Feature

ปรเมศย์ อาจวิไล : เด็กน้อยที่โด่งดังจากการเดาะฟุตบอล สู่การโลดแล่นครั้งใหญ่ที่ญี่ปุ่น | Main Stand

เมืองทอง ยูไนเต็ด บรรลุข้อตกลงปล่อยตัว ปรเมศย์ อาจวิไล ศูนย์หน้าดาวซัลโวของทีม ไปให้กับ จูบิโล่ อิวาตะ ทีมในศึกฟุตบอล เจลีก ทู ประเทศญี่ปุ่น ยืมตัวใช้งานเป็นเวลา 11 เดือน พร้อมตัวเลือกออปชั่นซื้อขาดในภายหลัง

 


การได้ย้ายไปเล่นที่ประเทศญี่ปุ่นในครั้งนี้ของ ปรเมศย์ อาจวิไล ส่งให้แนวรุกที่เคยถูกยกให้เป็น “นิว ธีรศิลป์ แดงดา” คนต่อไป กลายเป็นกองหน้าเบอร์ต้น ๆ ของทัพ “ช้างศึก” ทีมชาติไทย ในเวลานี้ไปแล้วชนิดที่ยากจะมีใครสงสัย

ปรเมศย์ อาจวิไล เก่งขนาดไหน ทำไมชื่อของเขาถึงไปเตะตาทีมดังจากจังหวัดชิซุโอกะได้ Main Stand ขอพาคุณผู้อ่านไปทำความรู้จักกับดาวเตะทีมชาติไทยคนล่าสุดของวงการฟุตบอลญี่ปุ่น ติดตามไปพร้อมกันได้ที่นี่

 

ผมอยากเป็นแบบพี่มุ้ย

เด็กชายปรเมศย์ อาจวิไล เป็นที่รู้จักกันในวงการฟุตบอลไทยตั้งแต่ตัวเขายังเป็นวัยเด็ก ซึ่งเรื่องที่กลายเป็นภาพจำต่อตัวของ ปรเมศย์ นั่นก็คือการที่เจ้าตัวมีความสามารถพิเศษตั้งแต่สมัยนั้นก็คือ “เดาะบอล”

ภาพที่แฟนบอลหลายคนต่างเห็นกันบ่อยครั้ง ยิ่งเป็นแฟนบอลของ “สิงห์เจ้าท่า” การท่าเรือ เอฟซี จดจำเด็กน้อยคนนี้ได้เป็นอย่างดี เนื่องจาก ปรเมศย์ อาจวิไล ที่เติบโตชีวิตในวัยเด็กมาจากระแวกคลองเตยที่อยู่ใกล้กับสนาม แพท สเตเดี้ยม รังเหย้าของการท่าเรือ โดยเจ้าฟรองซ์ มักที่จะไปบรรเลงโชว์การเดาะฟุตบอล ก่อนเกมเวลาที่ทีมมีโปรแกรมการแข่งขัน

แม้ว่า ปรเมศย์ อาจวิไล จะเติบโตมาจากการเป็นเด็กคลองเตยและเคยร่วมฝึกซ้อมกับทีมบ้านใกล้เรือนเคียงในวัยเด็กของเขาอย่าง การท่าเรือ เอฟซี ทว่าตัวเขากลับไม่เคยได้ลงเล่นให้กับสโมสรแห่งนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว

อย่างไรเสีย ว่ากันว่าเพราะฟอร์มการเล่นโดดเด่นเกินอายุของเจ้าตัวในวัยเด็กที่โด่งดังจากการเล่นฟุตบอลนักเรียน ทำให้ทาง เมืองทอง ยูไนเต็ด ตัดสินใจดึงตัวเด็กชายปรเมศย์ อาจวิไล มาอยู่กับสโมสรตั้งแต่อายุ 15 ปี พร้อมกับส่งดาวเตะผู้นี้ไปบ่มเพาะวิชากับโรงเรียนโพธินิมิตรวิทยาคม สถาบันโรงเรียนพันธมิตรของทัพ “กิเลนผยอง” 

