Feature

เซียนงบจำกัด & สารพัดแท็คติก : โธมัส แฟรงค์ ปรัชญามหายืดหยุ่นของกุนซือต้นทุนต่ำ | Main Stand

โธมัส แฟรงค์ เคยเกือบโดนไล่ออกจาก เบรนท์ฟอร์ด ตั้งแต่รับตำแหน่งผู้จัดการทีมเต็มตัวในปี 2018 เพราะทีมชนะแค่เกมเดียวใน 10 เกมแรก แถมรูปแบบการเล่นก็ดูมั่วซั่วไม่น่าไว้ใจจนโดนแซวว่า "เป็นได้แค่โค้ชบอลเด็ก 7 ขวบ" 

 


แต่ตอนนี้กุนซือชาวเดนมาร์ก กำลังไต่ระดับไปอีกขั้นหลังคุมเบรนท์ฟอร์ดมานาน 7 ปี และพาทีมเลื่อนชั้นขึ้นมาพรีเมียร์ลีกครั้งแรกในรอบ 74 ปี 

ทั้งหมดนี้เริ่มต้นจากนโยบายเข้มสุดขั้วของบอร์ดบริหารผึ้งพิฆาต ที่กล้าพนันกับทุกคำปรามาสว่า "แฟรงค์คือคนที่ใช่"

จากโค้ชโนเนมจากเดนมาร์กที่เข้ามาทำหน้าที่วางกรวย …  โธมัส แฟรงค์ ยกระดับตัวเองจนได้งานที่ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ได้อย่างไร ?  ติดตามกับ Main Stand 

 

พนันกับผมไหมล่ะ ? 

หาก อังกฤษ คือ ดินแดนแห่งฟุตบอลแล้ว ลอนดอน ก็คงเปรียบได้กับเมืองหลวงแห่งโลกลูกหนัง เพราะที่นี่มีสโมสรฟุตบอลมากมายหลายสิบแห่ง กระจายอยู่ตามมุมต่าง ๆ ของเมือง

เอ่ยถึงทีมลูกหนังจากกรุงลอนดอน ส่วนใหญ่แฟนบอลคงนึกถึง เชลซี แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2 สมัย, อาร์เซนอล, ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์, เวสต์แฮม, คริสตัล พาเลซ หรือแม้แต่ในลีกรองอย่าง ควีนส์พาร์ค เรนเจอร์ส ถึงกระนั้น ก็ยังมีอีกหลายทีม ที่หลบซ่อนอยู่ในลีกรองและลีกร่าง ... เบรนท์ฟอร์ด คือหนึ่งในนั้น แต่ที่น่าสนใจก็คือพวกเขาใช้เวลาแค่ 10 ปีเท่านั้นในการพาทีมมาถึงจุดที่อยู่รอดในพรีเมียร์ลีกได้สบาย ๆ และส่วนหนึ่งก็ต้องให้เครดิตกับ โธมัส แฟรงค์ ไม่น้อย 

ช่วงเวลาการก้าวกระโดดของ เบรนท์ฟอร์ด เกิดขึ้นในช่วงที่ แมทธิว เบนแฮม เซียนพนันและเจ้าของ Smartodds บริษัทที่รวบรวมสถิติ, แนะนำคำปรึกษา, และวิเคราะห์ให้ลูกค้า เพื่อการเลือกเดิมพันที่ฉลาดที่สุด เข้ามาซื้อทีมเมื่อปี 2012 ... แนวคิดด้านสถิติถือเป็นเรื่องใหม่เมื่อช่วงเวลานั้น โดย เบนแฮม เชื่อเรื่องสถิติและตัวเลขมากกว่าสิ่งที่ตัดสินด้วยสายตา อารมณ์ และความรู้สึกเท่านั้น 

