Feature

"อาซาร์" อัจฉริยะจอมขี้เกียจ : วิถีเช้าชามเย็นชาม...แต่เก่งกาจเกินใคร | Main Stand

เขาไม่ได้เป็นคนที่ซ้อมหนักที่สุดในสนาม … แต่วันนี้ "เอเด็น อาซาร์" คือหนึ่งในตำนานที่พรีเมียร์ลีกยกย่องเข้าสู่ Hall of Fame ในปี 2025

 


เรื่องราวของอัจฉริยะผู้เล่นบอลด้วยรอยยิ้ม และทำให้ "ความขี้เกียจ" กลายเป็นศิลปะของเกมฟุตบอลแบบที่ยากจะเลียนแบบของเขาเป็นอย่างไร ?

ติดตามกับ Main Stand 

 

พรสวรรค์ ขยัน และขี้เกียจ

ก่อนที่โลกจะรู้จักชื่อ "เอเด็น อาซาร์" เขาเป็นแค่เด็กจากเมืองเล็ก ๆ ในประเทศเบลเยียมที่เล่นฟุตบอลเหมือนลมหายใจ พ่อและแม่ของเขาเป็นอดีตนักฟุตบอลอาชีพ ทำให้บ้านหลังนี้ไม่มีของเล่นอื่นนอกจากลูกบอล

อาซาร์เริ่มต้นอาชีพกับ ลีลล์ ในฝรั่งเศสตอนอายุเพียง 16 ปีเท่านั้น และความเป็นตัวของตัวเองของ อาซาร์ ก็เริ่มเปิดเผยขึ้นเป็นครั้งแรกตั้งแต่วันนั้น  

เขาไม่ได้เป็นเด็กที่บ้าซ้อมหรือหมกมุ่นกับกล้ามเนื้อเหมือนนักเตะยุคใหม่ แต่สิ่งที่เขามีมากกว่าคือ "ความเข้าใจเกม" และ "สัมผัสบอลที่เหนือมนุษย์"

โค้ชเยาวชนของลีลล์เคยพูดไว้ว่า "เอเด็นไม่ใช่เด็กที่ซ้อมหนักที่สุดในสนาม แต่เป็นเด็กที่เรียนรู้ไวที่สุดในสนาม เขาเข้าใจสิ่งที่เราสอนในครั้งเดียว แล้วไปต่อยอดเองในเกมจริง"

นี่คือความสามารถในแบบที่เด็กหลายคนไม่มี และต้องพยายามเรียนรู้อย่างมากทั้งในสนามซ้อม รวมถึงการได้โอกาสซึมซับประสบการณ์ในสนามจริง แตกต่างกับ อาซาร์  ถ้าเปรียบเทียบให้เห็นภาพ เขาคงเป็นนักเรียนที่ไม่ค่อยได้สนใจเนื้อหาบนกระดานดำที่คุณครูสอนแบบ 100% แต่เขาใช้วิธีมองภาพรวมของบทเรียนทั้งหมด และถอดออกมาเป็นรหัสในการไปให้ถึงความรู้นั้นด้วยวิธีของเขา ที่เหมาะกับเขาเองมากที่สุด

ความเก่งกล้าสามารถของ อาซาร์ ในช่วงวัยทีนเอจเคยถูกเล่าผ่าน โจ โคล อดีตนักเตะทีมชาติอังกฤษที่ไปค้าแข้งกับ ลีลล์ ในช่วงเวลาเดียวกับ อาซาร์ ว่า เป็นเด็กที่กล้าจะทดลองสิ่งที่อยู่ในหัวบนสนามจริง เล่นด้วยจินตนาการ และใส่ความกล้าเข้าไปอย่างเต็มพิกัด จนกลายเป็นคาแร็คเตอร์ที่ไม่กลัวใคร แม้แต่ตัวของเขาที่อายุ 30 ปี ในเวลานั้น ก็ยังทึ่ง และต้องมอบหน้าที่การยิงจุดโทษ กับยิงฟรีคิก ให้กับ อาซาร์ ในวัย 19 ปี เป็นคนจัดการ เพราะเห็นแววจากความมั่นใจนั้น 

โจ โคล ยังเล่าต่อว่า การได้เห็นนักเตะหนุ่มที่มีความพิเศษอย่าง อาซาร์ ทำให้เขาพยายามจะถ่ายทอดทุกสิ่งที่อย่างที่ผ่านมาให้กับรุ่นน้องรายนี้เสมอ ซึ่งความสนิทสนมกันของทั้งคู่ได้ส่งผลให้ อาซาร์ ที่เป็นดาวรุ่งเนื้อหอม เลือก เชลซี เหนือทีมอื่น ๆ ในยุโรปที่พยายามจะคว้าตัวเขาไปร่วมทีมในเวลานั้นด้วย 

