Feature

บรูโน่ "บ่นเกินไป" : จิตวิทยาการกีฬากับภาพสะท้อนถึงภาวะผู้นำจอมโวย | Main Stand

“บรูโน่ แฟร์นันด์ส” คือหนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของนักเตะสไตล์ “บ่น โวย สั่ง” และการที่เขาก้าวขึ้นมาเป็นกัปตัน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำให้ผลกระทบของพฤติกรรมนี้ชัดเจนขึ้นไปอีกทั้งในเชิงบวกและลบ

 

หากเพียงแต่ว่าในเกมพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2025-26 กับ ฟูแล่ม การบ่นของเขาสะท้อนถึงสิ่งที่เป็นเชิงลบได้มากและชัดเจน คุณรู้หรือไม่ เมื่อเขาเริ่มบ่นมากขึ้น ขณะที่ผลงานในสนามสวนทาง เพื่อนร่วมทีมคนอื่นเกิดความรู้สึกอะไรขึ้นบ้าง ทั้งในทางจิตวิทยาการกีฬา และด้านอื่น ๆ ที่พวกเขากำลังเป็นแบบไม่รู้ตัว

ติดตามทั้งหมดกับ Main Stand

 

การบ่นมีหลายแบบ

แน่นอนว่านี่ไม่ใช่การซ้ำ บรูโน่ แฟร์นันด์ส แบบเอาตายโดยการเอาแต่ข้อเสียของการเป็นผู้นำของเขามาตีแผ่เพียงอย่างเดียว เพราะใด ๆ ในโลกนี้ล้วนมีสองด้าน การที่มี บรูโน่ บ่นในสนามก็เช่นกัน สิ่งนี้มีข้อดีอยู่พอสมควร 

ประการแรกเลยคือ บรูโน่ เป็นนักเตะที่ไม่เคยปล่อยให้เกมเงียบ เขาจะคอยตะโกน สั่งเพื่อน ขยับตำแหน่งเสมอ ช่วยให้ทีมมีการเล่นที่เข้มข้น ไม่เหลาะแหละ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่เขาเล่นได้ดี คุณจะเห็นข้อดีจุดนี้ของเขาออกมาชัดมาก และสิ่งนี้เองที่ทำให้เขาได้รับเลือกให้เป็นกัปตันแทนที่ของ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ เมื่อปี 2023 เพราะ ณ เวลานั้นวิธีการเล่นของเขาสามารถแบกทีมได้จริง ๆ 

เนื่องจาก บรูโน่ มีความเป็นผู้นำในเชิงเทคนิค แม้ไม่ต้องสวมใส่ปลอกแขนกัปตันทีม แต่ทุกคนหรือแม้กระทั่งแฟนบอลก็รู้สึกแบบนั้น เพราะการบ่นหรือสั่งมักมาพร้อมการเคลื่อนไหวแก้ปัญหา เช่น รีบหาบอล, รีบเปิดเกม เพื่อเห็นว่าเขา “ไม่ใช่แค่สั่ง แต่ทำเองด้วย” 

ทุกครั้งที่เขาทำได้ดี แต่ภาพรวมของทีมแย่ คำพูดและคำบ่นของเขาจะมีน้ำหนักเสมอ เพราะ บรูโน่ เป็นนักเตะที่พยายาม ไม่ยอมรับความผิดพลาดง่าย ๆ ซึ่งสะท้อนว่าเขามีมาตรฐานทีมระดับสูง และถ้าเพื่อนร่วมทีมรับได้ คาแร็คเตอร์แบบเขาจะช่วยยกระดับโฟกัสของทั้งทีมได้จริง ... และนั่นคือสิ่งที่แฟน แมนฯ ยูไนเต็ด อยากจะเห็นมาโดยตลอด

เพียงแต่ว่า ณ ตอนนี้ สถานการณ์ของ แมนฯ ยูไนเต็ด เปลี่ยนไปจากในช่วง 2-3 ปีที่แล้ว ทีมเริ่มมีนักเตะที่มีคาแร็คเตอร์ดี ๆ รวมตัวกันมากขึ้น เช่นเดียวกับคุณภาพในการเล่นเกมรุกที่ บรูโน่ เคยต้องแบกสิ่งนี้มาโดยตลอด จากการมาของนักเตะอย่าง มาเธอุส คุนญ่า, ไบรอัน เอ็มเบอโม่ และ เบนบามิน เชชโก้ ... เมื่อมีคนที่ทำหน้าที่ของตัวเองได้แล้ว หน้าที่ของ บรูโน่ ควรจะลดลง และทำให้เขาโฟกัสกับตัวเองได้มากขึ้น 