เขาตัดสินใจเปลี่ยนใช้ข้อมูลเชิงสถิติเพื่อเปลี่ยนแปลงการวิเคราะห์ทีม เบรนท์ฟอร์ด ในแง่ของภาพรวมทันทีที่ขึ้นมาปกครองสโมสรในฐาะหุ้นใหญ่ แนวคิดแบบ Money Ball เกิดขึ้นในระบบการสรรหาบุคลากรของทีม ไล่ตั้งแต่ทีมงานหลังบ้านจนถึงนักเตะในทีม จากนั้น เบรนท์ฟอร์ด จึงค่อย ๆ เป็นทีมประเภทซื้อมา-ขายไป โดยยึดหลัก ซื้อถูก-ขายแพง นโยบายนี้ทำให้ทีมยกระดับตัวเองจากลีกวัน จนขึ้นมาอยู่ในระดับ แชมเปี้ยนชิพ และทุกอย่างสุกงอมพร้อมสำหรับการขึ้นไปเล่นลีกสูงสุด ก็ถึงเวลาที่พวกเขาจะต้องหาใครสักคนเพื่อพาทีมไปยังเป้าหมายนั้น 

ตามหลักแล้วทีมใน แชมเปี้ยนชิพ ช่วงปลายยุค 2010s มักจะเลือกโค้ชในแบบที่มีประสบการณ์เคยพาทีมเลื่อนชั้น เป็นโค้ชท้องถิ่นที่รู้วิธีอยู่รอด และมีแนวทางที่เน้นไปให้ถึงเป้า เราจึงได้เห็นโค้ชอย่าง สตีฟ บรูซ, นีล วอร์น็อค, พอล แลมเบิร์ต, มาร์ค ฮิวจ์ส หรือ แซม อัลลาร์ไดซ์ ได้งานทำทีมในระดับ เลื่อนชั้น-ตกชั้น อยู่บ่อย ๆ 

แต่แนวคิดของ เบนแฮม นั้นค่อนข้างเซอร์ไพรส์ เพราะในปี 2018 สถิติที่เขาและทีมงานบอร์ดบริหารหลังบ้านมีอยู่ในมือ กลับชี้ชัดว่าโค้ชโนเนมจากเดนมาร์ก คนที่เคยมีประสบการณ์คุมทีมในระดับอาชีพแค่ 3 ปีอย่าง โธมัส แฟรงค์ คือคนที่ใช่ที่สุด ซึ่งเหตุผลนั้นก็ชวนให้หลายฝ่ายประหลาดใจ  เพราะนอกจากประสบการณ์จะน้อยแล้ว แฟรงค์ ยังไม่เคยเป็นนักเตะอาชีพมาก่อน เรียกได้ว่าไม่มีประสบการณ์ทั้งในทางตรง และทางอ้อมถึงขั้นที่สื่ออย่าง BBC ยังเขียนพาดหัวแซวว่า "โค้ชใหม่ของ เบรนท์ฟอร์ด ผู้มีประสบการณ์คุมทีมอายุไม่เกิน 8 ปีในเดนมาร์ก" ... ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องจริง เพราะ โธมัส แฟรงค์ เริ่มงานแรกกับทีม Frederiksvaerk รุ่นอายุไม่เกิน 8 ขวบ 

แม้จะโดนปรามาสจากสื่อและแฟนบอล แต่ เบนแฮม และทีมหลังบ้านของ เบรนท์ฟอร์ด ไม่เคยตั้งคำถามกับ แฟรงค์ เลย ในฐานะอดีตนักพนันเก่า มันเหมือนกับ เบนแฮม พยายามจะท้าทายกับทุกคนที่ปรามาสเข้ามาว่า "พนันกับผมไหมล่ะว่าเขาจะเป็นตัวเลือกที่ดี" ซึ่งเหตุผลที่เขาพูดแบบนั้น ก็เพราะ แฟรงค์ เป็นคนที่พูดคุยและสื่อสารจากคนองค์กรได้ดีมากทั้งคนในระดับที่ต่ำกว่า และคนในระดับที่สูงกว่า เขาสามารถอธิบายแนวคิดของตัวเองได้ว่าคืออะไร และสิ่งไหนคือปัญหาที่ทีมเป็นอยู่เวลานั้น ... ว่าง่าย ๆ ก็คือทุกอย่างภายใต้งานของเขาล้วนมีเหตุผลหาใช่ข้อแก้ตัว นั่นคือสิ่งที่ทุกคนใน เบรนท์ฟอร์ด เชื่อมั่นในตัวของเขา

