะย้ายไปรวมดาว "กาลาติกอส" กับ เรอัล มาดริด หรือคว้าแชมป์กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ในภายหลัง แต่ความเก่งของเขาในช่วงปี 1997 ถึง 1999 คือสิ่งที่ต้องยอมรับ กองหน้าตัวเล็ก ๆ สูงแค่ 170 เซนเมตร แต่ครบเครื่องทั้งความเร็ว ทักษะ การวางเท้ายิง หรือแม้กระทั่งการโหม่ง

คำถามคือ ถ้าตอนอายุ 17-18 ปี เขาเก่งขนาดนั้น แต่ทำไมเมื่อเขาเริ่มอายุมากขึ้น กลับได้รับการยอมรับน้อยลง ? ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ทุกคนที่ทันยุคนั้นพูดเป็นเสียงเดียวกันก็คือ "อาการบาดเจ็บ" ที่ไม่ได้เกิดจากความโชคร้าย แต่มันเกิดจากฟุตบอลยุคนั้นที่ได้ฆ่าพรสวรรค์ที่ดีที่สุดแห่งเกาะอังกฤษอย่างเขาแบบไม่ต้องสงสัย จนเราได้แต่คิดกันไปว่า โอเว่น เกิดเร็วไปหน่อย 

 

ยุค 90s "นักบู๊คือผู้ชนะ" ในสายตาทุกคน 

ทำไม โอเว่น จึงเกิดเร็วไป ? คำตอบนั้นไม่ยากเพราะฟุตบอลในช่วงยุค 1990s ถือเป็นยุคของฮาร์ดแมนเต็มอัตรา ไม่มี VAR และผู้ตัดสินในอังกฤษก็ปล่อยเกมกว่าทุกวันนี้มาก ๆ ดังนั้นการมีเด็กหนุ่มอย่าง โอเว่น ลงสนามไปเจอกับพวกฮาร์ดแมน นักเตะที่เป็นประเภท "เตะกินขา" อย่าง วินนี่ โจนส์, กอร์ดอน สตรัคคั่น, สจ๊วร์ต เพียร์ซ หรือนักเตะอีกหลายคนในยุคนั้นอะไรจะเกิดขึ้น ? 

ต่อให้เร็วแค่ไหน โอเว่น ก็ไม่รอดบาทา การโดนเตะหนัก สกัดรุนแรง หรือแม้กระทั่งเล่นนอกเกมที่เป็นของธรรมดาในยุคนั้น ทำร้ายเขาโดยตรง โอเว่น เป็นคนบอกเองในอัตชีวประวัติของเขาว่า การบาดเจ็บของสะสมติดตัวมาตั้งแต่ขึ้นชุดใหญ่ และรุนแรงที่สุดตอนที่เขาอายุ 19 ปี จากการเจ็บแฮมสตริงหนัก จนชีวิตค้าแข้งของเขาไม่เหมือนเดิมอีกเลย ร่างกายของเขาถูกจำกัด ไม่สามารถระเบิดสปีดเหมือนตอนแจ้งเกิดได้ 

เมื่อบาดเจ็บหนัก และซ้ำที่เดิมอีกหลายครั้ง โอเว่น เกิดความกลัวในใจ ในเวลาที่เขาต้องสปีดเต็มแรงเนื่องจากกังวลว่ากล้ามเนื้อจะฉีกอีก เขาเรียกมันว่า "Caged Animal" (สัตว์ที่ถูกขังในกรง) เหมือนกับการรู้ว่าตัวเองทำได้ แต่ไม่กล้าใช้อย่างเต็มศักยภาพเพราะกลัวผลเสียที่จะตามมา

และเราต้องกลับมาโฟกัสกับเพื่อนร่วมทีม ลิเวอร์พูล ของเขาในช่วงปี 1997-1999 อีกครั้ง เพราะ ณ เวลานั้นทีมไม่มีใครที่แบกความหวังได้เลย มันจึงบีบให้ทีมจะต้องใช้งาน โอเว่น ลงแบกทีมทุกเกม มันทำให้กล้ามเนื้อและเอ็นที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่ ถูกใช้งานหนักเกินร่างกายไหว 

เนื่องจากวัฒนธรรมฟุตบอลยุคก่อน นักเตะมักถูกคาดหวังให้ "ฝืนเจ็บ" ลงสนาม ซึ่งหลายครั้งทำให้กลายเป็นอาการบาดเจ็บเรื้อรัง ไม่ใช่แค่โค้ชที่ส่งลงสนามเท่านั้น สื่อกับแฟนบอลก็กดดันมากไม่แพ้กัน นักเตะคนไหนที่ไม่เล่นเพราะเจ็บถึงขั้นต้องแบกหามออกสนามหรือต้องใช้ไม้ค้ำยันช่วยเดินก็มักถูกมองว่า "ใจไม่สู้" ... สุดท้ายนักเตะอย่าง โอเว่น ก็แทบไม่ได้พัก และเริ่มบาดเจ็บสะสม เมื่อเจ็บบ่อย การวิ่งก็ไม่ระเบิดเหมือนเดิม สูญเสียจุดเด่นหลัก จึงถูกมองว่า "ร่วงเร็ว" ทั้งที่ยังอายุไม่มากในท้ายที่สุด 

