Feature

รวบตึงชิงแชมป์สโมสรโลก : รายการสุดระห่ำที่เสียงแตกเป็น 2 ด้าน | Main Stand

หลังจากการแข่งขันฟุตบอลลีกยุโรปลีกใหญ่ ๆ ในฤดูกาล 2024-25 จบลง ไฮไลต์ประจำซัมเมอร์นี้นอกจากการซื้อตัวแล้ว ก็คงหนีไม่พ้นฟุตบอลสโมสรชิงแชมป์โลก ที่กำลังจะลงแข่งขันกันในวันที่ 14 มิถุนายน นี้

 

ทีมใหญ่มากมาย สตาร์ระดับท็อปพร้อมหน้าพร้อมตา และรางวัลก้อนโตระดับน้อง ๆ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ... แต่ว่ากันว่ารายการนี้ "มีเบื้องหลัง" และหลายคนก็ไม่เห็นด้วยกับการแข่งขันรายการนี้

ไล่ทุกต้นตอ และไขทุกปมของฟุตบอลสโมสรโลก กับ Main Stand ที่นี่ 

 

ทำไมต้องแข่งสโมสรโลก ?

คำตอบของคำถามที่ว่าทำไมต้องแข่งสโมสรโลก เหตุผลที่ง่ายที่สุดและเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ก็คือ "การหาสโมสรที่เก่งที่สุดในโลก" และแนวคิดนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 1909 หรือก่อนฟุตบอลโลก (FIFA World Cup) จะเริ่มแข่งขันครั้งแรกถึง 21 ปี เพียงแต่มันไม่ได้เป็นการจัดแข่งขันโดยสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (FIFA) และนั่นทำให้เป็นการแข่งขันที่ไม่ได้รับความสนใจมากนัก เพราะไม่มีสโมสรดังมาแข่งขันด้วย 

เชื้อแนวคิดดังกล่าว ทำให้ FIFA ที่ก่อตั้งขึ้นมาในภายหลัง มองว่าเป็นโมเดลธุรกิจที่ดี สามารถต่อยอดได้ในแง่ของการตลาด และได้ผลบวกในเชิงฟุตบอลด้วย 

เหตุนี้จึงทำให้ FIFA อยากจะลองทดสอบโมเดลนี้ดู โดยการให้สมาคมฟุตบอลบราซิลออกหน้ารับจัดงานแทนโดยใช้ชื่อรายการว่า Copa Rio หรือเรียกอีกอย่างว่า Club World Cup ซึ่งการจัดการแข่งขันครั้งนั้นได้รับคำชื่นชมจากสื่อในยุโรปอย่างมาก ทางฝั่งบราซิลจึงได้โอกาสบอกว่า FIFA ควรเข้ามาร่วมด้วย เนื่องจากการมี FIFA เข้ามาเป็นพาร์ทเนอร์ด้วย จะยิ่งทำให้การเชิญสโมสรจากยุโรปมาแข่งขันทำได้ง่ายขึ้น 

และในปี 1951 กระแสตอบรับก็ล้นหลาม เนื่องจากเกมสโมสรโลกที่ พัลไมรัส เอาชนะ ยูเวนตุส และคว้าแชมป์ไปครองได้นั้น มีคนดูในสนาม มาราคานา มากกว่า 200,000 คน แต่ความสำเร็จนั้นก็อยู่ได้แค่ข้ามคืน เนื่องจากการแบ่งผลประโยชน์ที่ไม่ลงตัว และการทำงานที่ไม่เข้ากันของฝ่ายจัดการแข่งขัน ทำให้รายการนี้มีขึ้นเพียงแค่ 2 ปี ในปี 1951 และ 1952 เท่านั้น

ช่วงเวลาดังกล่าวจึงทำให้ฟุตบอลในลักษณะของ "สโมสรโลก" แต่ไม่ได้อยู่ภายใต้การรับรองของ FIFA เกิดขึ้นหลายรายการ ไม่ว่าจะเป็น Tournoi de Paris และ Intercontinental Cup ซึ่งหลายสโมสรในยุโรปก็ไม่ค่อยชอบใจนัก เพราะคู่แข่งจากอเมริกาใต้มักจะเล่นรุนแรงป่าเถื่อน เสี่ยงต่อการบาดเจ็บ พวกเขาจึงเสนอให้ FIFA กลับมาดูแลอีกครั้ง แต่ FIFA ก็ปฏิเสธมาโดยตลอด ทำให้ในช่วงทศวรรษที่ 1970 มีถึง 7 ครั้งที่ทีมจากยุโรปสละสิทธิ์ลงแข่งขันในรายการนี้ 

