จากไอเดียธุรกิจเล็ก ๆ สู่เครือข่ายสโมสรฟุตบอลข้ามทวีป การถือครองทีมหลายสโมสรภายใต้เจ้าของเดียวกำลังเปลี่ยนโฉมเกมลูกหนังไปตลอดกาล แต่เบื้องหลังผลประโยชน์มหาศาลและพลังอำนาจนี้ กำลังซ่อนความเสี่ยงที่อาจสั่นคลอนความยุติธรรมของฟุตบอลทั้งโลก
ติดตามเรื่องราวตั้งแต่ต้น จนถึงสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งเชิงลบและบวกกับ Main Stand
แนวคิดง่าย ๆ จากเศรษฐีอเมริกัน
แนวคิดการถือครองหลายสโมสร หรือ Multi-Club Ownership (MCO) ไม่ใช่เรื่องใหม่ในวงการฟุตบอล คุณอาจจะนึกกลุ่มทุนชื่อดังบนโลกฟุตบอลปัจจุบันอย่าง INEOS, Red Bull หรือ City Football Group และคิดว่าพวกเขาเป็นคนเริ่มต้นเทรนด์ ทว่าอันที่จริง จุดริ่มต้นของแนวคิดดังกล่าวเกิดจากคนอเมริกัน ชาติที่พวกเขาเรียกฟุตบอลว่า ซอคเก้อร์ และเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมแบบไม่ติดท็อป 3 ของประเทศ .... คำถามคือคนอเมริกันคนนี้คิดได้อย่างไร ? และเขาคือใคร ?
จุดเริ่มต้นเกิดจากเศรษฐีชาวอเมริกันที่ชื่อ โจ ลูอิส นักลงทุนชาวอเมริกันที่ร่ำรวยและมีเงินมหาศาลจากการเทรดสกุลเงินและอนุพันธ์ โดยเจ้าตัวดังในระดับโลกจากเหตุการณ์ Black Wednesday ถ้าจะอธิบายเหตุการณ์นี้เต็ม ๆ คงยาวมาก แต่เอาเป็นว่าเกี่ยวกับเรื่องสกุลเงินของประเทศต่าง ๆ ในยุโรป ที่แต่ละประเทศต้องการรักษาค่าเงินของตัวเองไม่ให้อ่อนค่าลงจนเสียผลประโยชน์
หลักใหญ่ใจความของเรื่องนี้คือ "การลงทุนมีความเสี่ยง หากคุณใส่เงินทั้งหมดลงไปในที่เดียวกัน เหมือนกับวลีที่บอกว่า 'อย่าเอาไข่ทั้งหมดใส่ตะกร้าใบเดียว'" จากเหตุการณ์ Black Wednesday ทำให้ ลูอิส เห็นว่า ต่อให้ประเทศเศรษฐกิจใหญ่แค่ไหน หรือมีระบบที่คิดว่ามั่นคงแค่ไหน ก็สามารถถูกแรงกดดันจากตลาดโลกทำให้สั่นคลอนได้ในเวลาไม่กี่วัน จากที่เคยเป็นนักลงทุนแลกเปลี่ยน เขาเริ่มนำทรัพย์สินที่มี มาลงกับหลายธุรกิจ ตั้งแต่โรงแรม, รีสอร์ท, อสังหาริมทรัพย์, ไปจนถึงสินทรัพย์ทางวัฒนธรรมอย่าง ศิลปะ และสุดท้ายเขาก็เจอ ... "ฟุตบอล"
ลูอิส ไม่ได้ชอบดูฟุตบอลแบบเรา ๆ ที่คลั่งไคล้และหลงรักอัตลักษณ์เฉพาะตัวของแต่ละทีม ทว่าเขาดูมันแบบนักธุรกิจ และมันทำให้เขาพบว่าในช่วงหลังปี 1990s เป็นต้นมา ฟุตบอลยุโรปกำลังเปลี่ยนเป็น "ธุรกิจโลก" เพราะเป็นกีฬาที่มีศักยภาพในการทำกำไรจากหลายช่องทาง เช่น สิทธิ์ถ่ายทอดสด, การขายนักเตะ, การตลาดข้ามทวีป ซึ่งมันทำให้เขาปิ๊งไอเดียขึ้นมาว่า "ฟุตบอลเป็นสินทรัพย์ที่สามารถสร้างเครือข่าย เพื่อแลกเปลี่ยนทรัพยากรได้"