"ผมเห็น อาซาร์ ครั้งแรกผมก็รู้แล้วว่าเขาถูกสร้างมาเพื่อฟุตบอลอังกฤษ ผมพยายามจะบอกว่า เชลซี เป็นสโมสรที่เหมาะมาก ชีวิตในลอนดอนจะสะดวกสบาย และเมื่อเขาอยากจะกลับบ้านที่บรัสเซลส์ เขาก็สามารถขึ้นรถไฟไปถึงในเวลาแค่ไม่กี่นาที ผมกรอกหูเขาแบบนั้น และผมพบว่ามันได้ผลจริง ๆ" โคล กล่าว

ฤดูกาล 2011-12 ถือเป็นฤดูกาลสุดท้ายของอาซาร์กับลีลล์ ก่อนจะย้ายไปอยู่กับ เชลซี แม้จะมีคำเล่าลือว่าเขา "ขี้เกียจซ้อม" แต่ในความขี้เกียจก็มีอะไรมาทดแทนในแบบที่คนอื่นทำแบบเขาไม่ได้เหมือนกัน 

ในช่วงวัยรุ่น อาซาร์เป็นคนที่ชอบอยู่กับลูกบอลเกือบตลอดเวลา เขาซ้อมทักษะเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีกจนกลายเป็นธรรมชาติ ไม่ได้มุ่งเน้นร่างกาย แต่เน้น "ความมั่นใจในสองเท้าของตัวเอง" นั่นคือจุดเริ่มต้นของเด็กที่ทำให้โลกเชื่อว่า "พรสวรรค์สามารถชนะพรแสวง" ได้จริง ก่อนที่เขาะไปพิสูจน์ความเชื่อนี้อีกขั้นที่ เชลซี 

 

การแปลงร่างเป็นยอดตัวรุก 

ปี 2012 คือปีที่ เชลซี เพิ่งคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และกำลังมองหาสตาร์ใหม่มาเป็นยุคต่อไป แน่นอนว่า เอเด็น อาซาร์ คือ 1 ในผู้ถูกเลือก ท่ามกลางนักเตะหนุ่มอีกหลายคนอย่าง ฆวน มาต้า และ ออสการ์ ที่ถือเป็นกลุ่มความหวังของอนาคตสำหรับสิงห์บลูส์ทั้งสิ้น ... แต่คุณต่างก็รู้ว่าที่สุดแล้ว อาซาร์ คือ No.1 สำหรับเรื่องนี้ 

สาเหตุที่ เชลซี เลือก อาซาร์ ไม่ใช่คำแนะนำจากอดีตนักเตะเท่านั้น แต่มีการเปิดเผยโดย โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ กุนซือของทีมในเวลานั้นว่า การเลือก อาซาร์ ไม่ได้มีเหตุผลเรื่องทักษะเพียงอย่างเดียว แต่ทุกคนเห็นสัญชาตญาณและจินตนาการของนักเตะที่สามารถสร้างเกมรุกได้ในทุกพื้นที่ของสนาม 

"เรารู้ว่าเขาเป็นนักเตะที่เล่นเกมรุกได้ทุกมิติ เขาอาจไม่ได้ซ้อมหนักเหมือนบางคน แต่เขาทำให้ทุกจังหวะดูง่ายเหมือนกับอยู่ฝันเลยล่ะ" ดิ มัตเตโอ พูดแบบนั้น 

ในอังกฤษ อาซาร์ต้องปรับตัวอย่างหนักจากบอลฝรั่งเศสที่เน้นเทคนิค สู่พรีเมียร์ลีกที่ใช้พละกำลังมากกว่า ... ความฉลาดของ อาซาร์ ที่ไม่ได้เป็นนักเตะสายกล้าม เข้าฟิตเนสสร้างร่างกายก็คือ การใช้ข้อได้เปรียบของตัวเองให้เป็นประโยชน์ นั่นคือเขาเป็นนักเตะที่มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำและแข็งแกร่งมาก หลายคนแซวเรื่องก้นงอน ๆ ที่ดูเหมือนคนเจ้าเนื้อของเขา แต่นั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้เขาอยู่รอดได้ในการถูกชน ถูกกระแทก 

เรื่องนี้ โรแบร์โต้ มาร์ติเนซ อดีตกุนซือทีมชาติ เบลเยียม ก็เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า "เท่าที่ผมเห็นความแตกต่างในการเลี้ยงบอลของ อาซาร์ ก็เป็นเพราะศูนย์ถ่วงที่ก้นของเขานั่นแหละ ศูนย์ถ่วงที่ดีทำให้เขามีเทคนิคการดวลตัวต่อตัวในแบบที่เลียนแบบกันไม่ได้"

