ในที่สุดฤดูกาล 2024-25 ก็ได้ปิดฉากลง ปารีส แซงต์ แชร์กแมง คว้าแชมป์ยุโรปมาครองได้สำเร็จเป็นครั้งแรกของสโมสร ที่สำคัญ ยังถือเป็นการคว้า 3 แชมป์ในฤดูกาลเดียว ทั้ง ลีกเอิง, กุป เดอ ฟรองซ์ (เฟรนช์ คัพ) และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก
อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของ เปแอสเช จะไม่เกิดขึ้นเลย หากไม่มีแม่ทัพชาวสเปน หลุยส์ เอ็นริเก้ ที่เข้ามาคุมทีมด้วยระยะเวลาเพียง 2 ปี แต่สามารถยกระดับทีมเป็นทีมเจ้ายุโรปที่ไร้เทียมทาน โดยหนึ่งในแนวคิดที่น่าสนใจ คือการนำแนวทางการเล่นของ ไมเคิล จอร์แดน ตำนานนักบาสเกตบอล มาปรับใช้ในการวางแท็คติกด้านการเพรสซิ่งให้กับทีม
บทความนี้เรามาย้อนสำรวจกันว่า หลุยส์ เอ็นริเก้ มีปรัชญาการทำทีม แผนการเล่น การเลือกใช้นักเตะอย่างไร
การทำทีมของ เอ็นริเก้
หลุยส์ เอ็นริเก้ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเฮดโค้ชของ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2023 ที่ผ่านมา ด้วยความคาดหวังสูงจากทั้งผู้บริหาร สื่อ และ แฟนบอล ว่าเขาจะพาเปแอสเชบรรลุความฝันสูงสุดของทีมในการคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก สมัยแรก หลังพลาดโอกาสไปเมื่อปี 2020 ที่เข้าชิงกับ บาเยิร์น มิวนิค และแพ้ 1-0
สิ่งที่ เอ็นริเก้ สรรค์สร้างมาตลอดอาชีพการคุมทีมคือ การเล่นฟุตบอลที่มี “คาแร็คเตอร์” และ “DNA” ที่ชัดเจน บอลสไตล์ Tiki-Taka การเล่นเพรสซิ่งกดดันสูงในแดนหน้า และ การเล่นฟุตบอลที่ยืดหยุ่นสมดุลระหว่างเกมรุก-เกมรับ
จากสไตล์การเล่นของ เอ็นริเก้ เมื่อนำมาปรับใช้กับนักเตะระดับเวิลด์คลาส สมัยที่ยังคุมทีม บาร์เซโลน่า อย่าง ลิโอเนล เมสซี่, หลุยส์ ซัวเรซ และ เนยมาร์ เขาสามารถพาทีมไปถึงฝั่งฝัน กับการคว้าเทรเบิลแชมป์เมื่อฤดูกาล 2014-15 พาทีมบาร์เซโลน่า คว้าแชมป์ลาลีกา, โกปา เดล เรย์ และยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก
การมีระบบการเล่นที่ชัดเจน ความเป็นมืออาชีพที่ทำงานร่วมกับนักเตะระดับโลกได้ดี และแพชชั่นที่สูง ทำให้ชื่อของ หลุยส์ เอ็นริเก้ กลายเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งที่ นาสเซอร์ อัล เคไลฟี่ ประธานสโมสรเปแอสเชติดต่อให้เขามาเป็นเฮดโค้ชคนใหม่