แน่นอนว่าถ้าก่อตั้งสโมสรใหม่เองตั้งแต่เริ่มนับ 1 มันคงเป็นการลงทุนที่มากเกินไป ลูอิส เริ่มก่อตั้งบริษทที่ชื่อว่า ENIC เข้ามา โดยคนที่ร่วมลงทุนกับเขาคือ ดาเนี่ยล เลวี่ ประธานสโมสรของ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ในปัจจุบัน
ENIC ใช้วิธีซื้อกิจการจากเจ้าของสโมสรในยุโรปที่มีปัญหาด้านการเงิน หรือต้องการอยากจะขายทีมอยู่แล้ว สุดท้ายเขาก็เริ่มทยอยซื้อหุ้นสโมสรต่าง ๆ เช่น กลาสโกว์ เรนเจอร์ส, สลาเวีย ปราก, เออีเค เอเธนส์, วิเซนซ่า ซึ่งคุณจะเห็นได้ว่า การเริ่มต้นของเขาไม่ได้เริ่มต้นจากทีมใหญ่มาก ๆ แต่เลือกจากทีมทีมที่ "ขายถูก" และมีศักยภาพที่สามารถต่อยอดได้ในอนาคต
จุดประสงค์ของ ENIC ในการครอบครองหลายสโมสรในมือคือ พวกเขาต้องการจะกลายเป็นคนที่ควบคุมห่วงโซ่การซื้อขายนักเตะด้วยตัวเอง กล่าวคือแทนที่จะซื้อนักเตะราคาแพง ๆ จากทีมที่อื่นที่จ้องฟันกำไรหัวแบะ พวกเขาเลือกสร้างดาวรุ่งจากสโมสรเล็ก ๆ ในมือ จากนั้นก็ปั้นขายต่อให้ทีมใหญ่ในเครือ เป็นการต่อยอดที่ได้ 2 เด้ง ทีมเล็กได้เงิน ทีมใหญ่ได้นักเตะราคาถูก และยังสามารถเอาไปขายต่อให้กับทีมอื่น ๆ ได้อีกหากนักเตะคนนั้นกลายเป็นนักเตะระดับท็อป
นอกจากนี้ ENIC ยังเป็นกลุ่มที่เริ่มแนวคิดสร้างเครือข่ายการตลาดเชิงธรุกิจ ที่พวกเขาสามารถลากสปอนเซอร์ชิ้นเดียว ให้เข้าสนับสนุนหลายทีมในเครือได้ ด้วยโปรโมชั่นลดแลกแจกแถมที่พวกเขาสามารถกำหนดเองได้ทั้งหมด
ไม่ใช่แค่ขายนักเตะหรือสปอนเซอร์เท่านั้น กลุ่ม ENIC พร้อมขายแม้แต่สโมสรที่พวกเขาถืออยู่ เรียกได้ว่าหากสโมสรเติบโต มีผลงานดี หรือได้สิทธิ์ไปเล่นฟุตบอลยุโรป ราคาประเมินสโมสรก็สูงขึ้น และมีคนมาขอซื้อในราคาที่พวกเขาพอใจ พวกเขาก็พร้อมที่จะขายทำกำไรทันที
คุณไม่ต้องถามว่ามันเวิร์กแค่ไหน เพราะตอนนี้ ENIC ที่ไต่เต้าจากการเป็นเจ้าของทีมในลีกเล็ก ๆ ตอนนี้พวกเขาเป็นเจ้าของทีมที่ทำกำไรให้พวกเขาทุกซีซั่นอย่าง สเปอร์ส ขณะที่ตัวของ โจ ลูอิส ก็สร้างคอนเน็คชั่นมากมายจากธุรกิจฟุตบอล ซึ่งตอนนี้เขารวยมหาศาลไปเรียบร้อย และปล่อยให้ เลวี่ บริหารเรื่องฟุตบอลแบบเต็มตัวแล้ว