ก่อนที่เจ้าตัวจะตอบแทนสโมสรและโรงเรียนแห่งนี้ ด้วยการคว้าแชมป์หนึ่งในรายการฟุตบอลนักเรียนที่ยิ่งใหญ่มากที่สุดของประเทศไทย อย่างรายการศึกฟุตบอล 7 สี ในช่วงปี 2016 แถมเจ้าตัวยังคว้ารางวัลดาวซัลโวพร้อมกับคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมรายการดังกล่าวไปครองอีกด้วยเช่นกัน

บอร์ดบริหารของ เมืองทอง ยูไนเต็ด ต่างทราบดีถึงผลงานส่วนตัวสุดแสนจะร้อนแรงของ ปรเมศย์ อาจวิไล พวกเขาจึงไม่รอช้าที่ในอีก 2 ปีต่อมา จะส่งเจ้าฟรองซ์ไปเก็บประสบการณ์การเป็นนักฟุตบอลอาชีพครั้งแรกกับทางสโมสร บางกอก เอฟซี ทีมในศึกไทยลีก 3 

ซึ่งการย้ายมาลงเล่นที่ บางกอก เอฟซี ปรเมศย์ อาจวิไล แม้ว่าเจ้าตัวจะเพิ่งมีอายุเพียง 18 ปีเท่านั้น แต่เจ้าตัวกลับโชว์ผลงานส่วนตัวไปเตะตาทาง “เฮงซัง” วิทยา เลาหกุล และ “โค้ชโย่ง” วรวุธ ศรีมะฆะ ที่ในเวลานั้นทั้งสองต่างทำงานร่วมกันอยู่ที่ทีมชาติไทยชุดยู 23 ในชุดเตรียมทีมคัดเลือกเอเชียนเกมส์ ก่อนที่ทั้งสองจะเรียกตัว ปรเมศย์ ไปติดทีมชาติไทยชุดดังกล่าว

การถูกเรียกมาติดทีมชาติไทยในครั้งนี้ของเจ้าตัว แม้ว่ามันจะเพิ่งเป็นเพียงชุดยู 23 แต่เจ้าฟรองซ์ก็เปิดใจอย่างตรงไปตรงมาว่าการได้ติดธงชาติไทยถือเป็นเกียรติอันสูงสุดของเขา นอกเหนือจากนั้น ปรเมศย์ ยังได้กล่าวอีกว่าหนึ่งในนักฟุตบอลทีมชาติไทยที่เปรียบเสมือนเป็นแรงบันดาลใจในการเป็นนักฟุตบอลอาชีพของตัวเขา ได้แก่ “มุ้ย” ธีรศิลป์ แดงดา

“ผมดีใจมากครับสำหรับการมีชื่อติดทีมชาติไทยชุดเตรียมเอเชียนเกมส์ ผมจะพยายามเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้ได้มากที่สุดเพื่อพัฒนาการเล่นของตัวผมเองครับ และถ้าหากผมมีโอกาสได้มีชื่อติดทีมไปลุยเอเชียนเกมส์จริง คงเรื่องที่น่าดีใจมากครับสำหรับตัวผมครับ”

“เป้าหมายสำคัญของผมในการเป็นนักฟุตบอลอาชีพคือการที่ได้รับใช้ทีมชาติไทยครับ และผมยังรู้สึกดีใจที่ได้สวมเสื้อตัวนี้เหมือนกับไอดอลของผมอย่าง ‘พี่มุ้ย’ ธีรศิลป์ แดงดา ที่เขาเปรียบเป็นแรงบันดาลใจในการเป็นนักฟุตบอลของผม ผมหวังว่าสักวันหนึ่งผมจะพัฒนาฝีเท้าและก้าวไปอยู่ในระดับพี่เขาให้ได้ โดยเฉพาะอย่างเช่นในเรื่องของการทำประตูให้กับทีมชาติไทยครับ”