ในปี 1980 มีการจัดแข่งขันแบบใหม่ โดยจ้าง West Nally บริษัททางการตลาดของอังกฤษ ที่รับเงินจาก สหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (UEFA) และ สหพันธ์ฟุตบอลอเมริกาใต้ (CONMEBOL) หาทางจัดการแข่งขันในลักษณะที่เป็น "ชิงแชมป์สโมสรโลก" ให้ได้ ซึ่งสุดท้ายก็ได้นายทุนอย่าง รถยนต์ TOYOTA เข้ามาสนับสนุนในปี 1980 โดยลงทุน 700,000 ดอลลาร์สหรัฐ และแยกเป็นเงินสำหรับผู้ชนะต่างหากถึง 200,000 ดอลลาร์ ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวก็ทำให้หลายทีมอยากมาแข่งขัน โดยเฉพาะจากฝั่งอเมริกาใต้ที่ไม่ได้มีเงินทองมากมายนัก 

ท้ายที่สุดการเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้น เมื่อ FIFA ในยุค เซ็ปป์ แบล็ตเตอร์ กระโดดเข้ามาในวง และเริ่มวางแผนการแข่งขันรายการ FIFA Club World Cup ตั้งแต่ปี 1993 จนกระทั่งทุกอย่างลงตัวและได้แข่งขันครั้งแรกในปี 2000 ซึ่งเมื่อ FIFA กระโดดลงมาเล่นด้วย การควบรวมทุกรายการที่ผู้จัดอื่น ๆ ดูแลก็ถูกนำมารวมไว้ที่ FIFA เป็นเจ้าภาพในการจัดแต่เพียงหนึ่งเดียว 

แม้ FIFA Club World Cup เมื่อปี 2000 จะมีเสียงวิจารณ์มากมาย โดยเฉพาะกับเรื่องที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องถอนตัวจากการป้องกันแชมป์ เอฟเอคัพ ฤดูกาล 1999-2000 เพื่อไปแข่งรายการนี้ถึงประเทศบราซิล เนื่องจากโปรแกรมทับกัน บวกกับอีกหลายปัจจัย จนการแข่งขันเมื่อปี 2001 ไม่ได้เกิด แต่ FIFA ก็นำเสียงวิจารณ์ไปปรับปรุง ปรับระบบการแข่งขันใหม่จนเป็นที่คุ้นหูแฟน ๆ อย่างเราด้วยการเอาแชมป์จากทุกทวีปมาแข่งขันร่วมกัน

และท้ายที่สุดการเปลี่ยนแปลงก็มาถึงปัจจุบัน FIFA Club World Cup ในปี 2025 ครั้งนี้ ที่มีทีมเข้าแข่งขันถึง 32 ทีม แบ่งกลุ่มกันเตะเหมือนกับฟุตบอลโลก ซึ่งหลายคนก็สงสัยอยู่ว่า ทำไมถึงมีทีมลงแข่งขันถึง 32 ทีม และมีวิธีคัดเลือกแบบไหน ? 

 

32 ทีมแบบนี้ มีอะไรแอบแฝงหรือเปล่า ?

ที่แล้ว ๆ มา ฟุตบอลสโมสรชิงแชมป์โลกนั้นแข่งกันไม่กี่เกมก็ได้แชมป์แล้ว แต่การจัดแข่งครั้งปัจจุบันที่มีทีมเข้าแข่งขันถึง 32 ทีม ทำให้เกิดการวิจารณ์มากมายจากทั้งสื่อและบุคลากรฟุตบอล 

อย่างแรกเลย การแข่งขันรายการนี้เป็นการเพิ่มโปรแกรมการแข่งขันแบบพิเศษเข้ามาเยอะมาก และอาจจะทำให้เกิดปัญหากับนักเตะ โดยเฉพาะนักเตะจากสโมสรในยุโรปที่เพิ่งจบโปรแกรมฟุตบอลลีกมาหมาด ๆ โดยรวม ๆ แล้วพวกเขาลงเล่นเฉลี่ยถึง 47 เกมเป็นอย่างต่ำต่อ 1 ปี ซึ่งนั่นก็ถือว่าเป็นจำนวนที่มากพออยู่แล้ว