แต่สิ่งที่เห็นเป็นประจำในช่วงหลังคือ เมื่อ บรูโน่ มีปลอกแขน เขาก็คิดว่าตัวเองต้องแบกทุกอย่างเอาไว้คนเดียวยิ่งกว่าเดิม และในวันไหนที่เขาเล่นแย่ขึ้นมา สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดก่อนหน้านี้ ก็จะเปลี่ยนเป็นผลกระทบในเชิงลบทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่เขาเองก็แทบเอาตัวไม่รอดกับระบบการเล่น 3-4-2-1 ที่เจ้าตัวยังไม่สามารถปรับตัวเข้าเป็นเนื้อเดียวกันกับแผนการเล่นนี้ได้เลย 

 

Emotional contagion

งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ชื่อว่า Emotional Contagion in Teams หรือ การแพร่กระจายทางอารมณ์ ค้นพบว่า เมื่อนักเตะคนหนึ่งเสียอารมณ์จนหลุดจากโฟกัสที่ตั้งไว้ เขาคนนั้นสามารถแพร่กระจายอารมณ์นั้นไปสู่ทีมได้ 

เพื่อนร่วมทีมอาจรู้สึก ถูกตำหนิ ไม่ได้รับการยอมรับ พวกเขาอาจะรู้สึกขาดความมั่นใจในตัวเอง และคิดว่าตัวกำลังเป็นจุดอ่อนของทีม และงานวิจัยยังบอกอีกว่า หากเกิดการสื่อสารในเชิงลบซ้ำ ๆ ในสนาม (ระหว่างแข่งขัน) ก็อาจจะทำให้พวกเขาเกิดภาวะหมดไฟทางอารมณ์หรือ "เบิร์นเอาท์" ได้เร็วขึ้น และสิ่งนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับสิ่งเราได้เห็นในสนามในเกมกับ ฟูแล่ม เมื่อนักเตะ แมนฯ ยูไนเต็ด แทบไม่เอาอะไรแล้วในช่วงท้ายเกมที่หาจังหวะบุกไม่ได้ หาบอลไม่เจอ และความกระหายอยากลดน้อยลง พวกเขาช้ากว่าฟูแล่ม 1 จังหวะอยู่เสมอ 

นอกจากในเชิงจิตวิทยาการกีฬาแล้ว การบ่นของบรูโน่ ยังตรงกับมุมมองจากมนุษยวิทยาและสังคมวิทยาด้วย

ในเชิงมนุษยวิทยา ทีมฟุตบอลคือ “ชุมชนย่อย” (Micro-society) ที่มีโครงสร้างลำดับชั้น ผู้เล่นที่โวยวาย-สั่งการบ่อย อาจสถาปนาตัวเองเป็น ผู้นำที่มีอำนาจสูงสุดในสนาม (Alpha figure) ซึ่งส่งผล 2 แบบ ถ้าทีมยอมรับก็ดี จะกลายเป็นผลบวก แต่ถ้ามันตรงกันข้าม และคนที่โวยวายยังทำหน้าที่ตัวเองได้ไม่ดี ก็ยากที่ทีมจะเป็นปึกแผ่น และถ้าหนักข้อขึ้นเรื่อย ๆ ก็อาจจะเกิดการต่อต้านซึ่งจะกลายเป็นผลเชิงลบได้ 

และสิ่งที่สามารถสรุปเรื่องราวของ บรูโน่ กับการบ่นของเขาได้ดีที่สุด คือการเปรียบเทียบกับ ทฤษฎีภาวะผู้นำ (Leadership Theory) ที่ว่าด้วยเรื่องเสียงบ่นของผู้นำที่ส่งผลได้สองแบบ 

ประการแรก หากการบ่นนั้นเกิดจากความชัดเจน และบ่นเพื่อทำให้ทุกคนช่วยกันแก้ปัญหา นั่นเป็นการบ่นเพื่องาน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น 

แต่ถ้าหากเสียงบ่นนั้นเกิดจากการเอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง เน้นการระบายมากกว่าการหาสาระอื่น เสียงบ่นจากผู้นำลักษณะนี้จะเป็นการทำให้เสียบรรยากาศ ทำให้ขวัญกำลังใจและความมุ่งมั่นลดลงได้เช่นกัน ... ซึ่งดูเหมือนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับ บรูโน่ และ แมนฯ ยูไนเต็ด ในช่วงหลังจะตรงกับกับประการหลังมากกว่า 

ยกตัวอย่างเช่น เกมแพ้ ลิเวอร์พูล 0-7 เมื่อปี 2023 ที่บรูโน่ถูกวิจารณ์ว่า “ยอมแพ้เร็วเกินไป” และ “เอาแต่โวย” จนท้ายที่สุดนักเตะทั้งทีมของ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็โยนจอย และปล่อยให้ผู้เล่น ลิเวอร์พูล เดินหน้าขยี้บวกเพิ่มทีละประตูโดยไร้การต่อต้าน 

 

แก้ได้นะบรูโน่ 

อย่างที่ได้กล่าวไปในพารากราฟแรก คือทุกอย่างล้วนมีสองด้าน ทั้งดีและแย่เสมอ และการมีผู้นำแบบ บรูโน่ ก็เช่นกัน เขาเป็นเหมือนดาบสองคมของทีม ซึ่งเรื่องนี้เขาสามารถช่วยแก้ไขให้ด้านที่แย่ลดลงได้