นอกจากนี้ สัญชาตญาณการเป็นตัวรุกก็ยังบอกให้เขารู้ว่าจังหวะไหนที่ควรปะทะ และจังหวะไหนที่ควรเอาตัวรอด เราจึงได้เห็นในหลาย ๆ ครั้งที่ อาซาร์ เลือกที่จะครองบอลให้คู่แข่งพยายามใช้การรุม 2 คนเข้าประกบเขา ซึ่งปลายทางก็คือเขามักจะใช้สเต็ปเท้าง่าย ๆ ในการดึงจังหวะและรอให้เพื่อนเติมขึ้นมาพื้นที่ว่างเพื่อรอรับบอล ซึ่งการออกบอลของเขาในขณะโดนรุม ก็ทำให้พื้นทีมเกมรับของคู่แข่งเปิดขึ้นด้วย ... เรียกได้ว่าความอันตรายของเขามีอยู่รอบด้านไม่ว่าเขาจะคิดแหวกเอง หรือเป็นตัวล่อให้เพื่อนก็ตาม 

อาซาร์ เรียนรู้ทุกอย่างได้รวดเร็ว ใช้ความแข็งแรงของช่วงล่างและการทรงตัวสุดยอด รับมือแรงปะทะได้อย่างน่าทึ่ง เขากลายเป็นตัวนำเกมรุกของเชลซีตั้งแต่ฤดูกาลแรก ๆ และเป็นกำลังหลักในการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 2 สมัย, ยูโรปาลีก และถ้วยอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งในช่วงเวลาที่เขาประสบความสำเร็จมากที่สุดกับ เชลซี ก็มีอดีตเพื่อนร่วมทีมของเขา ออกมาเล่าเรื่องความมหัศจรรย์ในฐานะของ "อัจฉริยะจอมขี้เกียจ" ที่สามารถอธิบายด้วยคำกล่าวของ โชเซ่ มูรินโญ่ ว่า 

"เอเด็นเป็นนักเตะที่คุณไม่สามารถคุมเขาได้ทั้งหมดอย่างแท้จริง นี่คือนักเตะที่เล่นด้วยอารมณ์ และเมื่อเขามีอารมณ์ที่ดี รับรองได้เลยว่าวันนั้นแหละเขาคือฝันร้ายของกองหลังทุกคน"

 

จอมขี้เกียจผู้แสนมีความสุข 

โดยรวม ๆ แล้วเรื่องนี้อาจจะพอสรุปได้ว่า เอเด็น อาซาร์ เป็นนักเตะคนหนึ่งที่ค่อนข้างไร้ระเบียบวินัยเมื่ออยู่นอกสนามแข่ง เป็นพวกควบคุมยาก กินอะไรตามใจปาก และอาจจะไม่ชอบการซ้อมโดยเฉพาะในช่วงที่เกี่ยวกับการออกกำลังกาย ... แต่อย่าเพิ่งเข้าใจเจตนาของเราผิด เพราะเราพยายามจะสื่อให้เห็นว่า "ความขี้เกียจ" ไม่ได้มีข้อเสียเพียงอย่างเดียว 100% โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณเป็นคนที่มีแนวคิดแตกต่างกับคนอื่น และมีพรสวรรค์แบบ อาซาร์

จอห์น โอบี มิเกล เพื่อนร่วมทีมของ อาซาร์ เคยอธิบายให้เห็นภาพว่า อาซาร์ เป็นเหมือนอัจฉริยะที่คิดหาวิธีทำให้ตัวเองเล่นฟุตบอลได้เก่งกาจโดยที่ไม่ต้องทำเหมือนกับคนอื่น ๆ รอบตัว เขามีวิธีหาผลลัพธ์ของตัวเอง เหมือนกับนักคณิตศาสตร์ที่สามารถสร้างโจทย์ได้อย่างมากมายหลากหลาย อาจจะเจอทางลัดที่ไม่จำเป็นต้องคิดซับซ้อนเหมือนกับวิธีของคนอื่น ๆ แต่ปลายทางคือได้คำตอบเหมือนกัน 

ไม่ใช่แค่ มิเกล คนเดียวเท่านั้น ติอาโก้ ม็อตต้า ซึ่งเคยเล่นด้วยกันที่ ลีลล์ ก็พูดสื่อความไปในทางเดียวกัน เขาบอกว่า อาซาร์ ไม่ชอบซ้อม แต่พอลงสนามกลับเล่นเหมือนคนที่ซ้อมบอลมาทั้งชีวิต นั่นแหละคือคำจำกัดความที่เหมาะกับอัจฉริยะชาวเบลเยียมคนนี้อย่างแท้จริง 

สิ่งหนึ่งที่โลกฟุตบอลอาจจะเสียดายก็คือ หากอัจฉริยะอย่าง อาซาร์ กลายเป็นคนที่ขยันซ้อม ทุ่มเทเพื่อฟุตบอล 100% ดูแลร่างกายตัวเองอย่างดีตลอดเวลา เขาจะเก่งขึ้นกว่านี้ได้มากแค่ไหนกัน ? 

