ประสบความสำเร็จไม่เท่า เชลซี และ อาร์เซน่อล จึงถูกล้อเลียนว่าเป็นทีมที่ "ทำได้ดีที่สุดแค่พยายาม"
ประสบความสำเร็จมากกว่า เวสต์แฮม และทีมอื่นในลอนดอน แต่ก็ถูกล้อเลียนว่า "พวกคิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่แต่กลับไม่เคยได้แชมป์"
นี่คือสิ่งที่แฟนบอล ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ต้องประสบพบเจอมาหลายสิบปี และกลายเป็นทีมที่โดนล้อเลียนมากที่สุดทีมหนึ่งในฟุตบอลอังกฤษ
วันนี้ความอัดอั้นตันใจคงสลายลงไม่น้อย หลังจากพวกเขาคว้าแชมป์ยุโรป อย่าง ยูโรป้าลีก ได้สำเร็จ ทว่าสิ่งที่น่าสนใจกว่านั้น ก็คือน้ำตาและอารมณ์ที่แฟน สเปอร์ส แสดงออกมา
Main Stand จะพาคุณไปย้อนเรื่องราวของอารมณ์ร่วมเหล่านั้น ผ่านเส้นเรื่องประวัติศาสตร์ที่ทำให้ ท็อตแน่ม กลายเป็นผู้โดนเกลียดชังและล้อเลียนเสมอ
ผู้แบกรับ Spursy
กรุงลอนดอน เมืองหลวงของประเทศที่บ้าฟุตบอลที่สุดในโลกอย่างอังกฤษ มีหลากหลายสโมสรน้อยใหญ่ซ่อนอยู่ ซึ่งนอกจากพวกเขาจะแย่งชิงความเป็นหนึ่งในลีกที่ตัวเองลงแข่งขันแล้ว พวกเขายังมักจะแย่งกันเป็นสโมสรเบอร์หนึ่งของเมืองหลวงด้วย และ สเปอร์ส ก็เป็นหนึ่งในทีมที่จะพยายามไปจุดนั้นเสมอ เพราะไม่มีอะไรหอมหวานไปกว่าการได้ยิ่งใหญ่กว่าทีมคู่อริ
อย่างที่ได้กล่าวไปในตอนเริ่ม สเปอร์ส คือทีมที่เป็นรอง อาร์เซน่อล และ เชลซี ในแง่ของความสำเร็จช่วงหลัง และพวกเขาก็โดนทั้ง 2 ทีมนี้ล้อเลียนเป็นจนกลายเป็นมีมที่กินระยะเวลาในโลกฟุตบอลมาอย่างยาวนาน เช่นเดียวกับการที่แฟน สเปอร์ส พยายามยกตัวข่มทีมอื่น ๆ ในลอนดอน ก็ทำให้พวกเขาถูกมองว่าเป็นพวก "อวดอ้างความยิ่งใหญ่" ดังนั้น สเปอร์ส จึงอยู่ในสถานะ "ถูกรุม" จะว่าแบบนั้นก็คงไม่ผิดนัก
สิ่งที่ยืนยันถึงความเกลียดชังและหมั่นไส้ที่ทีมอื่นมีต่อ สเปอร์ส ได้ดีที่สุดคือคำว่า "Spursy" ซึ่งคำ ๆ นี้หมายถึง "พฤติกรรมหรือลักษณะของทีมที่ดูเหมือนจะประสบความสำเร็จได้ แต่สุดท้ายกลับพลาดหรือทำพังในช่วงสำคัญ"
คุณจึงได้เห็น สเปอร์ส กลายเป็นทีมที่โดนล้อทุกครั้ง และเกิดภาพจำในลักษณะของทีมที่มักจะ ขึ้นนำก่อนแล้วแพ้ในนาทีสุดท้าย ฟอร์มดีทั้งฤดูกาลแต่พลาดแชมป์ หรือเล่นดีตลอดเกมแต่ขาดความเด็ดขาดในเกมสำคัญ ๆ นั่นคือสิ่งที่แฟน สเปอร์ส แบกรับคำล้อเลียนและความกดดันนี้มาเสมอ