ถ้าทีมกำลังฟอร์มดี และตัวของเขาเล่นดี วันนั้นการบ่นและการโวยของเขาจะกลายเป็นพลังบวก กระตุ้นให้เพื่อนจริงจัง นั่นคือวันที่ภาวะจิตใจของเพื่อนร่วมทีมทุกคนจะอยู่ในช่วงมั่นใจ หงุดหงิดน้อยลง  

แต่ถ้าทีมฟอร์มแย่ เสียงแบบเดียวกันจะกลับกลายเป็น “เชื้อไฟ” ของความหงุดหงิดและความแตกแยก ทำให้ทีมหลุดออกจากการแข่งขัน และพลาดผลการแข่งขันดี ๆ แบบที่ แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นในเวลานี้นั่นคือ "พวกเขาไม่ชนะ ในเกมที่สมควรชนะ" 

พูดง่าย ๆ คือ บรูโน่เป็นกัปตันที่ “ขับเคลื่อนด้วยอารมณ์” มากกว่า “บารมีสงบ” ดังนั้น แมนฯ ยูไนเต็ด จะได้พลังจากเขามาก ถ้าโค้ชและเพื่อนร่วมทีมสามารถจัดการ “ภาษากายและโทนเสียง” ของเขาให้ถูกช่องทาง ... หรือจะดีกว่านี้มาก ๆ หากเขาโฟกัสกับอารมณ์ของตัวเองให้ชัดเจนก่อนว่าเขา "บ่นเพื่ออะไร" ก่อนจะอ้าปากออกเสียงแต่ละครั้ง 

ณ ตอนนี้ เขายังไม่ได้มีความเป็นผู้นำในห้องแต่งตัวแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแบบที่ แมนฯ ยูไนเต็ด เคยมีในสมัย รอย คีน หรือแม้กระทั่งรอยต่อของยุคที่ แกรี่ เนวิลล์ ขึ้นมาสืบทอดตำแหน่ง 

เปรียบเทียบให้เห็นภาพง่าย ๆ คือทุกคนต่างโวยวายเพื่อนร่วมทีมเหมือนกันทั้งหมด แต่ รอย คีน ออกคำสั่งแบบทหาร อารมณ์ประมาณว่า "ทำซะ ... ไม่งั้นก็เจ็บตัว" ส่วน แกรี่ เนวิลล์ ก็โวยวายแบบหัวหน้าห้อง ด้วยคำสั่งลักษณะคล้าย ๆ การบอกเพื่อนว่า "อย่าลืมทำการบ้าน"

ขณะที่ บรูโน่ ไม่ได้เป็นผู้นำที่ชัดเจนขนาดนั้น การโวยเพื่อนของเขาจึงเป็นไปในลักษณะของ "เพื่อนที่ใจร้อน" คนหนึ่งที่พร้อมโวย และระบาย สิ่งที่อยู่ในใจออกมา อารมณ์ประมาณว่า "ทำไมพวกมึงไม่ทำวะ" 

คำสั่งของ บรูโน่ อาจจะไม่ได้เป็นคำสั่งที่คุกคามและทำให้เพื่อนร่วมทีมกลัวเหมือนกับที่ รอย คีน ทำได้ แต่การบ่นแบบ บรูโน่ ก็สร้างความหงุดหงิด ซึ่งส่งผลเสียได้ตามที่เราเห็นกัน 

บรูโน่ อาจจะไม่ใช่ผู้นำที่ดีที่สุดในเวลานี้ แต่เขาสามารถทำมันให้ดีขึ้นกว่าเดิม และกลายเป็นคนที่เหมาะสมกว่านี้ได้ หากเขาเริ่มที่จะรู้ว่าเรื่องใดควรบ่น และจังหวะไหนควรปล่อยผ่าน ควบคุมอารมณ์ และมีสมาธิกับการงานหลักของตัวเอง นั่นคือการทำให้ทีมเป็นผู้ชนะ ... เพราะฟุตบอลวัดกันที่ผลการแข่งขัน ตราบใดที่ชนะ และประสบความสำเร็จ นิสัยขี้บ่นของเขาจะไม่ใช่ปัญหาและถูกมองข้ามไปอย่างแน่นอน เหลือแค่เพียงความสำเร็จเท่านั้นที่จะถูกพูดถึงแทน 

 

แหล่งอ้างอิง

https://lianedavey.com/rising-emotions-and-the-risk-of-emotional-contagion-on-teams/
https://www.ebsco.com/research-starters/social-sciences-and-humanities/transformational-and-transactional-leadership
https://www.theguardian.com/football/2024/dec/27/bruno-fernandes-and-the-problem-of-being-captain-if-you-keep-getting-sent-off
https://www.nytimes.com/athletic/4287323/2023/03/08/bruno-fernandes-manchester-united-captain/
https://www.bbc.com/sport/football/66282537

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Photo

วัชพงษ์ ดวงแปง

Main Stand's Backroom staff

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