และคุณเองก็ต้องไม่ลืมว่าโลกยุคใหม่มันเปลี่ยนไปแล้ว ทุกองค์ความรู้บนโลกนี้สามารถเข้าถึงได้ไม่ยากหากคุณตั้งใจจริง เรื่องนี้ไม่เว้นแม้แต่งานโค้ช ... ซึ่งจากนี้เป็นเรื่องที่ แฟรงค์ จะต้องแสดงออกมาว่าโค้ชบอลเด็ก 8 ขวบอย่างเขา มีอะไรโดดเด่นจึงทำให้ได้รับการแต่งตั้งคุมทีมที่ต้องการขึ้นไปเล่นในพรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 80 ปีอย่าง เบรนท์ฟอร์ด 

 

ฟุตบอลไม่ควรตัน 

นอกจากคุมทีมระดับยู 8 ที่สื่ออังกฤษเอามาแซวแล้ว อันที่จริง แฟรงค์ ก็มีชื่อในระดับหนึ่งสำหรับวงการฟุตบอลเดนมาร์ก เขาเคยคุมทีม เดนมาร์ก ชุดยู 16 ยู 17 และยู 19 ก่อนที่จะได้โอกาสคุมสโมสรใหญ่ในประเทศอย่าง บรอนด์บี้ ซึ่งเป็นสโมสรสุดท้ายก่อนที่เขาจะถูกทีมงานสรรหาของ เบรนท์ฟอร์ด จิ้มชื่อเลือกมาคุมทีม กลับไปที่คำถามเดิม ทำไมต้องเป็นเขา ?

ตามข้อมูลที่ทีมหลังบ้าน เบรนท์ฟอร์ด ได้รับเกี่ยวกับ แฟรงค์ ก็คือเขาเป็นโค้ชที่ขึ้นชื่อเรื่องความยืดหยุ่น สามารถทำทีมได้หลากหลายสไตล์  ไม่ตายตัว ปรับเกมให้เหมาะกับกลยุทธ์ของคู่แข่งเสมอ ซึ่งถ้าคุณดู เบรนท์ฟอร์ด มาตลอดนับตั้งแต่พวกเขาขึ้นมาพรีเมียร์ลีก คุณก็จะพบว่านั่นเป็นเรื่องไม่เกินจริง เบรนท์ฟอร์ด ของ แฟรงค์ เล่นหลายระบบมาก ๆ ทั้ง 3-4-3, 3-5-2, 4-4-2, และ 4-3-3  อีกทั้งประสบการณ์การคุมทีมชาติเดนมาร์กชุดเยาวชน ก็แสดงให้เห็นว่า เขาเป็นกุนซือที่เล่นฟุตบอลเน้นผลได้เก่ง กลยุทธ์ที่เลือกใช้หลากหลายเพื่อปลายทางสู่ชัยชนะ  

ความยืดหยุ่นทางกลยุทธ์ และความเป็นหนอนแท็คติกที่หมกมุ่นกับฟุตบอลตลอดเวลา ศึกษาทั้งศาสตร์ฟุตบอลจากโค้ชยุคเก่า และโมเดิร์นฟุตบอลแบบสมัยใหม่ ทำให้ เบรนท์ฟอร์ด เริ่มต้นด้วยการจ้างแฟรงค์เข้ามาเป็นมือขวาของ ดีน สมิธ ก่อนในปี 2015 แต่หลังจากผ่านไป  ปี ดีน สมิธ ก็ไม่สามารถทำทีมไปยังเป้าหมายที่ทีมตั้งไว้ได้ ทำให้บอร์ดบริหารเลือก แฟรงค์ เข้ามาทำงานแทน และนี่แทบจะเป็นงานใหญ่ครั้งแรกในชีวิตของเขา 