วงขยาย ผู้เล่นเพิ่มขึ้น
ความสำเร็จของการถือทีมฟุตบอลหลายทีมในมือสำหรับกลุ่ม ENIC และ โจ ลูอิส ทำให้ในยุคต่อมา นักธุรกิจจากวงการต่าง ๆ ก็กระโดดเข้ามาร่วมวงไพบูลย์เพื่อแชร์ผลประโยชน์ในโลกของฟุตบอลอย่างมากหน้าหลายตา เพราะฟุตบอลในยุคหลังปี 2000s ต้นมา กลายเป็นโลกของธุรกิจอย่างเต็มตัวแบบปฎิเสธไมได้
ฟุตบอล ไมใช่เกมการแข่งขันอย่างเดียว แต่มันกลายเป็นเป็นประตูสู่ธุรกิจโฆษณา, สปอนเซอร์, ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด, และ อสังหาริมทรัพย์รอบสนาม นอกจากนี้ยังสามารถใช้สโมสรเป็นแพลตฟอร์มในการโปรโมตธุรกิจอื่น ๆ ในเครือได้อีกด้วย นั่นทำให้ผู้เล่นใหม่อย่าง Red Bull, City Football Group (CFG), Fenway Sports Group (FSG), INEOS, NewCity Capital, Brera Holdings และเครือข่ายข้ามชาติอื่น ๆ ที่เข้ามาเล่นในตลาดนี้อย่างต่อเนื่อง
ผู้เล่นใหม่เหล่านี้ต่างเชื่อว่า ฟุตบอลสามารถบริหารงานเหมือนเครือข่ายธุรกิจข้ามชาติ ใช้ทรัพยากรและความเชี่ยวชาญร่วมกัน เพื่อสร้างมูลค่าและผลกำไรระยะยาว ไม่จำเป็นต้องสร้างแล้วขายเหมือนที่ ENIC ทำในอดีต แต่ถ้าหากทำอย่างมีระบบ และรู้จักฟุตบอลอย่างลึกซึ้ง การมีสโมสรฟุตบอลในมือหลายทีม ก็เปรียบเหมือนกับการมีธุรกิจที่สร้างกำไรได้เรื่อย ๆ ซึ่งในภาษาธุรกิจเรียกธุรกิจลักษณะนี้ว่า "Cash Cow" หรือ "สินค้าทำกำไร" ซึ่งเปรียบกับการเลี้ยงวัว ที่คุณสามารถรีดนมมันมาขายได้ทุกวัน
ฟุตบอลก็ไม่ต่างจากวัวนัก แต่ละกลุ่มทุนอย่างที่เรากล่าวมา สามารถสร้างนักเตะดาวรุ่งจากลีกเล็กนอกยุโรป ส่งต่อมายังทีมเล็กในยุโรป และปลายทางคือทีมหลักที่อยู่ในมือ และเมื่อถึงจุดหนึ่งที่นักเตะมีมูลค่ามหาศาล พวกเขาก็ขายให้กับทีมนอกเครือข่ายเป็นการทำกำไรก้อนโตที่ปลายน้ำ วนเวียนไปแบบนี้เรื่อย ๆ เหมือนที่ Red Bull หรือ City Football Group ทำในเวลานี้
กล่าวคือ พวกเขามีนักเตะดาวรุ่งฝีเท้าดีในมือมากมาย คนไหนที่เก่งมาก ๆ ก็สามารถกลายเป็นนักเตะคู่บุญของทีมเพื่อพาทีมครองความยิ่งใหญ่ในโลกลูกหนังได้ ส่วนคนไหนที่ไม่เก่งพอที่จะเป็นนักเตะของทีมใหญ่ ก็ยังสามารถขายได้ราคาเพราะนักเตะได้โอกาสลงเล่นและพัฒนาอยู่ทุกปีกับทีมในเครือของตัวเอง ... เรียกได้ว่าเป็นการกระจายความเสี่ยงได้เป็นอย่างดี เพราะคุณไม่ต้องเสี่ยงกับนักเตะในสโมสรอย่างเดียวเท่านั้น แต่คุณมีทรัพยากรนักเตะเป็นร้อยเป็นพันคนจากเครือข่ายทั่วโลก