การมีใจสู้นั้นไม่ผิดแต่อย่างใด มันคือสิ่งที่นักฟุตบอลชั้นยอดทุกคนควรมี เพียงแต่ว่าในยุคนั้นเทคโนโลยีต่าง ๆ ยังไม่ล้ำหน้าและไม่สามารถช่วยพูดแทนร่างกายนักเตะได้เหมือนกับสมัยนี้ ดังนั้นเราจึงมีโอกาสที่จะได้เห็นว่าดาวรุ่งยุคปัจจุบัน ไม่จำเป็นต้องรอให้อายุ 17-18 ปี อย่าง โอเว่น ด้วยซ้ำ บางคนอายุแค่ 15 หรือ 16 ปี ก็สามารถก้าวขึ้นมาเล่นชุดใหญ่ได้แล้ว และที่สำคัญที่สุด โอกาสที่ดาวรุ่งยุคนี้จะไม่ซ้ำรอยกับการเป็น "โอเว่น 2" ก็มีเหตุผลมากมาย ดังนี้ 

 

โตไปไม่โอเว่น 

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เห็นได้ชัดว่านักเตะดาวรุ่งหลาย ๆ คนมีการเปลี่ยนแปลงที่น่าทึ่ง พวกเขามีร่างกายใหญ่ขึ้น แถมยังมีประสิทธิภาพขึ้น เร็วขึ้น และแข็งแกร่งขึ้น สิ่งเหล่านี้ขับให้พวกเขาใช้ความสามารถที่มีได้ออกมาอย่างเต็มประสิทธิภาพ และหลายคนก็เก่งเกินวัยแบบที่เราเห็นจาก จู๊ด เบลลิงแฮม, เอ็มบัปเป้, ยามาล หรือแม้กระทั่งเด็กที่แจ้งเกิดในพรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้อย่าง แม็กซ์ ดาวน์แมน วัย 15 ปี ของ อาร์เซน่อล และ เอ็นกูโมฮา ในวัย 16 ปี ของลิเวอร์พูล 

ผู้เชี่ยวชาญจาก UCLA Health Sports Performance พูดถึงร่างกายของนักกีฬาดาวรุ่ง (ไม่ใช่แค่นักฟุตบอลเท่านั้น) แข็งแกร่งขึ้นได้ขนาดนี้ เป็นเพราะอุตสาหกรรมทางกีฬาที่เติบโตขึ้นมาก และมันส่งผลให้มูลค่าของดาวรุ่งในแต่ละวงการได้รับความนิยม และมีความต้องการสูงมากเป็นเงาตามตัว และการสร้างนักกีฬาในปัจจุบันก็เริ่มกันตั้งแต่ช่วงอายุไม่ถึง 10 ขวบเลยด้วยซ้ำ 

สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิด "โค้ชสำหรับนักกีฬาเยาวชน" เพิ่มมากขึ้น และพวกเขาก็เริ่มดูแลเด็ก ๆ ในด้านร่างกายอย่างจริงจัง มีนักวิทยาศาสตร์การกีฬาคอยดูแลสำหรับนักกีฬาดาวรุ่งในระดับที่มีความสามารถสูง อีกทั้งยังมีทีมโภชนาการ, นักจิตวิทยา, ฟิตเนสโค้ช ที่ทำงานครบวงจร

พวกเขาจะได้ใช้อุปกรณ์อย่าง GPS Tracking, Heart Rate, Recovery Data สิ่งเหล่านี้ทำให้โค้ชได้เห็นร่างกายของนักเตะลึกมากกว่าตาเปล่า คำว่าเล่นไหวหรือไม่ไหว ไม่ได้เกิดจากการตัดสินใจของโค้ชเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป เพราะยังต้องมีความเห็นของทีมแพทย์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ถ้าหมอบอกว่า ร่างกายนักเตะยังไม่พร้อม ก็คือไม่พร้อม ต่อให้เก่งแค่ไหน ก็ต้องเติบโตอย่างเป็นขั้นเป็นตอน 

กรณีของ ยามาล นั้นชัดมาก ถ้าคุณย้อนกลับไปดู ยามาล ตอนอายุ 15 ปี ที่ ชาบี เอร์นานเดซ ส่งลงเล่นชุดใหญ่ กับ ยามาล ณ ปัจจุบัน จะเห็นความต่างของร่างกายเขาเป็นอย่างดี โดยข้อมูลเปิดเผยว่าสโมสรไม่ได้เร่งเพิ่มกล้ามเนื้อหรือให้เขายกเวทหนัก ๆ เลยในช่วงอายุไม่ถึง 15 ปี เพราะนักวิทยาศาสตร์การกีฬาของสโมสรแนะนำว่า ร่างกายวัยรุ่นยังอยู่ในช่วงโครงสร้างกระดูกกำลังโต ถ้าบังคับเวทหนักเกินไปอาจทำให้โครงสร้างไม่สมดุล หรือเสี่ยงเจ็บเรื้อรัง