เดินที แฟรงค์  เป็นคนที่รับกลุยทธ์จาก สมิธ มากระจายต่อทีมให้เตรียมพร้อมสำหรับการฝึกซ้อม ภาพที่ทุกคนเห็นคือการที่เขาเดินถือกระดานไวท์บอร์ดและอธิบายแท็คติกแบบที่โค้ชใหญ่สั่งมาให้กับนักเตะทุกคนได้ดูแบบรายตัว เรียกได้ว่าตั้งแต่วางกรวย นัดหมาย สื่อสาร และอธิบายแท็คติก คือสิ่งที่ แฟรงค์ ทำมาตั้งแต่เป็นผู้ช่วยโค้ชแล้ว เพียงแต่ว่าเมื่อเขาขึ้นมาเป็นใหญ่จริง ๆ มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ซึ่งเขาก็ได้พบความจริงข้อนี้เพราะ 10 เกมแรก แฟรงค์ พาทีมชนะแค่เกมเดียวเท่านั้น จากทีมระดับกลางตารางใน แชมเปี้ยนชิพ เขาพาทีมเข้าไปใกล้โซนตกชั้นเรื่อย ๆ และนั่นเป็นสามารถว่าทำไมนักข่าวในอังกฤษแซวเขาว่าเป็นโค้ชระดับยู 8 ขวบ สอนได้แค่เด็ก ๆ เท่านั้น 

แต่อย่างที่กล่าวไป เบนแฮม และทีมหลังบ้านนำโดยผู้อำนวยการกีฬาอย่าง ราสมุส แอนเคอร์เซ่น เชื่อใจในการทำงานของ แฟรงค์ เป็นอย่างมาก สิ่งที่ทำให้เชื่อก็คือสถิติและตัวเลขต่าง ๆ เช่นการครองบอลกับตัว การแย่งลูกกลางอากาศ เข้าเข้าปะทะแย่งบอลคู่แข่ง และสถิติอีกหลายอย่างบอกว่าแม้ชนะเกมเดียวในรอบ 10 นัด แต่ตัวเลขเบื้องหลังมันดีขึ้นจริง ตรงตามเป้าหมายที่เคยได้คุยกันไว้ นั่นคือการทำทีมที่ยั่งยืนด้วยระบบ ที่จะกลายเป็นจุดแข็งของทีมในภายหลัง

ซึ่งมันก็แบบนั้นจริง ๆ เมื่อพ้น 10 เกมแรกที่ยากลำบาก แฟรงค์ เริ่มเปลี่ยนวัฒนธรรมในห้องแต่งตัวของทีมได้สำเร็จ เขาไม่เคยยึดมั่นกับนักเตะระดับสตาร์ประจำทีม เขาเชื่อมั่นในแง่ภาพรวมเท่านั้น และเหนือสิ่งอื่นใดที่เขาประกาศต่อลูกทีมคนอื่น ๆ บ่อยก็คือไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ เขาจะให้เวลาทุกคนมีอารมณ์ร่วมกับสิ่งนั้นแค่ 24 ชั่วโมง ... จากนั้นทุกคนจะต้องกลับมาตั้งสมาธิเพื่อเอาชนะในเกมต่อไป 

