Feature

โจ๊บ เบลลิงแฮม : ฮีโร่ซันเดอร์แลนด์ และน้องชายที่อยู่ใต้ร่มเงาของพี่เสมอ | Main Stand

 

การเป็นน้องชายของวันเดอร์คิดระดับท็อปของโลกลูกหนัง แถมอายุยังห่างกันแค่ 2 ปี คือสิ่งที่ โจ๊บ เบลลิงแฮม ต้องเผชิญมาตั้งแต่จำความได้ 

 


เมื่อต้องหนีจากเงาและรอยเท้าอันยิ่งใหญ่ที่ จู๊ด พี่ชายสร้างไว้ ... โจ๊บ ต้องสู้ในแบบของตัวเอง และเลือกเส้นทางที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง จนกระทั่งเขามีวันนี้

 

· การเป็นน้องของ "จู๊ด" 

จู๊ด เบลลิงแฮม สร้างชื่อเสียงในฐานะนักเตะอาชีพตั้งแต่อายุ 15 ปี ซึ่งเป็นช่วงอายุที่ทำให้เขาได้เล่นทีมชุดใหญ่ของ เบอร์มิงแฮม ซิตี้ ใน แชมเปี้ยนชิพ จากนั้นก็สร้างชื่อกลายเป็นวันเดอร์คิดของโลกลูกหนัง เป็นนักเตะทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ จากการฉายแววกับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ และอย่างที่ทุกคนรู้กันในตอนนี้ เขากลายเป็นนักเตะค่าตัว 100 ล้านปอนด์ และเป็นสมาชิกของทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง เรอัล มาดริด 

นี่คือเส้นทางฟุตบอลที่เกิดขึ้นไวมากของ จู๊ด เบลลิงแฮม ตั้งแต่อายุแค่ 20 ปีเท่านั้น ... ไม่ต้องแปลกใจที่ทุกคนจะชื่นชมเขา เพราะสิ่งที่เขาทำมันน่าเหลือเชื่อจริง ๆ แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือความสำเร็จของเขา มันกำลังทำให้คนคนในครอบครัวของเขา คนที่เขาเห็นหน้าตั้งแต่ลืมตาดูโลกกำลังเผชิญกดดันอย่างมหาศาล คน ๆ นั้นคือ โจ๊บ เบลลิงแฮม น้องชายที่อายุน้อยกว่าเขา 2 ปี คนที่ต้องแบกรับความกดดันตั้งแต่จำความได้ 

โจ๊บ เบลลิงแฮม เติบโตมาตามเส้นทางคล้าย ๆ กับพี่ชายของเขา เป็นเด็กในเมืองเบอร์มิงแฮม และเป็นเยาวชนของ เบอร์มิงแฮม ซิตี้ และในช่วงที่เขากำลังขยับขึ้นมาเล่นให้ทีมรุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี พี่ชายของเขาก็กลายเป็นตัวจริงของ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ไปแล้ว ซึ่งนั่นทำให้ โจ๊บ เบลลิงแฮม มักจะถูกเรียกว่า "น้องชายของจู๊ด" หรือไม่ก็ "เบลลิงแฮมหมายเลข 2" มีแต่คนจดจำเขาแบบนั้น 

สิ่งที่ โจ๊บ ทำได้ในเวลานั้นคือการก้มหน้ารับความจริงที่ต้องเจอ มันคือชะตาที่ไม่อาจเลี่ยง มันคือสิ่งที่เขาหนีไม่พ้น เพราะเมื่อคุณมีพี่ชายเป็นนักเตะที่เก่งขนาดนั้น แน่นอนว่าความคาดหวังที่มีต่อเขาย่อมสูงไปด้วย ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วมันไม่ใช่เรื่องง่าย อาจจะมีเพียง 1 ในล้านเท่านั้นที่จะทำได้อย่างที่ จู๊ด เบลลิงแฮม ทำในวัยไม่ถึง 20 ปี 