สิ่งที่ บาร์ซ่า เสริมให้ ยามาล ในช่วงนั้นคือสิ่งที่พวกเขาเรียกกันว่า "ให้บอลเป็นครู" เน้นทักษะ เทคนิค การตัดสินใจ มากกว่าการปั้นกล้าม ในระหว่างนั้นก็มีการปรับเรื่องอาหารการกิน (โภชนาการ) ให้เหมาะสมร่างกายของเขาโดยเฉพาะ จนกระทั่งภายหลังเมื่อเขาอายุ 16 ปี เป็นต้นไป ทีมก็จะเริ่มให้เขาออกกำลังกายตามโปรแกรมเพื่อพัฒนากล้ามเนื้ออย่างเหมาะสม จนกระทั่ง ยามาล มีกล้ามเนื้อแบบนักกีฬา (Lean Muscle) ทำให้กล้ามเนื้อของเขาเขาสามารถรับมือกับการระเบิดสปีดได้แบบที่เราเห็นกันในทุกวันนี้ 

ยามาล และ โอเว่น เป็นนักเตะที่เร็วเหมือนกับจรวดเหมือนกัน แต่สิ่งที่แตกต่างคือการให้ความสำคัญกับร่างกายนักฟุตบอลที่แตกต่างกันของแต่ละยุคสมัย ในขณะที่ ยามาล ถูกประคบประหงมอย่างละเอียด โอเว่น เล่าถึงช่วงอายุใกล้ ๆ กันว่า ณ เวลานั้น การพัฒนาของเขาขึ้นอยู่กับการฝึกซ้อมทั่วไป และการลงเกมการแข่งขันเป็นหลัก ส่วนเรื่องวิทยาศาสตร์การกีฬาและโภชนาการมีส่วนเกี่ยวข้องน้อยมาก  นั่นคือความต่างอย่างเห็นได้ชัด แม้ ยามาล จะลงเล่นเต็มเกมและเป็นตัวหลักของทีมในอายุน้อยกว่า โอเว่น แต่ความพร้อมของร่างกายของเขาถูกออกแบบและสร้างมาอย่างเหมาะสม

สิ่งที่เราจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพเรื่องการดูแลร่างกายนักกีฬาดาวรุ่ง ณ ปัจจุบันได้ดีที่สุดแบบเป็นรูปธรรมก็คือ การเอาตัวอย่างของสถิติการวิ่ง 100 เมตรมาเป็นตัวอย่าง 

ย้อนกลับไปในอดีตช่วงยุค 1980s, 1990s หรือช่วงต้นยุค 2000s มีนักวิ่งอาชีพเพียงไม่กี่คนที่วิ่งในระยะทาง 100 เมตรโดยใช้เวลาที่ต่ำกว่า 10 วินาทีได้ ... แต่กลับกัน หลังจากปี 2019 เป็นต้นมาสถิติ 10 วินาที กลับถูกทำลายเป็นว่าเล่นโดยนักวิ่งในระดับมัธยมปลาย 

นี่คือโลกใบเดิม แต่หมุนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ในโลกแห่งกีฬายุคนี้ การสร้างนักกีฬาสักคนถูกสร้างขึ้นอย่างเป็นขั้นเป็นต้น และต่อเนื่องมาตั้งแต่พวกเขาอายุน้อย ๆ จนนับวัน เหล่าอัจฉริยะแจ้งเกิดด้วยอายุที่น้อยลงทุกวัน เหมือนที่เราเห็น เอ็นกูโมฮา แสดงความยอดเยี่ยมออกมตั้งแต่ช่วงปรีซีซั่น จนกระทั่งการยิงประตูแรกในพรีเมียร์ลีกของเขา ในเกมที่ทำให้ทุกคนจดจำชื่อของเขาได้ทันทีแม้ว่ามันจะสะกดยากแค่ไหนก็ตาม 

 

แหล่งอ้างอิง

https://tribuna.com/en/blogs/lamine-yamal-gains-incredible-amount-of-muscle-since-his-bar/
https://en.wikipedia.org/wiki/10-second_barrier
https://www.reddit.com/r/soccer/comments/1mnhzcl/gerrard_owen_better_as_teenager_than_yamal_mbapp%C3%A9/?show=original
https://www.uclahealth.org/news/article/evolution-young-athletes-bigger-faster-and-stronger-ever
https://www.bbc.com/sport/football/45313122
https://www.nytimes.com/athletic/1728355/2020/04/12/rebooted-the-phenomenon-that-was-michael-owen-before-his-hamstring-injury/

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Photo

วัชพงษ์ ดวงแปง

Main Stand's Backroom staff

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