 

ร้อนแรงเกินห้ามใจ

ดูเหมือนคำกล่าวในวัยเด็กของ ปรเมศย์ อาจวิไล จะดูเข้าใกล้มากขึ้นไปมากกว่าเดิม ยิ่งสำหรับแฟนบอล เมืองทอง ยูไนเต็ด ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปรเมศย์ คือสมบัติชิ้นสำคัญของทางสโมสร ถึงขั้นที่แฟนบอลส่วนใหญ่ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเด็กคนนี้แหละคือ “ตัวแทน” ของ ธีรศิลป์ แดงดา

ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกที่แฟนบอลของ เมืองทอง ยูไนเต็ด จะเชิดชูและยกย่อง ปรเมศย์ อาจวิไล กันมากพอสมควร เพราะดูจากสถิติการมีส่วนร่วมทำประตูให้กับทีมในช่วง 3 ปีหลังที่ผ่านมา ปรเมศย์ มีส่วนการทำประตูให้กับทัพกิเลนผยองไปมากกว่า 50 ประตู

โดยเฉพาะในช่วง 2 ฤดูกาลหลังผลงานของ ปรเมศย์ อาจวิไล ถือว่าร้อนแรงเป็นอย่างมาก เขากลายเป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญของ เมืองทอง ยูไนเต็ด ปลุกทีมดังจากย่านทางด่วนทีมนี้ให้ตื่นจากการเป็นยักษ์หลับมาหลายฤดูกาลให้กลับมาฟื้นคืนชีพได้อีกครั้ง

ร้อนแรงถึงขั้นพาทีมมีชื่อเข้าชิงฟุตบอลรายการในประเทศ 2 ปีซ้อนทั้งในรายการ รีโว่ ลีก คัพ ในปี 2023-24 และ ช้าง เอฟเอ คัพ ในปี 2024-25 แม้ว่าท้ายที่สุดแล้ว เมืองทอง ยูไนเต็ด จะก้าวไปไม่ถึงการคว้าแชมป์ทั้งสิ้น แต่คนที่ได้รับยอมรับมากที่สุดภายในทีมคงหนีไม่พ้นในรายของ ปรเมศย์ อาจวิไล ที่สามารถพาทีมทะลุเข้ามาได้ไกลมากถึงขนาดนี้

ยิ่งไปมากกว่านั้นหากนำผลงานส่วนตัวของ ปรเมศย์ อาจวิไล ในช่วงหลังที่ผ่านมา ปฏิเสธไม่ได้ว่าชื่อของ ปรเมศย์ กลับการเป็นศูนย์หน้าเบอร์ 1 ทีมชาติไทยในเวลานี้ คงไม่เกินความจริงมากนัก 

เริ่มจากย้อนกลับไปในช่วงปี 2023 ที่สมัยนั้น ปรเมศย์ ถือยังเป็นแข้งหน้าใหม่ในนามทีมชาติ ไทยชุดใหญ่ โดยเกมที่เจ้าตัวแจ้งเกิดได้นั้น คือนัดที่ทัพช้างศึกต้องยกพลบุกไปเยือนคู่ปรับตลอดกาลอย่างทีมชาติเวียดนามถึงสนามหมี่ ดินห์ รังเหย้าของทัพดาวทองที่เกมใน วันนั้นมีผู้ชมอยู่ในสนามมากกว่า 38,000 คน

อย่างไรก็ตามในเกมนัดนั้น ปรเมศย์ อาจวิไล ได้รับโอกาสจาก มาโน่ โพลกิ้ง ให้ออกสตาร์ทเป็นผู้เล่นตัวจริงในตำแหน่งศูนย์หน้าของทีมก่อนหน้าทาง ธีรศิลป์ แดงดา ที่สภาพร่างกายความฟิตไม่เต็มร้อย