โจ๊บ จึงทำในสิ่งที่ตัวของเขาทำได้ นั่นคือการก้มหน้าทำงานหนักเพื่อพิสูจน์ตัวเองในแบบของเขา เลือกเส้นทางของตัวเอง แม้ว่าคนภายนอกจะมองเขาไว้อย่างไรก็ช่าง 

"ความกังวลของผมคือผู้คนจะตัดสินเขาจากความสำเร็จของผม แต่มันไม่ยุติธรรมเลย เพราะเขาเป็นนักเตะที่มีพรสวรรค์และความสามารถในแบบของเขาเอง ... ผมเฝ้ามองทุกการเติบโตของเขาเสมอ เพราะความสุขของเขาสำคัญกับผมมากกว่าความสุขของตัวเอง" พี่ชายของเขาเป็นคนพูดประโยคนี้กับสื่อ นั่นแสดงว่าเขาย่อมรับรู้ว่าน้องชายของตัวเองต้องแบกอะไรไว้บ้าง

โจ๊บ เบลลิงแฮม พยายามทำสิ่งนั้นด้วยตัวเอง  โดยเขาเลือกที่จะใส่ชื่อ "Jobe" บนเสื้อแข่ง แทนที่จะใช้นามสกุล "Bellingham" เพื่อเน้นย้ำถึงตัวตนของเขาเอง จากนั้นก็ทะยานไปข้างในแบบที่อาจจะไม่ได้โด่งดังเทียบเท่ากับพี่ชาย แต่คุณก็ต้องไม่ลืมว่า DNA ของพวกเขาแข็งแกร่ง และยิ่งเมื่อเปิดปูมหลังทางบ้าน คุณก็จะยิ่งพบว่าทำไม โจ๊บ เบลลิงแฮม หลุดพ้นเงาจากพี่ชายของเขาได้

 

· หลังบ้านที่ยอดเยี่ยม และทัศนคติที่เยี่ยมยอด

เรื่องราวของครอบครัวเบลลิงแฮม คุณน่าจะเคยได้ยินมาบ้างผ่านการเปิดเผยเรื่องราวของ จู๊ด ผู้เป็นพี่ โดยเฉพาะในแง่ของการ "สร้างอัจฉริยะ" เพียงแต่ว่าประเด็นสำคัญในการผลักดันผู้เป็นน้องอย่าง โจ๊บ นั้นมีความแตกต่างกันพอสมควร และครอบครัวนี้ก็ทำหน้าที่ให้กับ พี่ใหญ่ และ น้องเล็ก ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

มาร์ค เบลลิงแฮม และ เดนิส เบลลิงแฮม คือยอดคุณพ่อคุณแม่ ทั้ง 2 คนแบ่งหน้าที่การดูแลลูกชาย 2 คนได้อย่างยอดเยี่ยม มาร์ค ที่เป็นตำรวจ และในอดีตเคยเป็นนักเตะระดับกึ่งอาชีพที่ยิงประตูตลอดอาชีพได้ถึง 700 ลูก รับบทบาทในการประสิทธิ์ประสาทวิชาลูกหนังให้ลูกชายทั้ง 2 

ขณะที่ เดนิส ก็ทำหน้าที่คอยดูแลเรื่องราวต่าง ๆ ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง เป็นที่ปรึกษาเรื่องการใช้ชีวิตที่อยู่นอกวงโคจรของโลกฟุตบอล ซึ่งอย่างที่หลายคนรู้กัน ตอนที่ จู๊ด เบลลิงแฮม ย้ายไปเล่นให้ ดอร์ทมุนด์ ที่เยอรมนี และ เรอัล มาดริด ที่สเปน เดนิส เป็นคนที่ติดตามไปช่วยดูแลเรื่องต่าง ๆ ให้ลูกชายด้วย ขณะที่ มาร์ค ก็จะอยู่กับ โจ๊บ ที่อังกฤษเป็นหลัก 

