ในช่วง 4-5 ปีหลังสุด สโมสรจากยุโรปที่เป็นทีมในระดับท็อป เมื่อต้องเลือกมาพรีซีซั่นในแถบอาเซียน พวกเขามักจะเลือก "ประเทศสิงคโปร์" เป็นหมุดหมายปลายทาง
ในประเทศที่เล็ก ๆ และมีประชากรแค่ 6 ล้านคน มีอะไรดึงดูดทีมแถวหน้าจนทำให้ชาวสิงคโปร์มีฟุตบอลดี ๆ ให้ดูทุกปีในช่วงพรีซีซั่น ทั้ง ๆ ที่สิงคโปร์ไม่ได้เป็นประเทศที่คลั่งไคล้ฟุตบอลเท่ากับประเทศไทยของเรา ?
เตะหน้าฝนสนามต้องเทพ
แม้ว่าทีมชาติ สิงคโปร์ จะมีผลงานที่ตกลงไปนับตั้งแต่กลางทศวรรษที่ 2010s และฟุตบอลก็ไม่ใช่สิ่งที่ฟีเวอร์ที่สุดในประเทศ แต่สิ่งที่พวกเขาสามารถอวดสู่สายตาชาวโลกได้อย่างภาคภูมิโดยเฉพาะเรื่องฟุตบอลคือ สนามกีฬาแห่งชาติ แห่งใหม่ หรือ "สิงคโปร์ เนชั่นแนล สเตเดียม"
มันคือสนามกีฬาอเนกประสงค์ ขนาดความจุ 55,000 ที่นั่งถูกสร้างขึ้นมาแทนที่ สนามกีฬาแห่งชาติของเก่าที่ทรุดโทรมในพื้นที่เดิม และแล้วเสร็จในปี 2014 โดยเป็นส่วนหนึ่งของ "สิงคโปร์ สปอร์ตฮับ" ศูนย์รวมกีฬา ความบันเทิง และไลฟ์สไตล์ที่ทันสมัย บนพื้นที่กว่า 200 ไร่
ด้วยความที่เป็นสนามสร้างใหม่ ทำให้สนามกีฬาแห่งชาติของพวกเขา มาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย อย่างที่นั่งชั้นล่างสุดที่สามารถพับเก็บได้ ที่ทำให้นอกจากฟุตบอลแล้ว มันยังถูกใช้จัดกิจกรรมอื่น ๆ เช่นการแข่งขันรักบี้ คริกเก็ต กรีฑา ไปจนถึงความบันเทิงอย่าง เวทีคอนเสิร์ต เป็นต้น
นอกจากนี้ สนามแห่งนี้ยังมีระบบทำความเย็น ที่เข้ากับสภาพอากาศที่ร้อนชื้นของสิงคโปร์ ที่เรียกว่า "ระบบระบายความร้อนแบบชาม" ที่จะปล่อยลมเย็น 23 องศาเซลเซียส มาจากใต้ที่นั่ง ซึ่งใช้พลังงานน้อยกว่าระบบปรับอากาศทั่วไปถึง 15 เปอร์เซ็นต์
แต่สิ่งสำคัญที่สุด ที่น่าจะมีผลที่สโมสรใหญ่ ๆ เลือกจะมาอุ่นเครื่องที่สิงคโปร์ในทุก ๆ ปีก็คือ สนามกีฬาแห่งนี้สามารถการรับมือกับฝนที่ค่อนข้างชุกอย่างแถบอาเซียน โดยที่สิงคโปร์นั้น มีฝนตกมากถึง 167 วันต่อปี (กรุงเทพฯ ฝนตกเฉลี่ย 88 วันต่อปี) แถมในหนึ่งปีมีปริมาณน้ำฝนสะสมที่มากถึง 2,342 มม. (กทม. 1,907 มม.) ทำให้สนามแห่งนี้ มาพร้อมกับหลังคาที่เปิดปิดได้ ครอบคลุมที่นั่ง 95 เปอร์เซ็นต์ของทั้งสนาม
รวมไปถึงระบบระบายน้ำใต้สนาม ที่สอดรับกับอุโมงค์เก็บน้ำเพื่อป้องกันน้ำท่วมของรัฐบาลสิงคโปร์ บวกกับที่ตั้งที่อยู่ใกล้กับแม่น้ำ ทำให้น้ำท่วมสนามจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่จะได้เห็นจากสังเวียนความจุครึ่งแสนแห่งนี้