ลูกทีมหลาย ๆ คนในช่วงเวลานั้นพูดตรงกันเกือบหมดในแง่ของการที่เขาเป็นกุนซือที่เนี้ยบและใส่ใจรายละเอียดต่าง ๆ ในเชิงแท็คติกเป็นอย่างมาก เพราะเขาเชื่อเสมอว่าระบบที่ดี จะทำให้ผู้เล่นในทีมเล่นได้ดีขึ้นโดยอัตโนมัติ โดยต้องมีข้อแม้ทุกคนต้องมองเป้าหมายเดียวกัน และไม่มี "พวกนิสัยแย่" อยู่ในทีม 

"เขาเป็นกุนซือที่ละเอียดสุด ๆ เขาถึงขั้นวางแผนเปลี่ยนตัวล่วงหน้าก่อนเกมจะเริ่ม และมักใช้ไวท์บอร์ดอธิบายแท็กติกระหว่างเกม เขาออกคำสั่งจากข้างสนามอย่างเข้มข้น แต่ก็เป็นคนเปิดใจ ฟังความคิดเห็นจากนักเตะเสมอ มีวินัยชัดเจน เช่น 'ให้เวลา 24 ชั่วโมง' สำหรับทั้งชัยชนะและความพ่ายแพ้ และมีนโยบาย 'ไม่มีพวกนิสัยแย่' ในทีม" พอนทุส แยนสัน อดีตกัปตันทีมในยุคเริ่มต้นของ แฟรงค์ ว่าเช่นนั้น

ระบบการทำทีมที่ชัดเจน และโค้ชที่บ้าเรื่องแท็คติกและสถิติตัวเลขอย่าง แฟรงค์ เหมือนคนที่สโมสร เบรนท์ฟอร์ด รอคอย เพราะทีมก็มักจะซื้อนักเตะจากดาต้าที่พวกเขาเก็บมาอย่างละเอียด จากนั้นทุกฝ่ายจะมาคุยกันว่านักเตะคนนี้เหมาะกับทีมและจะทำกำไรในอนาคตได้หรือไม่ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวเป็นจริงแล้วในตอนนี้ เบรนท์ฟอร์ด ซื้อถูก-ขายแพง หลายดีล และเมื่อเสียตัวหลักพวกเขาก็อยู่ได้ด้วยระบบที่ดี ซึ่งทำให้ทีมจากที่เคยหนีตายในฤดูกาล 2019-20 กลายเป็นทีมที่เข้า[เพลย์ออฟ 2 ฤดูกาลติดต่อกัน และสุดท้ายก็สามารถขึ้นสู่พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จในฤดูกาล 2021-22 

 

ระบบนำสตาร์ 

เมื่อขึ้นมาสู่พรีเมียร์ลีก เบรนท์ฟอร์ด กลายเป็นตัวแสบของทีมใหญ่แทบจะทันที และไม่เคยมีซีซั่นไหนเลยที่พวกเขาต้องกระเสือกกระสนหนีตายในช่วงท้ายซีซั่น เหตุผลง่าย ๆ ก็เพราะกลยุทธ์ที่หลากหลายไม่ยึดติดกับระบบใดระบบหนึ่ง ถ้าเจอทีมมาตรฐานไล่ ๆ กันหรือต่ำกว่า เบรนท์ฟอร์ด จะเดินเกมใส่แบบฟุตบอลไดเร็กต์อย่างรวดเร็ว กล้าได้กล้าเสีย ฆ่าได้ต้องฆ่า มันจึงทำให้พวกเขาเป็นทีมที่ยิงประตูได้เยอะตลอด และสร้างนักเตะแนวรุกชั้นดีขึ้นมามากมาย