ดังนั้นการปล่อยให้นักเตะพักไม่กี่สัปดาห์หลังซีซั่นปิด จึงทำให้สมาคมนักเตะอาชีพทั้ง FIFPRO, PFA และ UNFP ออกมาต่อต้าน และบอกว่าโปรแกรมที่เพิ่มเข้ามามากเกินไป เสี่ยงต่อสุขภาพนักเตะและเกิดอาการเหนื่อยล้ามากเกินควร และพวกเขามองว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรเลย นอกจากประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ที่จะทำเงินให้กับสโมสรและฝ่ายจัด ขณะที่นักเตะนั้น "ได้ไม่คุ้มเสีย" โดยเฉพาะการแข่งขันในอเมริกาเหนือช่วงนี้ ที่อากาศร้อนเป็นพิเศษ แต่การเลือกเจ้าภาพก็ดันมีเหตุผลรองรับ เพราะฟุตบอลสโมสรโลกเวอร์ชั่นใหม่ จะถือเป็นอีเวนต์ทดสอบความพร้อมการเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกไปด้วยเลย โดยจัด 1 ปีก่อนฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย

จริงอยู่ที่หลายสโมสรก็มีการพรีซีซั่นในสหรัฐอเมริกา แต่เกมพรีซีซั่นกับการแข่งขันแบบเป็นทางการเช่นนี้ไม่เหมือนกัน ทั้งเรื่องกฎการเปลี่ยนตัวต่าง ๆ และความจริงจังในการดวลกันแบบถึงเนื้อถึงตัว จึงทำให้เสี่ยงต่อสุขภาพของนักเตะในระยะยาวมากขึ้น 

สรุปง่าย ๆ เลยก็คือ นี่เป็นเรื่องของเงิน ๆ ทอง ๆ ล้วน ๆ โดยไม่มีการเห็นแก่นักเตะอาชีพเลย เรื่องนี้ใหญ่โตจนถึงขั้นมีการพูดว่า นี่เป็นรายการที่ FIFA พยายามจะทำให้ตัวเองมีรายการฟุตบอลระดับแถวหน้าในมือ โดยไม่ต้องพึ่งพา UEFA (ผู้จัด ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก) หรือ IOC (ผู้จัด โอลิมปิก) อีกต่อไปในระยะยาว

"นี่เป็นรายการที่ไร้สาระ ไม่มีอะไรมากกว่าการที่ FIFA ต้องการเป็นเจ้ารายการฟุตบอลที่มีมูลค่าก็แค่นั้น ... จานนี่ อินฟานติโน กำลังสนุกกับการเขียนโครงสร้างฟุตบอลในโลกใบใหม่ตามภาพในหัวของเขา" คาร์เรน เบรดี้ ผู้บริหารหญิง รองประธานสโมสร เวสต์แฮม ยูไนเต็ด เขียนถึงเรื่องนี้ลง The Sun

นอกจากนี้สื่ออย่าง The Guardian ก็ยังมีการวิจารณ์ต่อว่า "แนวคิด Club World Cup 2025 ไม่ต่างจาก ซูเปอร์ลีก (Super League) ที่เคยถูกต่อต้าน โดยต่างกันแค่มีตรา FIFA รองรับ" 

การโยงไปถึง ซูเปอร์ลีก เป็นการกำลังบอกว่า นี่คือรายการที่ไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะการเลือกทีมที่เข้าไปแข่งขันที่ใช้กฎแบบ "ทีมใหญ่ได้เปรียบ" เพราะการเข้าไปเล่นในรายการนี้มีเงินรางวัลจำนวนมาก ... ซึ่งความไม่พอใจเกิดขึ้นเพราะเหตุผลต่อไปนี้ 

 