แน่นอนว่าผู้บริหารได้ตระหนักถึงความจำเป็นในการสร้างทีมอย่างค่อยเป็นค่อยไป หลังผ่านการลองผิดลองถูกมาหลายปีด้วยสตาร์หลายคนและผู้จัดการทีมหลายราย ทำให้ปรัชญาการทำทีมของเปแอสเชค่อย ๆ เปลี่ยนไปจาก “ทีมรวมดารา” เป็น “ทีมที่มีระบบ” ซึ่ง หลุยส์ เอ็นริเก้ มีบทบาทอย่างมากต่อการเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้นของทีม
พวกเขาเลือกนักเตะเข้ามาเสริมทีมตรงความต้องการเพื่อปรับแก้ให้ตรงจุดอย่างแท้จริง โดยไม่ห่วงภาพลักษณ์ความเป็นสตาร์ของนักเตะ อย่างเช่น อุสมาน เดมเบเล่, ชูเอา เนเวส, ควิชา ควารัตสเคเลีย, เดซีเร่ ดูเอ้ และ วิตินญ่า
นักเตะเหล่านี้มีคาแร็คเตอร์ที่ชัดเจน ใจสู้ เล่นบอลกับพื้นได้ดี และ มีความรวดเร็วที่สูง ประกอบการที่ทีมในช่วงเวลา 2023-2024 เป็นช่วงการถ่ายเลือดใหม่ จากการย้ายออกของสตาร์อย่าง ลิโอเนล เมสซี่, เนมาร์, มาร์โก้ แวร์รัตติ และ คีลิยัน เอ็มปัปเป้
การย้ายออกของสตาร์ดัง เป็นการเปิดโอกาสให้โค้ชเสริมนักเตะที่ตรงสเปกในการทำทีมระยะยาว ส่งผลให้เปแอสเชตั้งแต่การเข้ามาคุมของเอ็นริเก้เป็นฟุตบอลที่มีคาแร็คเตอร์และDNA ที่ชัดเจนอย่างมาก
ผสมศาสตร์ของ “ฟุตบอล” กับ “บาสเกตบอล”
หนึ่งในนัดที่สะท้อนความยอดเยี่ยมของ หลุยส์ เอ็นริเก้ ในการแก้เกมและประยุกต์ใช้แนวคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ เกิดขึ้นในฤดูกาล 2023-24 ในการแข่งขัน ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้าย ระหว่าง เปแอสเช กับบาร์เซโลน่า
หลังเลกแรกพ่ายคาบ้านมา 2-3 ทีมงานของ เอ็นริเก้ พยายามคิดค้นกลยุทธ์ใหม่ ๆ ในการจะพลิกกลับมาเอาชนะทัพบาร์ซ๋า นั่นคือการนำแนวทางการเพรสซิ่งแบบบาสเกตบอลมาปรับใช้กับฟุตบอล
จากวิดิโอที่เผยแพร่ในโซเชียลมีเดีย หลุยส์ เอ็นริเก้ แนะนำ คีลิยัน เอ็มปัปเป้ ถึงวิธีการเล่นบาสเกตของ ไมเคิล จอร์แดน ในการทำประโยชน์เพื่อทีมทั้งเกมรุกและเกมรับ
“ผมต้องการคุณดูตัวอย่างการเล่นของ ไมเคิล จอร์แดน คุณเป็นนักเตะที่ยอดเยี่ยม คุณเป็นผู้เล่นระดับโลก แต่ผมอยากให้คุณช่วยทีมมากกว่านี้ ผมอยากให้คุณเพรสซิ่ง กดดันไปยังกองหลังบาร์เซโลน่า ผู้รักษาประตูบาร์เซโลน่า การกดดันเหล่านี้ ไมเคิล จอร์แดน ทำอยู่เสมอในสนามเวลาเผชิญหน้ากับคู่แข่ง”
จึงกล่าวได้ว่าการประยุกต์ใช้กลยุทธ์จากเกมบาสเกตบอลนี้ เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ เปแอสเช พลิกกลับมาชนะ บาร์เซโลน่า ถึงสเปนด้วยสกอร์ 4-1 ในเลกสอง เข้ารอบรองชนะเลิศได้สำเร็จ
เพื่อศึกษาหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่เอ็นริเก้นำมาติดตั้งให้ทีมจนสร้างเปแอสเชเป็นหนึ่งในทีมที่อันตรายที่สุดในยุโรป เราจะมาทำความเข้าใจกันว่าการสไตล์การเพรสซิ่งแบบ ไมเคิล จอร์แดน มีลักษณะอย่างไร