การปรีซีซั่นของทีมเหล่านี้มักจะตรงกับช่วงหน้าฝนพอดี และประเทศในอาเซียนที่ส่วนใหญ่มีสภาพอากาศร้อนชื้น ... ห้ามธรรมชาติไม่ให้ฝนตกไม่ได้ แต่สิ่งเหล่านี้ป้องกันได้ด้วยสนามฟุตบอลที่มีคุณภาพ น้ำไม่ขัง สามารถเล่นฟุตบอลที่มีคุณภาพได้ ไม่เสี่ยงต่ออาการบาดเจ็บของนักเตะ ซึ่งข้อนี้เป็นสิ่งที่หลายทีมให้ความสำคัญอย่างมากในช่วงปรีซีซั่น
สาเหตุที่พวกเขาต้องการสนามดี ๆ เพื่อที่จะให้นักเตะสามารถเล่นตามแผนที่โค้ชวางมาได้มากที่สุด เพราะนี่คือช่วงเวลาแห่งการลองทุกอย่างที่พวกเขาอยากจะลอง และในกรอบเวลาที่จำกัดเพียงไม่กี่สัปดาห์ พวกเขาจะปล่อยให้การเตรียมการเสียเปล่าไม่ได้
หากฝนตกน้ำท่วมขังจนไม่สามารถเล่นได้ พวกเขาก็เสียเวลาอันมีค่านั้นไปโดยไม่ได้อะไรกลับมาเลยนอกจากเงินค่าจ้าง นอกจากนี้ยังทำให้เสียเวลาเปล่า ๆ เพราะส่วนใหญ่สโมสรจะมาทัวร์ที่ประเทศต่าง ๆ ในช่วงนี้แค่ไม่กี่วันเท่านั้น
แทนที่จะได้เล่น ได้ทดลองระบบ กลับกลายเป็นว่าต้องเสียเวลาไปเปล่า เหมือนกับการเปลี่ยนที่นอน และเช้ามาก็ต้องเดินทางไปสนามบินเพื่อเดินทางไปยังประเทศอื่นทันที เหมือนกับเกมปรีซีซั่นฤดูกาล 2023-24 ที่ เลสเตอร์ มีคิวลงเล่นกับ สเปอร์ส ที่ ราชมังคลากีฬาสถาน ซึ่งสุดท้ายก็ต้องยกเลิกการแข่่งขัน เพราะฝนตกหนักจนสภาพสนามไม่พร้อมใช้งาน
ดังนั้น สิงคโปร์ เนชั่นแนล สเตเดียม จึงตอบโจทย์เป็นอย่างมาก เพราะถ้าพวกเขาเลือกสนามนี้แล้ว โอกาส "โปรแกรมล่ม" มีน้อยมาก เรียกได้ว่าถ้ามาที่นี่ไม่เสียเปล่าแน่นอน
รอบนอกสนามก็มีส่วนสำคัญ
นอกจากความทันสมัยของเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ล้ำสมัย และพื้นสนามที่พร้อมสำหรับการเล่นฟุตบอลที่มีความเข้นข้นสูงของสนาม "สิงคโปร์ เนชั่นแนล สเตเดียม" แล้ว สิ่งหนึ่งที่เหล่าทีมต่าง ๆ เลือกมาที่สิงคโปร์เป็นหลักในช่วงหลังก็คือ ความพร้อมของการเดินทางมาสนาม และ สิ่งอำนวยความสะดวก ที่พวกเขาก็คิดล่วงหน้าและออกแบบเพื่อความสะดวกมาแล้ว
สนามแห่งนี้ยังเดินทางไปได้ง่าย ด้วยระบบขนส่งมวลชน ทั้งรถไฟฟ้า ที่พวกเขามีสถานี Stadium เป็นของตัวเอง ซึ่งห่างจาก มารินา เบย์ แค่เพียง 31 นาที หรือรถบัส ที่ใช้เวลาเพียง 6 นาที แล้วลงตรงป้ายหน้าสนาม ก่อนจะเดินเข้าไปราว 800 เมตร
การเดินทางมาสนามได้สะดวกนั้นเป็นสิ่งที่หลายสโมสรก็ให้ความสำคัญไม่แพ้กัน ไม่ต้องเปรียบเทียบที่ไหนไกล หากเทียบกับ ราชมังคลากีฬาสถาน ของบ้านเรานั้น การจะเดินทางไปที่นั่นในช่วงเวลาเร่งด่วนแทบไม่มีทางเป็นไปได้ ส่วนใหญ่เราจึงได้เห็นนักฟุตบอลต้องมาถึงสนามก่อนเกมจะเริ่มถึง 6-8 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อยเพื่อเลี่ยงรถติด ... ซึ่งเรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เพราะการเดินทางบนถนนนาน ๆ โดยไม่ได้เปลี่ยนท่า อาจจะทำให้เกิดปัญหาปวดเมื่อยกล้ามเนื้อซึ่งส่งผลต่อนักกีฬาได้
ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้สนามกีฬาแห่งชาติสิงคโปร์ ที่มีความพร้อมเรื่องการเดินทาง จึงได้มีโอกาสต้อนรับสโมสรจากยุโรป ไม่ว่าจะเป็น ยูเวนตุส, บาเยิร์น มิวนิค, เชลซี, ลิเวอร์พูล, อาร์เซน่อล, เอซี มิลาน, นิวคาสเซิล ไปจนถึงทีมระดับโลกอย่าง บราซิล, อาร์เจนตินา และญี่ปุ่น เบอร์ 1 ของเอเชีย รวมไปถึงเป็นที่จัดคอนเสิร์ตของศิลปินระดับโลก ทั้ง แบล็คพิงค์, โคลด์เพลย์ และล่าสุดอย่าง เทย์เลอร์ สวิฟท์ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในช่วงไม่ 4-5 ปีที่ผ่านมาเท่านั้น
อีกอย่างที่ลืมไม่ได้ และสโมสรต่างประเทศคอมเมนต์ว่าสิงคโปร์ทำได้ดีมาตลอด คือเรื่องของ "การรักษาความปลอดภัย"
เนื่องจากเป็นประเทศที่มีการเมืองมีเสถียรภาพ และมีกฎหมายที่เข้มงวด ทำให้พวกเขาเป็นประเทศที่ติดท็อป 3 ของประเทศที่ปลอดภัยที่สุดในโลก มีอัตราอาชญากรรมโดยรวมต่ำมาก เพราะมีระบบกล้องวงจรปิดอัจฉริยะ (Smart CCTV) ครอบคลุมทั้งเมือง มีเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำสนามอย่างเข้มงวด
โดยมีการเปิดเผยว่า เหล่าสโมสรระดับท็อปมักจะมีข้อเรียกร้องเรื่องความปลอดภัยระดับมาตรฐานสากล กล่าวคือที่พักต้องมีระบบรักษาความปลอดภัยส่วนบุคคล 24 ชม. รถบัสต้องมีการตรวจสอบเส้นทางล่วงหน้าอย่างละเอียด และมีเจ้าหน้าที่ประสานงานคอยดูและความปลอดภัยเฉพาะบุคคลด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ทางฝ่ายจัดของสิงคโปร์สามารถรองรับข้อกำหนดทั้งหมดนี้ได้อย่างดีเยี่ยม
ถ้าการเมืองดี
ข้อสุดท้ายอาจจะเป็นประโยคที่ดูน่าเบื่อ แต่คุณไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่า "การเมืองนั้นเกี่ยวกับทุกเรื่อง"
สิงคโปร์ เป็นประเทศที่การเมืองมีเสถียรภาพที่สุดในอาเซียน ซึ่งความมีเสถียรภาพทางการเมืองนี้เป็นผลมาจากการผสมผสานของปัจจัยหลายอย่าง เช่น การปกครองที่มีประสิทธิภาพ, ระบบราชการที่โปร่งใส, และการมุ่งเน้นที่การพัฒนาเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชน ... และเรื่องนี้มันมีส่วนมาก ๆ ที่ทำให้ทีมใหญ่ ๆ เลือกสิงคโปร์เป็นหมุดหมายในช่วงปรีซีซั่นของพวกเขา