คำถามนี้เคยถูกตอบโดย โชเซ่ มูรินโญ่ ว่า "ถ้าเขาแค่ขยันซ้อมขึ้นอีกนิดเดียว บัลลงดอร์คงเป็นของเขาไปแล้วอย่างน้อย 1 สมัย" ... ในความหมายของ มูรินโญ่ ก็คือ ถ้า อาซาร์ ขยันกว่านี้ เขาจะไม่ใช่แค่ยอดนักเตะ แต่เขาจะเป็นนักเตะระดับตำนานของโลกที่คนจดจำได้แม่นยำ แม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็จะถูกพูดถึงเสมอ เพราะมีรางวัล "ผู้เล่นที่ดีที่สุดในโลก" เป็นเครื่องยืนยันเรื่องนี้ 

เพียงแต่ว่าคำถามนี้ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะถามใคร ? สำหรับ อาซาร์ เขาตอบกลับเรื่องนี้ด้วยความเห็นที่แสนจะธรรมดาว่า "เขาใช้ชีวิตแบบที่เขาชอบ" นั่นคือสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุด และมันทำให้เขาสามารถยังมีความสุขกับฟุตบอลได้ โดยไม่เบื่อเสียก่อน แม้เขาจะรู้ว่าการซ้อมและทุ่มเทให้กับฟุตบอล 100% จะดีต่ออาชีพ แต่ที่สุดแล้วนั่นไม่ใช่ไลฟ์สไตล์ที่เขาอยากจะเป็น 

"เรามีสไตล์และนิสัยต่างกันมาก ผมเป็นคนที่ชอบฟุตบอล แต่ไม่หมกมุ่นกับมันทั้งวันเหมือนโรนัลโด้ ถ้าผมมีความมุ่งมั่นแบบ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ผมคงได้บัลลงดอร์ไปแล้ว"

"ผมชอบกินดี กินของอร่อย ใช้ชีวิตสบาย ๆ และไม่คิดมากเรื่องกล้ามเนื้อหรืออาหารเท่าไหร่ ตอนอยู่เชลซี ผมเป็นคนที่ซ้อมเท่าที่ต้องซ้อม ไม่มากเกินไป ผมไม่ใช่คนที่หมกมุ่นกับร่างกายของตัวเอง แต่โรนัลโด้ต่างออกไป เขามีวินัยที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น"

คำเปรียบเทียบที่เขาเคยพูดไว้ทั้งหมดจึงสรุปได้สั้น ๆ ว่า "โรนัลโด้คือตัวอย่างของความทุ่มเท 100% ส่วนผม … อาจจะอยู่แค่ 70% แต่ผมยังมีความสุขดีนะ" แล้วใครบ้างล่ะบนโลกนี้ที่ไม่ชอบใช้ชีวิตให้มีความสุข 

เอเด็น อาซาร์ คือหนึ่งในนักเตะที่น่าอิจฉาที่สุดคนหนึ่ง เล่นฟุตบอลได้อย่างยอดเยี่ยม ได้ใช้ชีวิตนอกสนามที่ต้องการ และยังเข้าใจสิ่งที่ตัวเองต้องการอยู่เสมอ ... นั่นทำให้เขามีความสุข ซึ่งเป็นสิ่งที่ดูเหมือนว่ามนุษย์อีกหลายคนอาจจะใช้เวลาทั้งชีวิตแต่ก็ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่า "อะไรที่ทำให้พวกเขามีความสุขกันแน่ ?" 

อาซาร์ เจอสิ่งนั้น และใช้ชีวิตและอาชีพนักฟุตบอลแบบไม่มีอะไรต้องเสียดาย ... สมแล้วที่เขาเป็นนักเตะที่ถูกคัดเลือกให้เขาไปอยู่ในหอเกียรติยศของพรีเมียร์ลีกประจำปี 2025 นี้

 

แหล่งอ้างอิง

https://www.goal.com/en/news/hazard-best-player-in-world-cole-explains-former-chelsea-star-ronaldo-messi-levels/blt16b7e844760c2cd6
https://www.mirror.co.uk/sport/football/news/joe-cole-hazard-lille-chelsea-26296252
https://www.bbc.com/sport/football/67066674
https://www.football365.com/news/was-eden-hazard-the-last-of-the-great-premier-league-mavericks
https://www.independent.co.uk/sport/football/eden-hazard-chelsea-marcel-desailly-b2853208.html

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