กดดันแบบนักบาสระดับโลก
ภาพจำของแฟนบาสเกตบอลทั่วโลกที่มีต่อ ไมเคิล จอร์แดน อาจจะเป็นจังหวะการเข้าทำแต้ม ลูกชู้ต Fade Away และการทำแต้มในจังหวะสำคัญจนพาทีมคว้าแชมป์ กระทั่งหลายคนอาจลืมไปว่า จอร์แดน เป็นผู้เล่นที่ติดทีมป้องกันยอดเยี่ยมหลายสมัย และเคยเป็นผู้เล่นป้องกันยอดเยี่ยมแห่งปีอีกด้วย
ไมเคิล จอร์แดน เคลื่อนที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นระบบ และมีแบบแผนแม้ว่าจะไม่ครองบอล ทั้งวิ่งไล่กดดันคู่แข่งตลอดทั้งเกม ไล่จี้ไล่ต้อนหรือบีบให้คู่แข่งทำลูกเสียหรือเทิร์นโอเวอร์ จอร์แดน จะใช้มือและแขนในการพยายามจะล้วงบอลคืน บดบังทัศนวิสัยน์ของคู่แข่ง และที่สำคัญที่สุด คือใช้สายตาจ้องเขม็งไปยังคู่แข่งอย่างไม่ละสายตา
จากกลยุทธ์ของ ไมเคิล จอร์แดน ทำให้ หลุยส์ เอ็นริเก้ นำสิ่งที่ตัวเขาเรียนรู้จากการติดตามกีฬาบาสเกตบอล มาปรับใช้ในการคุมทีมฟุตบอล โดยเฉพาะผู้เล่นในแนวรุกอย่าง อุสมาน เดมเบเล่ เห็นได้ชัดในเกมนัดชิง ยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก กับ อินเตอร์ มิลาน
เดมเบเล่ กดดัน ยาน ซอมเมอร์ นายประตูอินเตอร์ตลอดทั้งเกม ทำให้การส่งบอล เล่นเร็วโต้กลับของอินเตอร์ไม่ใช่เรื่องง่าย จะสังเกตได้ว่า ซอมเมอร์ ทำได้เพียงสาดบอลยาวขึ้นหน้าในระยะไกลเท่านั้น กระบวนทัพการเล่นเร็วของอินเตอร์เสียจังหวะตลอดทั้งเกม เช่นเดียวกับบาสเกตบอลทีมคู่แข่งที่เผชิญหน้ากับช่วงพีกของ ชิคาโก บูลส์ มักจะโดนกดดัน จนเสียจังหวะจนต้องเล่นบอลยาวขึ้นหน้า มากกว่าจะต่อบอลจังหวะต่อจังหวะจากแดนหลัง
ซึ่งการเล่นบอลยาวจะเสี่ยงต่อการโดนแย่งหรือโดนรีบาวด์โดยทีม คู่แข่งได้ ซึ่งจะเพิ่มโอกาสต่อการทำแต้มด้วยการสวนกลับมากขึ้นนั่นเอง
ทีมที่เป็นแชมป์คือทีมที่เล่นละเอียดที่สุด
การคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ของ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง เกิดขึ้นจากหลายปัจจัย ทั้งการวางแผนจากโค้ช ขุมกำลังผู้เล่น สภาพจิตใจของนักเตะ ความผิดพลาดของคู่แข่ง และแท็คติกต่าง ๆ
อย่างที่กล่าวข้างต้นว่า สิ่งที่เอ็นริเก้คอยย้ำเตือนลูกทีมมาโดยถึงสไตล์การเล่นฟุตบอลแบบสมดุลทั้งเกมรุกและเกมรับ เป็นสิ่งที่เราได้เห็นในเกมนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก นับตั้งแต่เสียงนกหวีดเป่าเริ่มต้นการแข่งขัน