ก่อนที่ทาง ปรเมศย์ อาจวิไล จะตอบแทนโอกาสในครั้งนี้จากทาง มาโน่ โพลกิ้ง ด้วยการโชว์สเต็ปล็อคหลบ เกว๋ หง็อก ไห่ กองหลังกัปตันทีมชาติเวียดนามจอมตุกติก จนหลังหักลงไปนอนกลิ้งกับพื้น พร้อมกับซัดประตูเข้าไปอย่างสุดสวย พาทีมชาติไทยกลับมาตามตีเสมอทีมชาติเวียดนามได้สำเร็จ และยังทำให้แฟนบอลชาวเหงียนที่มากันเต็มความจุ ของสนามในวันนั้นถึงกับพากันเงียบทั้งสนาม

ซึ่งประตูดังกล่าวนี้ยังส่งผลให้ทาง ปรเมศย์ อาจวิไล กลายเป็นที่ให้พูดถึงและอยู่ในสถานะกองหน้าตัวหลักทีมชาติไทยตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา แม้จะหมดยุคของการคุมทีมของทาง มาโน่ โพลกิ้ง ที่ถูกปลดออกตำแหน่งเฮดโค้ชไปในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2023 และแต่งตั้ง มาซาทาดะ อิชิอิ เข้ามาคุมทีมแทน แต่ ปรเมศย์ ก็ยังกลายเป็นขาประจำของขุมกำลังทัพช้างศึกในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้าที่หากเจ้าตัวไม่เจ็บหรือไม่มีปัญหาเหตุผลส่วนตัว เชื่อว่าชื่อของเจ้าฟรองซ์จะมีชื่อติดทีมมาโดยตลอด

และด้วยกระแสหลังจากที่เจ้าตัวทำผลงานได้อย่างร้อนแรงกับ เมืองทอง ยูไนเต็ด ในฤดูกาล 2024-25 ทำประตูไปได้มากถึง 18 ประตู กับอีก 8 แอสซิสต์ กลายเป็นที่มาให้เขาได้ย้ายไปเล่นให้กับ จูบิโล่ อิวาตะ ทีมในประเทศญี่ปุ่น ปฏิเสธไม่ได้ว่าสปอร์ตไลท์ต่างสาดส่องไปที่ ปรเมศย์ อาจวิไล เป็นอย่างมากในเกมที่เจ้าตัวลงสนามให้กับทีมชาติไทย เปิดบ้านอุ่นเครื่องกับทีมชาติอินเดีย 

ก่อนที่ ปรเมศย์ อาจวิไล จะสร้างสิ่งที่แฟนบอลชาวไทยทุกคนต่างซูฮกดาวเตะรายนี้ ด้วยการยิงไกลอย่างสุดสวยมากกว่า 30 หลาบอลพุ่งเช็ดสามเหลี่ยมเข้าประตูไปอย่างสวยงาม ทำให้ทีมชาติไทย หนีห่างทีมชาติอินเดีย ไปด้วยสกอร์ 2-0 ผลงานของ ปรเมศย์ ในเกมนัดดังกล่าวยอดเยี่ยมถึงขั้นที่หลังเกมจบการแข่งขัน มาซาทาดะ อิชิอิ ถึงกับต้องออกมาชื่นชมผลงานแข้งรายนี้ทันที พร้อมยังกล่าวถึงเรื่องโอกาสครั้งสำคัญที่ทาง ปรเมศย์ จะได้โอกาสไปลงเล่นกับ จูบิโล่ อิวาตะ ในอนาคตข้างหน้า