ขณะที่ในบางเกมกับทีมใหญ่ที่มาตรฐานเหนือกว่า เขาก็มักจะปรับทีมให้รัดกุมมากขึ้น เช่นการปรับมาเล่นแบบ 3 เซ็นเตอร์แบ็ก ใช้วิงแบ็กโจมตี แถมยังมีเรื่องสถิติตัวเลขต่าง ๆ ที่ทำให้พวกเขาเป็นทีมแรกของพรีเมียร์ลีกที่มีโค้ชลูกตั้งเตะเป็นของตัวเอง และกลายเป็นทีเด็ดที่ทำให้พวกเขาได้แต้มจากลูกเตะมุม ฟรีคิก หรือแม้กระทั่งลูกทุ่มมามากมาย และทุกวันนี้มันกลายเป็นสิ่งที่ทุกทีมในลีกทำตามไปเรียบร้อยแล้ว 

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด ความยืดหยุ่นแบบนัดต่อนัดเป็นสิ่งที่แฟรงค์มีติดตัวตั้งแต่คุมทีมชุดเยาวชนยู 17 ของทีมชาติเดนมาร์กแล้ว โดย ลี โซเรนเซ่น อดีตแข้งเดนมาร์กชุดที่ไปแข่งฟุตบอลโลกยู 17 ได้พูดถึงแฟรงค์ในเวลานั้นว่า "โธมัส มองหาพัฒนาการที่เพิ่มขึ้นในแต่ละเกมเสมอ และมีแผนสำหรับทุกสถานการณ์ที่ทีมจะต้องเผชิญหน้า"

"เขามักจะมีแผน A B และ C อยู่ตลอดเวลา และเขาเรียบเรียงมันอย่างมีขั้นตอน ชัดเจนว่าจะทำอะะไรในแต่ละช่วงของเกม คุณจะได้เห็นทีมของเขาว่าในบางจังหวะพวกเขาก็ต่อบอลด้วยการบิลด์อัพจากแดนหลังแบบช้า ๆ แต่พอถึงเวลาต้องไล่บี้กดดันเอาบอลกลับมาเล่นจากคู่แข่่ง ทีมของแฟรงค์ก็จะเปลี่ยนจังหวะของเกมอย่างรวดเร็ว"  

นอกจากการยืดหยุ่นที่ทำได้ดีแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ แฟรงค์ เก่งมาก ๆ คือกรพัฒนานักเตะที่มีในมือ ให้ตอบโจทย์ในเชิงกลยุทธ์มากขึ้น ทำให้เป็นคนที่เล่นได้ล็อกเดียวกัน จังหวะเดียวกันกับทีม และคุณไม่ต้องไปดูที่ไหนไกล เพราะเขาคือคนที่เปลี่ยน ไอแวน โทนี่ย์, ดาบิด รายา และ ไบรอัน เอ็มเบอโม่ ให้กลายเป็นผู้เล่นระดับท็อปของลีก ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้นักเตะพวกนี้ต่างเป็นนักเตะที่ค้าแข้งในลีกรองเท่านั้น  

เขาเชื่อมั่นในกระบวนการพัฒนาตัวบุคคลมากกว่าชื่อเสียง ไม่เคยมีปัญหากับการซื้อนักเตะโนเนมในงบที่จำกัดเลย เพียงแต่ทุกคนที่ทีมจะซื้อนั้น เขาจะต้องมีส่วนร่วมในการพิจารณาว่า จะเหมาะสมกับทีมหรือไม่ หรือเป็นนักเตะที่สามารถพัฒนาตัวเองได้มากแค่ไหน ซึ่งเมื่อบวกกับการที่ เบรนท์ฟอร์ด เป็นสโมสรที่บ้าสถิติและตัวเลข มันจึงทำให้เขาสนุกกับการทดสอบสิ่งต่าง ๆ มากมาย และหลายครั้งมันออกมาเวิร์กอย่างไม่น่าเชื่อ  

แฟรงค์ คือคนที่เปลี่ยน โอลลี่ วัตกินส์ จากที่แต่ก่อนเป็นนักเตะในตำแหน่งปีกให้กลายเป็นกองหน้าตัวเป้า ซึ่งสุดท้าย วัตกินส์ ก็กลายเป็นกองหน้าระดับทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ นอกจากนี้ยังดึงศักยภาพของ โยอัน วิสซ่า และเอ็มเบอโม่ออกมาเต็มที่ ในระกบบตัวรุกที่สามารถสลับตำแหน่งกันได้ตลอดเวลา ไม่มีจุดยืนที่ตายตัว 