นักเตะ เปแอสเช เริ่มเกมด้วยการตั้งใจหวดบอลออกข้างในแดนคู่แข่ง แม้ อินเตอร์ มิลาน จะได้ทุ่มและเป็นฝ่ายครองบอล แต่การกระทำเช่นนี้เป็นอีกแผนการที่ เอ็นริเก้ กำชับลูกทีม ทำให้นักเตะของทีมดังจากแดนน้ำหอม ได้โอกาสเพรสซิ่งและกดดันคู่ต่อสู้ในทุกพื้นที่ของสนาม
ด้วยรูปเกมที่เกิดขึ้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าการแข่งขันในวันนั้นเป็นเกมของ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง อย่างแท้จริง ทั้งการครองบอล โอกาสการเข้าทำ การสร้างสรรค์เกม และ ผลการแข่งขัน ที่ เปแอสเช ถล่ม อินเตอร์ มิลาน ขาดลอย 5-0 โดยได้ประตูจากอัชราฟ ฮาคิมี่, เดซิเร่ ดูเต้ 2 ประตู และ เซนนี่ มายูลู
และที่จำเป็นต้องกล่าวถึงนักเตะคนสำคัญจากแดนน้ำหอมอย่าง อุสมาน เดมเบเล่ ที่แม้ไม่ได้ยิงประตู แต่ทำถึง 2 แอสซิสต์ เรียกได้ว่า เดมเบเล่ เล่นได้อย่างโดดเด่นทั้งเกมรุกและเกมรับ ส่งผลให้ชื่อของเขามีลุ้นชิงบัลลงดอร์ในปี 2025 นี้
จากนัดชิงแชมเปี้ยนส์ลีกที่ผ่านมา เป็นสิ่งพิสูจน์ความพยายามของ หลุยส์ เอ็นริเก้ ที่ได้วางรากฐานปรับปรุงทีมให้ดีขึ้นตลอดการทำงานในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา พวกเขาทำได้ในการลบคำประมาทสำเร็จในการสร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ยุโรปสมัยแรกของทีม
เปแอสเช จึงเป็นหนึ่งในทีมที่ดีที่สุดในโลก ณ ช่วงเวลานี้ เราจำเป็นต้องติดตามกันอีกในว่าทีมชุดนี้ภายใต้การกุมบังเหียนของเอ็นริเก้ จะคว้าแชมป์ระดับเมเจอร์โทรฟี่ได้อีกในอนาคตหรือไม่
- ผลงานโดย กษิธัฏฐ์ เอี้ยงเอี่ยม นักศึกษาฝึกงาน -
แหล่งอ้างอิง
https://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-2412691/Zlatan-Ibrahimovic-Id-die-Jose-Mourinho-Pep-Guardiola-coward.html
https://www.msn.com/en-gb/sport/football/ousmane-dembele-will-win-the-ballon-d-or-before-kylian-mbappe-here-s-why/ar-AA1FUydz
https://www.beinsports.com/en-us/soccer/uefa-champions-league/articles-video/real-madrid-s-elimination-from-the-champions-league-reinforces-luis-enrique-s-theory-about-mbapp%C3%A9-and-psg-2025-04-17
https://en.namu.wiki/w/%EB%A7%88%EC%9D%B4%ED%81%B4%20%EC%A1%B0%EB%8D%98/%ED%94%8C%EB%A0%88%EC%9D%B4%20%EC%8A%A4%ED%83%80%EC%9D%BC
https://www.goal.com/en/lists/footage-emerges-kylian-mbappe-pep-talk-by-luis-enrique-psg-boss-michael-jordan-comparison/blt3dfb627606bebe65