“ปรเมศย์ คือนักเตะที่อยู่ในขุมกำลังของทีมทุกครั้งที่ผ่านมา แต่ด้วยปัญหาหลาย ๆ อย่าง ทำให้บางครั้งเขาไม่มีชื่อหรือไม่ได้ลงเล่นให้ทีมชาติไทย แต่เมื่อยามใดที่เขาได้ลงสนามให้กับทีม เขาก็ทำได้ทุกครั้งอย่างที่ผมคาดหวัง แถมยังทำได้ดีมากกว่าที่ตั้งเอาไว้ด้วย” มาซาทาดะ อิชิอิ กล่าวชื่นชม ปรเมศย์ อาจวิไล กับผลงานการเล่นให้กับทีมชาติไทย

“การที่ ปรเมศย์ ได้ไปอยู่ที่ญี่ปุ่นถือเป็นเรื่องที่ดี แม้จะมีนักฟุตบอลไทยหลายคนที่ได้ไปอยู่ แต่ไม่ได้โอกาสเล่นมากนัก แต่ผมเชื่อว่าหาก ปรเมศย์ ปรับตัวได้ไวและตั้งใจฝึกซ้อม เขาจะได้เล่นอย่างแน่นอน นี้ถือเป็นเรื่องดีต่อหลายฝ่ายทั้งตัวของ ปรเมศย์ และต่อทีมชาติไทย ที่จะได้กองหน้าชั้นยอดที่ผ่านการเล่นในประเทศญี่ปุ่น” มาซาทาดะ อิชิอิ กล่าวเพิ่มเติมถึง ปรเมศย์ อาจวิไล กับโอกาสการได้ไปเล่นที่ประเทศญี่ปุ่น 

 

โอกาสครั้งสำคัญกับการไปลุยที่ญี่ปุ่น

อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากโอกาสครั้งสำคัญที่ทางสโมสร เมืองทอง ยูไนเต็ด ได้มอบให้ตัว ของ ปรเมศย์ อาจวิไล ในครั้งนี้สำหรับการออกไปลุยที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก ตัวเขาเองก็ถือว่ามีอุดมการณ์ของตัวเองที่แน่วแน่มากพอสมควรก่อนหน้านี้ว่า “หากเขาย้ายออกจากเมืองทอง เป้าหมายเดียวคือทีมจากต่างแดนเท่านั้น”

เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าในปัจจุบัน เมืองทอง ยูไนเต็ด กลายเป็นทีมที่ต้องใช้งบประมาณในการทำทีมอย่าง “รัดเข็มขัด” ไม่สามารถทุ่มเงินซื้อเหมือนกับยุคสมัยในอดีตได้อีกแล้ว เราจึงเห็นได้ในหลายเคสนักเตะตัวหลักชาวไทยของทีม อาทิเช่น วีระเทพ ป้อมพันธุ์, เจริญศักดิ์ วงษ์กรณ์ รวมไปถึง เอกนิษฐ์ ปัญญา ล้วนแต่โดนเหล่าบรรดาทีมเงินถุงเงินถังในศึกไทยลีกต่างทุ่มเงินซื้อกระชากตัวไปร่วมทีมทั้งสิ้น

เช่นกันกับปรเมศย์ อาจวิไล ที่เจ้าตัวเคยมีข่าวว่า บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ก็เคยแสดงความสนใจ ในตัวของดาวเตะผู้นี้อย่างชัดเจน และเคยถูกเปิดเผยออกมาว่าพวกเขาเคยทำการยื่นข้อเสนอด้วยจำนวนที่มากถึง 30 ล้านบาท เพื่อต้องการดึง ปรเมศย์ ไปล่าตาข่ายให้กับทีม แต่กลับเป็นทางด้านของเจ้าฟรองซ์ที่เลือกปฏิเสธข้อเสนอนี้เอง 

โดยอีกแหล่งข่าวสำคัญที่ได้รับการยืนยันอย่างชัดเจนว่า ปรเมศย์ อาจวิไล เป็นคนที่เลือกปฏิเสธดีลข้อเสนอดังกล่าว มาจากทางคุณพ่อของเขาที่เคยออกมาโพสต์ข้อความผ่านแพลตฟอร์มส่วนตัวเอาไว้ว่า “ฟรองซ์ยังไม่อยากย้ายออกจากเมืองทองในเวลานี้ หากลูกชายของผมย้ายทีมจริง เขาจะเลือกออกไปค้าแข้งที่ลีกต่างประเทศเท่านั้น” 