รัฐบาลสิงคโปร์มีนโยบายส่งเสริมอีเวนต์กีฬาระดับโลกเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ทำให้พวกเขามีงบประมาณส่วนนี้โดยเฉพาะผ่านหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นมา ซึ่งงบประมาณที่มีนั้น ทำให้พวกเขาเอาไปสนับสนุนการแข่งขันกีฬาระดับโลกมากมายเช่น F1, UFC และฟุตบอลแมตช์ต่าง ๆ
นอกจากงบประมาณจะเหลือเฟือแล้ว พวกเขายังเป็นประเทศที่มี GDP ต่อหัวสูงที่สุดในอาเซียนทำให้มี ฐานแฟนบอลมีกำลังซื้อสูง ซึ่ง GDP เหล่านี้ก็แสดงถึงการที่พวกเขามีองค์กรระดับโลกมาตั้งฐานบัญชาการสำคัญอยู่ในสิงคโปร์ แน่อนว่าองค์กรพวกนี้สนับสนุนสโมสรดังอยู่แล้ว มันก็ยิ่งทำให้พวกเขาสามารถจัดกิจกรรมการตลาด, อีเวนต์ และนำแบรนด์ไปสู่ตลาดใหม่ในภูมิภาคนี้ได้ง่ายมากขึ้น
ส่วนเรื่องของฐานแฟนบอลในประเทศนั้น สิงคโปร์ ก็เป็นหนึ่งในประเทศที่มีสัดส่วนแฟนบอล พรีเมียร์ลีกสูงที่สุดในโลกนอกอังกฤษ ซึ่งเมื่อรวมกับที่พวกเขาเป็นประเทศที่มีทำเลที่ตั้งเป็นศูนย์กลางอาเซียน ใกล้ทั้งประเทศไทย, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, เวียดนาม ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ของพรีเมียร์ลีก มันจึงไม่ใช่เรื่องยากที่แฟนบอลจากประเทศเหล่านี้จะเดินทางมาดูฟุตบอลทีมรักที่สิงคโปร์ เพราะใช้งบประมาณไม่มาก และมีวัฒนธรรมที่ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก
ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า สิงคโปร์ เป็นหมุดหมายของสโมสรดังระดับโลกในช่วงหลังได้ก็เพราะว่าพวกเขาามีโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก มีสนามดี ๆ มีคุณภาพ มีเศรษฐกิจที่ดีมีกำลังซื้อสูง เหมาะกับการทำตลาด-สื่อสารแบรนด์ในเอเชีย
เหตุผลเท่านี้ก็เพียงพอที่จะยืนยันได้ว่า ทำไมในช่วงโอกาสต่อจากนี้ หากอยากจะดูฟุตบอลทีมรักคุณในช่วงเวลานี้ การเก็บเงินไปดูที่สิงคโปร์ จึงดูอะไรที่เป็นไปได้มากกว่าการรอทีมรักมาแข่งขันที่ประเทศไทยอย่างแน่นอน
แหล่งอ้างอิง
https://www.thedrum.com/news/2021/01/19/singapore-sports-hub-how-it-rethink-its-venues-with-tech-cope-with-covid-19
https://www.skyscanner.com.sg/news/5-must-know-facts-about-singapore-sport-hubs-national-stadium
https://www.straitstimes.com/sport/football/grow-grass-grow-spotlight-on-national-stadiums-pitch-ahead-of-brazil-japan-clash
https://www.todayonline.com/sports/national-stadium-pitch-get-yet-another-makeover
https://thaipublica.org/2020/07/how-singapore-manage-inland-coastal-flood-heavy-rain-from-climate-change/