ส่วนที่ตามมาจากการมีหลายสโมสรในมืออีกอย่างก็คือ "การเจาะตลาดท้องถิ่น" เพราะการมีทีมในประเทศต่าง ๆ ทำให้เข้าถึงแฟนบอลใหม่ สปอนเซอร์ใหม่ และช่องทางรายได้ใหม่ ๆ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต
นอกจากนี้ การถือครองหลายทีมไม่ใช่แค่การกระจายความเสี่ยง แต่เป็นการสร้าง "ระบบนิเวศฟุตบอล" ที่ให้ประโยชน์ทั้งเชิงธุรกิจและกีฬา ในเชิงธุรกิจก็อย่างที่ได้กล่าวไปในข้างต้น แต่ในเชิงกีฬานั้น พวกเขาสาามารถแชร์ความรู้และทรัพยากรถึงกันและกันได้ ทำให้ทีมเล็ก ๆ ที่อยู่ในลีกไม่ดัง ก็สามารถพัฒนาไปข้างหน้าได้หากมีองค์ความรู้ที่ถูกต้องเหมาะสม เหมือนกับทีมระดับพี่บิ๊กเขาทำกัน
หลักฐานที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบัน มันทำให้เห็นชัดเจนว่าหากมีองค์ความรู้ในเรื่องการบริหารธุรกิจ และความรู้เรื่องฟุตบอลควบคู่กันไป ผลประโยชน์มากมายก็จะเกิดขึ้นได้ไม่ยาก เหมือนกับที่ City Football Group สร้าง แมนฯ ซิตี้ ให้กลายเป็นทีมระดับเรือธงของโลกฟุตบอลได้ในท้ายที่สุด, กลุ่ม Red Bull สามารถกำไรจากการขายนักเตะอย่างเดียวเป็นเงินกว่า 400 ล้านยูโรต่อ 1 ปี เป็นต้น
อ้อ และผลประโยชน์ในแนวดาร์ก ๆ ก็มีเช่นกัน เพราะการถือครองหลายสโมสรทำให้เกิดความได้เปรียบบางอย่าง ที่ทำให้เจ้าของทีม ๆ นั้นสามารถหมุนเวียนนักเตะระหว่างทีมในเครือเพื่อเพิ่มมูลค่าคล้าย ๆ กันกับการ "ปั่นหุ้น" และถ้าดาร์กยิ่งกว่านี้ก็มี ... ซึ่งคนที่ออกมาพูดถึงเรื่องนี้ก็คือชายผู้ได้รับการขนานนามว่า "ขงเบ้งลูกหนัง" อย่าง อาร์แซน เวนเกอร์ ซึ่งตัวเขาออกมาบอกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายในเวลานี้ กำลังจะเป็นอันตรายต่อโลกฟุตบอลในอนาคต
อันตรายต่อโลกฟุตบอลในอนาคต
แม้ MCO จะมีข้อดีในเชิงธุรกิจ แต่ก็มีความเสี่ยงและเสียงวิจารณ์ไม่น้อย ประการแรกเข้าใจกันได้ง่ายที่สุด ก็คือการซื้อขายนักเตะกันระหว่างทีมในเครือ ว่ากันว่าส่วนใหญ่จะมีการโอนย้ายนักเตะแบบ "ราคาพิเศษ" ไม่ว่าจะถูกเป็นพิเศษ เพื่อให้นักเตะได้มีเวทีลงเล่นที่เหมาะสมกับตัวเอง หรือราคาที่แพงเป็นพิเศษ หากว่าพวกเขาต้องการหลบเลี่ยงการทำผิดกฎ Financial Fair Play