ก่อนที่ในท้ายที่สุดโอกาสครั้งแรกของ ปรเมศย์ กับการได้ไปลุยเวทีเจลีกเริ่มมีความเป็นไปได้เช่นกัน จากการที่ ปรเมศย์ อาจวิไล ได้ถูกทาง เมืองทอง ยูไนเต็ด ส่งตัวไปร่วมฝึกซ้อมกับทาง อุราวะ เรดส์ ไดมอนด์ ทีมในเครือพันธมิตรที่ในเวลานั้นมีทาง เอกนิษฐ์ ปัญญา ดาวเตะทีมชาติไทยลงเล่นอยู่ในสัญญายืมตัว

ทั้งนี้ยังมีรายงานอีกว่าการร่วมฝึกซ้อมของ ปรเมศย์ อาจวิไล ในครั้งนี้กับทางสโมสร อุราวะ เรดส์ ไดมอนด์ ถือว่าเป็นที่ประทับใจต่อทีมสตาฟของทัพ “ปีศาจแดงแห่งเอเชีย” เป็นอย่างมาก และพวกเขาก็แสดงความสนใจอยากได้ตัวเจ้าฟรองซ์ไปร่วมทีมด้วยเช่นกัน

ถึงขั้นที่เคยมีแหล่งข่าวจากประเทศญี่ปุ่นอย่าง Football Tribe เคยรายงานออกมาว่า อุราวะ เรดส์ ไดมอนด์ เตรียมยื่นข้อเสนอจำนวนหนึ่งเพื่อขอยืมตัว ปรเมศย์ อาจวิไล ไปใช้งานเป็นเวลา 1 ฤดูกาล 

แต่ด้วยปัญหาปัจจัยบ้างอย่างที่ไม่มีการเปิดเผยออกมา ส่งผลให้ดีลของ ปรเมศย์ กับทาง อุราวะ เรดส์ ไดมอนด์ หยุดชะงักลง จึงยังทำให้ ปรเมศย์ อาจวิไล ต้องลงเล่นต่อไปให้กับ เมืองทอง ยูไนเต็ด ในฤดูกาล 2024-25

“แต่ดวงคนจะได้ไป สุดท้ายก็ยังได้ไปอยู่ดี” เพราะสุดท้ายแล้วหลังจบฤดูกาล 2024-25 กลายเป็นสโมสร จูบิโล่ อิวาตะ อดีตแชมป์ เจลีก ญี่ปุ่น 3 สมัย ที่ปัจจุบันตกลงมาเล่นอยู่ใน ลีกรองของประเทศญี่ปุ่น สามารถทำข้อตกลงกับทาง เมืองทอง ยูไนเต็ด ได้สำเร็จ ปิดดีลคว้าตัว ปรเมศย์ อาจวิไล ไปร่วมทีมในรูปแบบยืมตัว 11 เดือนพร้อมออปชั่นซื้อขาดในอนาคต และมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อยในวันที่ 3 มิถุนายน 2025

“ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมทีม จูบิโล่ อิวาตะ สโมสรของประเทศญี่ปุ่นที่มี ประวัติศาสตร์อย่างยิ่งใหญ่ นี้คือสโมสรที่มีเสน่ห์มาก เป็นสโมสรที่มีความสำเร็จในการเป็นแชมป์เจลีก และยังเป็นสโมสรที่ผลิตนักเตะฝีเท้าดีมากมาย นอกจากนั้นยังเป็นที่รู้จักในฐานะสโมสรของ มิซากิ ทาโร่ จากการ์ตูนเรื่องกัปตันซึบาสะที่เขาเคยค้าแข้งอยู่ที่นี่”