ไม่ต่างอะไรจากซูเปอร์ลีก 

อย่างที่เรารู้กัน ซูเปอร์ลีก เป็นการรวมตัวกันของเหล่าทีมใหญ่ในยุโรปที่อยากจะแข่งขันกันเองและแบ่งเค้กกันเองโดยไม่สนใจทีมเล็ก ๆ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวเหมือนกับ FIFA Club World Cup ตรงไหน ? ... คำตอบก็อย่างที่ได้กล่าวไป นั่นคือมีหลายคนคิดว่าการคัดเลือกทีมเข้าแข่งขันในรายการนี้ "ไม่เป็นธรรม" และปิดโอกาสทีมอื่น ๆ ที่ไม่ได้เป็นทีมใหญ่ ถึงแม้จะมีเกณฑ์การคัดเลือกทีมที่ชัดเจน คือทีมแชมป์สโมสรระดับทวีปในช่วง 4 ปีก่อนการแข่งขัน รวมถึงทีมที่ไม่ได้แชมป์ แต่มีค่าสัมประสิทธิ์ผลงานระดับหัวแถว

ยกตัวอย่างเช่น การเลือกทีม อินเตอร์ ไมอามี่ เข้ามาแข่งขันในรายการชิงแชมป์สโมสรโลก ทั้ง ๆ ที่พวกเขาคว้าเพียงแชมป์ฤดูกาลปกติของ MLS (Supporters' Shield) ทำให้ ลอสแอนเจลิส กาแล็กซี่ ทีมแชมป์ MLS ที่แท้จริง (MLS Cup) ถูกแย่งสิทธิ์ไป กรณีนี้ทำให้ FIFA ถูกมองว่าปฏิบัติแบบไม่เป็นธรรมจากการ "เลือกทีมเพื่อดึงดูดแฟนบอล-สปอนเซอร์" โดยเฉพาะ อินเตอร์ ไมอามี่ ที่มีดาราแม่เหล็กอย่าง ลิโอเนล เมสซี่ 

นอกจากฝั่งอเมริกาแล้ว ยังมีปัญหาที่ FIFA โดนวิจารณ์ว่า พวกเขาไม่ได้ประกาศเกณฑ์ชัดเจนตั้งแต่แรก และมีกฎที่ไม่ชัดเจนจนต้องหาทางรวบรัด จนทำให้หลายสโมสรที่เข้ากฎในการคัดเลือกเข้ามาแข่งขันในรายการนี้อย่าง ลิเวอร์พูล, บาร์เซโลน่า และ นาโปลี ซึ่งเป็นแชมป์ของ 3 ลีกดังในยุโรปหายไปไหน โดยคำตอบเหลือเพียงแค่ว่า มีกฎของการแข่งขันระบุ ห้ามมีทีมจากประเทศเดียวกันลงแข่งขันในรายการนี้เกิน 2 สโมสร ยกเว้นหากทีมจากชาตินั้น ๆ สามารถคว้าแชมป์ระดับทวีปได้มากกว่า 2 สโมสร

แต่อย่าลืมว่าสุดท้าย FIFA ก็ให้ทีมจาก เมเจอร์ลีก สหรัฐอเมริกา ลงเล่นในรายการนี้ถึง 3 ทีม ทั้งที่มีทีมจาก MLS คว้าแชมป์ทวีปอเมริกาเหนือเพียงทีมเดียว โดยใช้ข้ออ้างว่า "เป็นชาติเจ้าภาพ" … ถึงกระนั้น เรื่องนี้ก็มีเหตุผลรองรับอีกนั่นแหละ เพราะ ลอสแอนเจลิส เอฟซี ทีมสุดท้ายที่ได้มาแข่งรายการนี้ ได้สิทธิ์เพราะ FIFA ตัดสิทธิ์ คลับ เลออน แชมป์ทวีปปี 2023 จากเม็กซิโก เนื่องจากเป็นทีมที่มีเจ้าของเดียวกับ ปาชูก้า ทีมร่วมประเทศที่เป็นแชมป์ทวีปปี 2024 จนต้องจัดเกมเพลย์ออฟ

อย่างไรก็ตาม แม้นักเตะ บุคลากรเกี่ยวกับฟุตบอล หรือสื่อจะไม่ชอบใจ และมองว่ารายการนี้เป็นประโยชน์ในเชิงพาณิชย์มากกว่าการพัฒนาด้านฟุตบอล แต่สิ่งที่ต้องยอมรับก็คือ FIFA จัดหนักจนแต่ละสโมสรที่ได้แข่งขันในรายการนี้จริงจังอย่างมากที่จะทำทีมให้ไปถึงแชมป์ หรือเข้ารอบให้ลึกที่สุด ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าแต่ละทีมรีบเสริมนักเตะใหม่เข้าหลายคน หลังจาก FIFA ได้เปิดตลาดซื้อขายรอบพิเศษเพื่อรายการนี้โดยเฉพาะ 