ข้อนี้เองที่สำคัญมาก ๆ เพราะ Financial Fair Play เป็นกฎที่ทาง สหพันธ์ฟุตบอลยุโรป หรือ ยูฟ่า พยายามคิดค้นออกมาเพื่อให้แต่ละทีมลงทุนอย่างเหมาะสม ห่างไกลจากการล้มละลาย แต่พวกเขาอาจจะลืมไปว่า มันยังมีอีกหลายวิธีมากมายที่มีในเครือข่ายเดียวกัน หรือแม้เจ้าของเดียวกันสามารถชกใต้เข็มขัดเพื่อหนีกฎนี้
แม้ปัจจุบันจะไม่มีดีลไหนที่ทีมเครือข่ายเดียวกันโดนลงโทษจากการขายนักเตะแบบตั้งใจทุจริต เช่น "ขายแพงเกินไป หรือถูกเกินไป" เพราะ ยูฟ่า พยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ให้เรื่องนี้เกิดขึ้น เช่น เมื่อซีซั่น 2024-25 ที่ผ่านมา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ นีซ รวมถึง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับ จีโรน่า ถูกห้ามซื้อขายนักเตะกันโดยตรง เพราะพวกเขาลงเล่นถ้วยยุโรปในรายการเดียวกัน ซึ่ง ยูฟ่า อนุญาต เพราะทั้ง INEOS และ City Football Group ได้โอนหุ้นเข้าสู่ Blind Trust เพื่อไม่ให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน
อย่างไรก็ตาม ดีลในลักษณะ "แปลก ๆ" นี้ก็มีให้เห็นในโลกฟุตบอลอยู่เรื่อย ๆ อาทิ เชลซี และ แอสตัน วิลล่า ที่โดน ยูฟ่า ออกมาเตือนว่า ทั้งคู่ซื้อขายนักเตะกันไม่สมเหตุสมผล เพื่อตกแต่งบัญชีในส่วนรายได้จากการขายผู้เล่น แม้ทั้งคู่ไม่ได้อยู่ในเครือเดียวกันก็ตาม
ยกตัวอย่างเช่น ดีลที่ เชลซี เซ็น โอมาริ เคลลี่แมน เข้ามาจาก วิลล่า ด้วยค่าตัว 19 ล้านปอนด์ แต่มิดฟิลด์อังกฤษวัย 19 ปี ยังไม่ได้ประเดิมชุดใหญ่เลย หรือแม้กระทั่ง เอียน มาตเซ่น แบ็กซ้ายเด็กปั้น เชลซี ย้ายสลับขั้วไป วิลล่า ด้วยค่าตัว 37.5 ล้านปอนด์ แต่ก็ไม่ได้เป็นนักเตะตัวหลักของ วิลล่า ที่ได้ลงเล่นประจำในเกมพรีเมียร์ลีกเลย
สื่อใหญ่อย่าง The Times ถึงกับเปิดเผยว่า เมื่อต้นเดือนกรกฎาคม 2025 ยูฟ่า ได้ทำข้อตกลงให้ทั้ง เชลซี และ วิลล่า จ่ายเงินชดใช้ ข้อหาผิดกฎการเงิน แล้วหลังจากนั้นแจ้งว่า ดีลสลับขั้วนักเตะระหว่างสองทีม จะถูกพิจารณาเป็นพิเศษ ซึ่งฝั่ง สิงห์บลูส์ และ สิงห์ผงาด ต่างก็ได้เซ็นยอมรับเงื่อนไข และพร้อมจะถูกแบนจากรายการยุโรป 1 ฤดูกาล หากฝ่าฝืนข้อตกลงที่ทำไว้กับ ยูฟ่า ครั้งนี้
สิ่งที่เกิดขึ้นมันคือการบิดเบือนความยุติธรรมที่หลายฝ่ายมองว่ามันเกิดขึ้นแล้วในปัจจุบัน และยังมีอีกหลายดีล ๆ ที่ยังมีความน่าสงสัยเกิดขึ้นภายใต้การซื้อขายของทีมเครือข่าย และเมื่อเกมฟุตบอลมันกลายเป็นเรื่องของธุรกิจมากขนาดนี้ มันย่อมส่งผลเสียต่อเรื่องของเสน่ห์ของเกมลูกหนังอย่างลีกเลี่ยงไม่ได้