ไหนจะยังมีเรื่องการอดทนและเฝ้ารอ มิกเกล ดัมส์การ์ด ที่เจ็บยาวถึง 2 ปี ที่สโมสรทำท่าจะขายแหล่ไม่ขายแหล่เพื่อลดค่าเหนื่อยรวม แตสุดท้ายแฟรงค์ ก็สามารถแจกแจงกับทีมหลังบ้านได้ว่า ถ้า ดัมส์การ์ด ฟิต เขาจะช่วยอะไรทีมได้บ้าง แล้วมันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ เพราะในฤดูกาล 2024-25 ดัมส์การ์ด กลายเป็นตัวแอสซิสต์หลักของทีม และยังเป็นนักเตะที่แย่งบอลในแดนของคู่แข่งได้มากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของทีมอีกด้วย 

"โธมัสทำงานละเอียดมาก เท่าที่ผมเคยร่วมงานมา เขาทำให้ทุกคนเข้าใจบทบาทของตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม เปิดรับความเห็นจากนักเตะ แต่ก็มีความรู้มากพอในการตัดสินใจ" เบน มี กองหลังของทีมสรุปความยอดเยี่ยมของเจ้านายเขาไว้แบบนี้ 

ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา โธมัส แฟรงค์ พิสูจน์ตัวเองด้วยผลงานการคุมทีมในงบที่จำกัดได้อย่างยอดเยี่ยม เขาทำทีมได้ผลงานในสนามที่ตามเป้า อีกทั้งยังขับเคลื่อนเม็ดเงินมหาศาลในการสร้างนักเตะดี ๆ ที่ทำให้ทีมยืนอยู่ในระดับสูงได้อย่างมั่นคง และเหนือสิ่งอื่นใดคือเขาทำให้ เบรนท์ฟอร์ด กลายเป็นทีมที่ทุกทีมไม่อยากจะเจอ และไม่สามารถเอาชนะได้ง่าย ๆ 

"เบรนท์ฟอร์ด เป็นทีมที่บ้ามาก พวกเขาตรงไปตรงมา กล้าได้กล้าเสียในเกมที่พวกเขาเหนือกว่า และยังสามารถเป็นทีมที่หนักหน่วง-เหนียวแน่นในเวลาเจอทีมที่มาตรฐานาสูงกว่า ... คำชมทั้งหมดคงต้องยกให้ โธมัส แฟรงค์ กุนซือของพวกเขา" เธียร์รี่ อองรี ตำนานพรีเมียร์ลีกที่ปัจจุบันเป็นนักวิเคราะห์เกมทาง โทรทัศน์ ยกย่องแฟรงค์ หลังจากรู้ว่าเขากำลังมีข่าวจะได้คุมทีม สเปอร์ส ซึ่งกำลังจะเป็นพาร์ทต่อไปที่ท้าทายในตำแหน่งกุนซือของเขา 

 

แหล่งอ้างอิง

https://www.bbc.com/sport/football/65171129
https://www.theguardian.com/football/2025/jun/09/tottenham-approach-brentford-over-appointing-thomas-frank-as-head-coach
https://www.independent.co.uk/sport/football/thomas-frank-tottenham-next-manager-b2765649.html
https://www.nytimes.com/athletic/6397716/2025/06/09/thomas-frank-tottenham-brentford-manager-profile/
https://learning.coachesvoice.com/cv/thomas-frank-brentford-premier-league/
https://sport.trueid.net/detail/oAgMPpxNPmEG

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Photo

ปฐวี ยอดเนียม

Man u is No.2 But YOU is No.1

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