เหตุผลไม่มีอะไรมากกว่ากว่าเรื่องเงินเลย เพราะรายการ FIFA Club World Cup นี้ มีรางวัลรวมถึง 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แบ่งเป็น ชนะรอบแบ่งกลุ่ม: 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ, เข้ารอบ 16 ทีม: 7.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ แชมป์ทัวร์นาเมนต์ 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ... โดยรวม ๆ แล้ว หากเป็นแชมป์จะได้เงินรางวัลรวมกว่า 120 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เลยทีเดียว

เงินรางวัลทั้งหมดจะมาในรูปแบบลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด ที่ FIFA ขายลิขสิทธิ์ให้กับ DAZN ทั้งหมด ซึ่งจุดนี้เองทำให้หลายคนสงสัยว่าทัวร์นาเมนต์นี้คือ "คอนเทนต์ที่ขายได้" มากกว่า "ฟุตบอลที่แข่งจริง" นอกจากนี้ DAZN ยังจะผลิตสารคดีเบื้องหลังแต่ละทีมในสไตล์ Netflix เพื่อเสริมความเป็นแบรนด์เอ็นเตอร์เทนเมนต์ ... อย่างที่บอกไปว่านี่เป็นเรื่องของเงิน ๆ ทอง ๆ มากกว่าเรื่องของกีฬา 

สุดท้ายไม่ว่าใครจะมองอย่างไรแต่การแข่งขันก็กำลังจะเริ่มแข่งขันแล้ว ... และเราไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เป็นเรื่องที่ใครก็หนีไม่พ้น มูลค่าทางการตลาดอันมหาศาลในระดับแข่งปีแรกยังขายลิขสิทธิ์ได้ถึง 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ถ้าการแข่งขันนี้ออกมาดี มูลค่าก็ต้องเพิ่มมากขึ้นในอนาคต และเงินจำนวนนี้เป็นสิ่งที่ทุกทีมไม่อยากปฏิเสธแน่นอนหากพวกเขาได้รับเลือกให้มาแข่งขัน 

ซึ่งจากตรงนี้เอง คำวิจารณ์ก็จะไม่จบลงง่าย ๆ จนกว่าที่ FIFA จะสามารถหาจุดลงตัวของทุกเรื่อง ๆ ให้ได้มากที่สุด ทั้งเรื่องของเจ้าภาพ เงินรางวัล กฎการคัดเลือก และการจัดสรรโปรแกรม … ซึ่งฟังดูแล้วก็มากเรื่องไม่น้อย กว่าจะใช้เวลาทำให้ทุกคนยอมรับทั้งหมดได้ คงเป็นเรื่องคงไม่จบลงในเร็ว ๆ นี้แน่นอน 

เพียงแต่ทุกอย่างย่อมมีก้าวแรกเสมอ และ FIFA Club World Cup ในรูปแบบใหม่กำลังจะออกเดินทางและเรียนรู้กับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว 

 

แหล่งอ้างอิง

https://en.wikipedia.org/wiki/FIFA_Club_World_Cup
https://www.theringer.com/2025/06/11/soccer/fifa-club-world-cup-2025-explained-tickets-schedule-controversy?utm_source=chatgpt.com
https://www.aljazeera.com/sports/2025/6/11/why-liverpool-barcelona-are-not-playing-in-the-fifa-club-world-cup-2025?utm_source=chatgpt.com
https://as.com/futbol/internacional/el-mundial-de-los-lios-n/?utm_source=chatgpt.com
https://www.theguardian.com/football/2025/jun/12/uncontested-dazns-1bn-story-reveals-why-the-club-world-cup-is-really-here?utm_source=chatgpt.com
https://www.thesun.co.uk/sport/34427885/karren-brady-club-world-cup-thomas-frank/?utm_source=chatgpt.com

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Photo

วัชพงษ์ ดวงแปง

Main Stand's Backroom staff

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