ไม่มีกลุ่มทุนไหนที่จะสร้างทีมใหญ่ระดับเดียวกันขึ้นมา 2 ทีมแน่นอน เพราะพวกเขาเป็นเครือข่ายที่ส่งต่อกันจากล่างขึ้นบน และจากบนลงล่าง ซึ่งนั่นเลี่ยงไม่ได้เลยที่จะทำให้ทีมรองกลายเป็นแค่ Feeder Club มีหน้าที่สร้างนักเตะและป้อนให้ทีมใหญ่อย่างเดียว โดยที่พวกเขาถูกลดทอนความสำคัญลง นำไปสู่การสูญเสียอัตลักษณ์ของสโมสร ซึ่งคุณก็คงได้เห็นว่าแฟนบอลของสโมสรต่าง ๆ ในลีกเล็ก ๆ ที่โดนกลุ่มทุนใหญ่ซื้อ ส่วนใหญ่จะหันหลังให้กับทีมรักของพวกเขาเพื่อต่อต้านเจ้าของใหม่ทันที
อาร์แซน เวนเกอร์ ห่วงเรื่องนี้ไม่แพ้เรื่องธุรกิจ เขาบอกว่าเหล่าแฟนบอลทั่วโลกกำลังกังวลว่าประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมท้องถิ่นจะถูกละเลย เพื่อให้เข้ากับ "แบรนด์" ของเจ้าของ และถ้าเรื่องนี้ไม่มีการแก้ไขกฎให้เข้มงวด เพื่อปิดช่องทางธุรกิจต่าง ๆ อย่างสมเหตุสมผล ท้ายที่สุดแล้ว การแข่งขันในลีกอาจจะเสียสมดุล และสโมสรเล็ก ๆ จะยิ่งลำบากกว่าเก่า
โดย เวนเกอร์ สรุปเรื่องดังกล่าวแบบที่แฟนบอลอย่างเรา ๆ เข้าใจง่าย ๆ ว่า MCO เป็นปรากฏการณ์ที่เติบโตอย่างรวดเร็วในโลกฟุตบอลยุคใหม่ เพราะให้ข้อได้เปรียบด้านเงินทุน การพัฒนานักเตะ และการขยายแบรนด์
แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีโอกาสทำลายสมดุลการแข่งขันและอัตลักษณ์ของสโมสร หากขาดการกำกับดูแลที่รัดกุม โลกฟุตบอลอาจต้องหาทางออกเพื่อให้ธุรกิจและจิตวิญญาณของเกมเดินไปด้วยกันอย่างยั่งยืน
ฟังแล้วก็น่าคิดตาม แล้วในฐานะแฟนบอลคนหนึ่ง ... คุณล่ะคิดอย่างไรกับเรื่องนี้ ?
แหล่งอ้างอิง
https://www.fnlondon.com/articles/arsene-wenger-flags-concerns-over-private-equitys-multi-club-football-spree-63adfe82?utm_source=chatgpt.com
https://www.lemonde.fr/sport/article/2024/05/13/la-multipropriete-des-clubs-de-football-un-fleau-autorise_6233005_3242.html?utm_source=chatgpt.com
https://www.ft.com/content/1bd017de-f14c-417b-a097-e46c2629175d?utm_source=chatgpt.com
https://www.businesstimes.com.sg/lifestyle/one-owner-multiple-teams-why-trend-roiling-world-football?utm_source=chatgpt.com