สิ่งที่ต้องยอมรับในการดูแลลูก ๆ ของบ้านนี้คือ พ่อและแม่ไม่เคยกดดัน โจ๊บ ให้เป็นนักเตะที่เก่งกาจระดับโลกแบบที่ จู๊ด เป็นเลย พวกเขาสนับสนุนให้ โจ๊บ เลือกเส้นทางของตัวเอง และสนับสนุนทุกอย่างเหมือนกับที่พวกเขาเคยทำสิ่งนั้นให้กับ จู๊ด เมื่อในอดีต ไม่มีการต่อว่า ไม่มีการชี้นำ มีแต่การอยู่ข้างหลังและผลักดันกันไปให้ดีที่สุด 

สิ่งนี้เองที่ทำให้ โจ๊บ เบลลิงแฮม เลือกที่จะเล่นในอังกฤษในระดับลีกรองต่อไป ทั้ง ๆ ที่ตอนเขาจะย้ายออกจาก เบอร์มิงแฮม มีทีมจากยุโรปทีมอื่น ๆ ติดต่อเขาเข้ามาไม่น้อย แต่ โจ๊บ ก็เลือกไป ซันเดอร์แลนด์ เพราะเขาอยากเรียนรู้ช้า ๆ อย่างมั่นคง และเชื่อว่าโอกาสที่ดีจะมาในอนาคต ซึ่งนั่นเป็นแนวทางที่ต่างกับ จู๊ด ซึ่งเป็นคนที่จริงจังกับชีวิตมากกว่า ทะเยอทะยานมากตั้งแต่ยังเด็ก ซึ่งครั้งหนึ่ง โจ๊บ ก็เคยแซวพี่ชายของเขาว่า "เขาควรจะเรียนรู้จากผมบ้างนะ โดยเฉพาะเรื่องการผ่อนคลายให้กับชีวิต" 

อันที่จริง ทุกคนรู้ดีว่าในช่วงอายุเท่านั้น จู๊ด เบลลิงแฮม นั้นเหนือกว่าน้องชายของเขา แต่โชคดีที่การเลี้ยงดูของบ้านนี้ให้สิทธิ์ในการเลือกกับทุกคน และให้ลูกใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง โจ๊บ เบลลิงแฮม ก็ค่อย ๆ เติบโตขึ้นอย่างช้า ๆ แต่ก็ดูเหมือนว่าตอนนี้ชื่อเสียงของเขาเริ่มจะถูกพูดถึงขึ้นบ้างแล้ว หลังจากที่เขาพา ซันเดอร์แลนด์ เลื่อนชั้นกลับสู่พรีเมียร์ลีกอีกครั้ง 

 

· เป็นนักเตะในแบบของตัวเอง

"พ่อและแม่ของผมไม่เคยผลักดันให้ผมเป็นซูเปอร์สตาร์ แต่ท่านสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีที่สุดให้ผมเสมอ ทั้งคู่พูดกับผมบ่อย ๆ ว่าอยากให้ผมเติบโตในแบบของผมเอง ผมเลือกทางเดินที่ไม่เร่งรีบ แต่ผมอยากจะค่อย ๆ โตอย่างช้า ๆ แต่ไปข้างหน้าเรื่อย ๆ อย่างมั่นคง เพราะมันอาจจะเป็นแนวทางที่เหมาะกับผมมากกว่า" โจ๊บ เบลลิงแฮม สัมภาษณ์กับ Sunderland Echo 
นอกจากนี้เขายังพูดถึงการเลือกออกจาก เบอร์มิงแฮม ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ค่อยได้ลงสนามให้ทีมชุดใหญ่มากนักว่า "นี่คือการตัดสินใจที่ยิ่งใหญ่และสำคัญมาก แต่ถ้าคุณดูเหตุผลในเรื่องของฟุตบอล มันไม่ใช่ข้อเสนอที่คิดยากเลย ซันเดอร์แลนด์ เป็นทีมที่ให้โอกาสนักเตะดาวรุ่งลงสนาม และมีแนวทางในเรื่องนี้ที่ชัดเจนมาก"