“การได้มาเล่นที่ประเทศญี่ปุ่นถือเป็นอีกหนึ่งความฝันสำหรับตัวผมเองตั้งแต่เด็ก วันที่สโมสร จูบิโล่ อิวาตะ ยื่นข้อเสนอเข้ามา ผมดีใจมากและไม่รอช้าที่จะรีบตัดสินใจย้ายมาอยู่ที่นี่ พอสุดท้ายแล้วการย้ายทีมได้เกิดขึ้นจริง ผมรีบโทรไปหาคุณแม่เพื่อบอกเรื่องนี้ ซึ่งท่านดีใจในตัวผมมากครับ”

“ต่อจากนี้ ผมจะเรียนภาษาญี่ปุ่นให้หนัก เพื่อที่จะใช้สื่อสารกับเพื่อนร่วมทีม, เฮดโค้ช และ ทีมสตาฟได้อย่างเต็มที่ ผมจะทุ่มเทมากกว่า 100 เปอร์เซ็นต์ให้กับสโมสรแห่งนี้ เพื่อแสดงฝีเท้าที่ยอดเยี่ยมต่อหน้าแฟนบอลและผู้บริหารของ จูบิโล่ อิวาตะ ที่เชื่อใจรับผมเข้ามาอยู่ที่นี่ครับ” ปรเมศย์ อาจวิไล กล่าวความรู้สึกของตัวเองผ่านช่องทางสโมสร จูบิโล่ อิวาตะ ในวันเปิดตัว

สุดท้ายแล้วต้องมารอติดตามไปพร้อมกันว่า “ฟรองซ์” ปรเมศย์ อาจวิไล จะสามารถโชว์ผลงานส่วนตัวของตนเองออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมกับการไปโลดแล่นที่ประเทศญี่ปุ่นเหมือนกับอดีตนักเตะทีมชาติไทยอย่าง ชนาธิป สรงกระสินธิ์, ธีราทร บุญมาทัน, สุภโชค สารชาติ หรือแม้แต่ไอดอลในวัยเด็กของเขาแบบ ธีรศิลป์ แดงดา เคยทำเอาไว้หรือไม่

แต่เชื่อว่าการได้ออกไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่ประเทศญี่ปุ่นในครั้งนี้ แม้จะเป็นเพียงลีกรองแต่ก็ถือว่าตัวของฟรองซ์เองย่อมได้ประโยชน์และอะไรหลาย ๆ อย่างจากการไปอยู่ที่นี่แน่นอน และยังทำให้วงการฟุตบอลไทยสามารถยกระดับไปได้ไกลมากกว่าเดิมเหมือนกับในอดีตที่ครั้งหนึ่งนักเตะทีมชาติไทยกลายเป็นแหล่งสมบติชิ้นสำคัญที่หลายสโมสรในเจลีกต่างให้ความสนใจต้องการได้ไปร่วมทีมทั้งสิ้น 

และนี่ถือเป็นเรื่องราวที่น่านับถือความมุ่งมั่นของ ปรเมศย์ อาจวิไล เด็กหนุ่มที่แจ้งเกิดจากการเป็นเทพเดาะฟุตบอลในระแวกชุมชนคลองเตย สู่ดาวเตะอนาคตไกลที่ได้ไปลุยลีกชั้นนำของเอเชียอย่างประเทศญี่ปุ่นคนต่อไป 

พวกเราชาว Main Stand ขอเป็น 1 เสียงกำลังใจ ขอเอาใจช่วยคุณให้ประสบความสำเร็จในการไปลุยลีกเจทูในครั้งนี้!

Author

วิสุทธา วงค์หน่อแก้ว

หนุ่มน้อยผู้คลั่งรัก "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สุดหัวใจ

Graphic

อภิสิทธิ์ โชติพิบูลย์ทรัพย์

Art Director ผู้รับเหมางานภาพกราฟิกหน้าปกบทความทุกชิ้น