"และผมคิดว่าสภาพแวดล้อมที่นี่เหมาะกับผม นักเตะอายุน้อยอย่างผมต้องการแสดงออกให้รู้ว่ามีความสามารถขนาดไหน และที่นี่คุณจะได้รับโอกาสให้พิสูจน์มัน เราเป็นทีมที่เล่นกันแบบไม่มีความกดดัน ต่อให้บางครั้งอาจจะต้องนั่งดูเพื่อนเล่นข้างสนามบ้าง แต่ทุกอย่างมันก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเองทั้งนั้นว่าจะเปลี่ยนแปลงสถานะของตัวเองอย่างไร" 

ขณะที่ โทนี่ โมว์เบรย์ อดีตกุนซือของ ซันเดอร์แลนด์ ที่เป็นคนนำ โจ๊บ เบลลิงแฮม เข้ามาร่วมทีม และเป็นโน้มน้าวให้บอร์ดบริจารจ่ายเงินราว 7 ล้านปอนด์ ซื้อเขามาร่วมทีมตั้งแต่อายุ 17 ปี บอกเล่าว่า สิ่งที่เขาเห็นในตัวของ โจ๊บ คือการเป็นนักเตะที่มีคาแร็คเตอร์ในสนามดีมาก เห็นความสำคัญของทีมมาเป็นอันดับ 1 เสมอ และเหนือสิ่งอื่นใด คือเป็นคนที่ทำทุกอย่างเพื่อทีมไปพร้อม ๆ กับการพิสูจน์ตัวเองด้วยผลงานส่วนตัวได้ดีมาก

"เขาไม่ต้องการอาศัยชื่อเสียงของพี่ชาย เขาต้องการเป็นนักฟุตบอลในแบบของเขาเองและแสดงให้ผู้คนเห็นว่าเขาทำอะไรได้บ้าง" โมว์เบรย์ ว่าแบบนั้น และจากที่จะเคยซื้อมาเพื่อให้ปรับตัวกับทีมสำรองก่อน กลายเป็นว่าเมื่อเขาได้เห็น โจ๊บ เบลลิงแฮม ลงซ้อม เขาก็เปลี่ยนความคิดและดัน โจ๊บ ขึ้นมาเป็น 11 ตัวจริงในทีมชุดใหญ่ภายในเวลาไม่ถึง 2 เดือน ซึ่งทั้งหมดมาจากการทำงานหนักของเขาเอง

"ตอนเริ่มฤดูกาล ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้ลงเล่นในจำนวนเกมที่มากขนาดนี้ แต่พอผมกลับมาคิดดูอีกที มันก็คงไม่ใช่เรื่องเซอร์ไพรส์ที่เวอร์จนเกินไปนัก เพราะผมคว้าโอกาสนี้ได้จากการทำงานหนักของผมเอง ผมแสดงออกเสมอ และผมก็มั่นใจว่าผมจะต้องคว้าโอกาสนี้ได้ในสักวัน เป้าหมายต่อจากนี้ก็คือเป็นตัวหลักต่อไปอีกยาว ๆ" โจ๊บ สัมภาษณ์เมื่อปลายปี 2023

โจ๊บ เบลลิงแฮม ยึดตำแหน่งตัวจริงได้ยาว ๆ ตามที่เขาคาดคิด นักเตะในวัย 19 ปีรายนี้ ลงเล่นได้ตั้งแต่มิดฟิลด์เบอร์ 8 สไตล์ บ็อกซ์ ทู บ็อกซ์ และบ่อยครั้งเขาจะได้รับบทบาทกองหน้าตัวต่ำกึ่งเพลย์เมคเกอร์ เนื่องจากมีทักษะการเอาตัวรอดที่ดี และมีความคล่องแคล่วพอตัวสำหรับคนที่สูงเกือบ 190 เซนติเมตร เขาแสดงพัฒนาการที่ชัดเจนในเรื่องความแข็งแกร่ง, การอ่านเกม และการตัดสินใจ ทำให้เป็นนักเตะสำคัญของทีมชุดที่เลื่อนชั้นกลับสู่พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ

เหนือสิ่งอื่นใดสิ่งที่ทุกคนชมเขาตรงกันก็คือเรื่องของคาแร็ตเตอร์ ซึ่งเรื่องนี้เขาบอกว่าเขาถูกสร้างมาตั้งแต่ที่บ้าน เพราะถูกสอนให้ตัวเองเป็นคนที่ทำอะไรแล้วต้องมุ่งมั่นตั้งใจ มีความรับผิดชอบต่อผลงานในสนามและชีวิตนอกสนาม  

ทุก ๆ การเติบโตแต่ละก้าวของเขาตั้งอยู่บนความมีวินัย และอ่อนน้อมถ่อมตนเสมอ สิ่งที่ยอดเยี่ยมอีกข้อก็คือ เขาเป็นคนที่เรียนรู้จากความผิดพลาดได้ดี และเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ ในสถานการณ์ที่กดดัน ซึ่งถือเป็นคาแร็คเตอร์ที่แทบจะเหมือนกับพี่ชายของเขาไม่ผิด แม้ว่าเขาจะอยากหนีเงานั้นแค่ไหน แต่ตอนนี้มันดูเหมือนจะเป็นเรื่องดีที่น้องชายคนนี้กำลังขยับเข้าใกล้พี่ชายมากขึ้นอีกก้าว 

หลัง โจ๊บ เบลลิงแฮม พา ซันเดอร์แลนด์ กลับสู่ลีกสูงสุด ก็มีรายงานว่าหลายสโมสรในบุนเดสลีกาอยากจะได้ตัวเขาไปร่วมทีม ซึ่งโอกาสการย้ายทีมจากการวิเคราะห์ของสื่ออังกฤษก็มีไม่น้อย เพราะผลงานของ โจ๊บ กับ ซันเดอร์แลนด์ ถือว่าเป็นดาวรุ่งที่แสดงศักยภาพเต็มเปี่ยม ทั้งในแง่ของทักษะฟุตบอลและคาแร็คเตอร์ส่วนตัวที่แข็งแกร่ง ทำให้เขากลายเป็นหัวใจของทีม และถือเป็นอนาคตที่สดใสของวงการฟุตบอลอังกฤษ 

เส้นทางต่อไปของเขาจะจบลงตรงไหนเราคงต้องมาลุ้นกันอีกรอบ และที่แน่ ๆ ที่ต้องบอกก็คือ สายเลือดเบลลิงแฮม อาจจะไม่ใช่พระเอกของเรื่องนี้ แค่สิ่งสำคัญที่สุดที่ผลักดันทั้ง 2 พี่น้องมาถึงจุดนี้ น่าจะเป็นการเลี้ยงดูและปลูกฝังทัศนคติให้กับลูก ๆ ของพ่อกับแม่มากกว่า

สิ่งเหล่านี้เองทำให้อนาคตของ โจ๊บ เบลลิงแฮม น่าติดตามไม่แพ้พี่ชายของเขา  

 

แหล่งอ้างอิง

https://www.sunderlandecho.com/sport/football/sunderland-afc/jobe-bellingham-interview-provides-interesting-hint-on-sunderland-future-amid-ps12m-reports-4634115?utm_source=chatgpt.com
https://www.sunderlandecho.com/sport/football/sunderland-afc/jobe-bellingham-interview-provides-interesting-hint-on-sunderland-future-amid-ps12m-reports-4634115?utm_source=chatgpt.com
https://www.thesun.co.uk/sport/35107217/jobe-bellingham-sky-sports-pundits-live-tv-interview-wembley/?utm_source=chatgpt.com
https://www.sportskeeda.com/football/news-but-nah-he-s-useless-jobe-bellingham-names-2-things-jude-bellingham-must-learn-make-life-easier?utm_source=chatgpt.com
https://www.skysports.com/football/news/11695/13025678/jobe-bellingham-interview-life-at-sunderland-influence-of-tony-mowbray-and-facing-newcastle

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