ทว่าถึงอย่างนั้น ถึงแม้พวกเขาจะพยายามเท่าไร ไม่ว่าจะมีการลงทุนสร้างสนามใหม่ เปลี่ยนเอาโค้ชที่มีชื่อเสียงมาทำหน้าที่ และทุ่มเงินซื้อนักเตะดี ๆ มาร่วมทีม แต่คำสาปนี้ก็ไม่สามารถลบได้มาอย่างยาวนาน และการเป็น สเปอร์ส ก็ยังคงเป็นอยู่เช่นนั้น จนกระทั่งวันที่พวกเขาชูโทรฟี่ ยูโรป้า ลีก ซึ่งเป็นภาพที่แฟนบอลของพวกเขาหลายคนแสดงความรู้สึกทางอารมณ์ออกมาอย่างเต็มเปี่ยม และหลายคนถึงขั้นมีน้ำตาเลยทีเดียว
มากกว่าผลงานคือการแบกรับเรื่องเชื้อชาติ
ไม่ใช่แค่เรื่องของผลงานในสนามเท่านั้นที่ สเปอร์ส มักจะโดนทีมอื่นล้อเลียน แต่มันอาจจะรวมถึงเรื่องที่ละเอียดอ่อนอย่างเรื่องเชื้อชาติและชาติกำเนิดเลยทีเดียว
เรื่องนี้มันต้องย้อนกลับไปไกลหน่อย เพราะ สเปอร์ส เป็นสโมสรที่ตั้งอยู่ในชุมชนชาวยิวอพยพ โดยย่าน Tottenham, Stamford Hill, Hackney, Highbury, White Hart Lane และย่านอื่น ๆ ทางตอนเหนือของกรุงลอนดอน เป็นพื้นที่ที่มีชาวยิวอพยพมาตั้งรกรากจำนวนมาก ตั้งแต่ช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 ทำให้หลายคนในชุมชนนี้เป็นแฟนบอล สเปอร์ส และกลายเป็นฐานแฟนบอลยิวที่ค่อนข้างใหญ่
พวกเขาใช้ฟุตบอลเป็นสถานที่รวมตัว ประกาศตัวตน มันจึงไม่ใช่แค่การเชียร์ฟุตบอลเท่านั้น แต่มันเป็นการแสดงออกของเหล่าผู้อพยพที่เข้ามาแสวงหาโอกาสใหม่ในประเทศนี้ว่า "พวกเราก็อยู่ที่นี่เหมือนกัน"
ซึ่งมันเป็นธรรมดา ที่เมื่อบรรดากลุ่มผู้อยู่มาก่อน ได้เห็นการแสดงออกของผู้อพยพ และด้วยความที่ชาวยิวมักมีภาพจำในแง่ของชนชาติที่ฉลาด ทำธุรกิจเก่ง และชอบเอารัดเอาเปรียบคนอื่น (ซึ่งอาจจะจริงหรือไม่ ไม่มีใครให้คำตอบได้ 100%) แฟนบอลหลายทีมในลอนดอนโดยเฉพาะ เชลซี, อาร์เซน่อล และ เวสต์แฮม จะเรียกพวกแฟนบอล สเปอร์ส ว่าพวก "Yid" (ยิด) ซึ่งก็คือการเหยียดเรื่องเชื้อชาติกันนี่แหละ
การฟาดฟันและเป็นที่เกลียดชังที่ทีมในลอนดอนมีต่อ สเปอร์ส เป็นมาอย่างยาวนาน และพอเรื่องมันมาถึงเรื่องของการเหยียดเชื้อชาติ แฟนบอลของ สเปอร์ส ก็ได้ทำการตอบกลับทุก ๆ คำเหยียดนั้นเป็นประโยคที่พวกเขาใช้ตะโกนเชียร์ในสนามว่า "Yid Army" (ยิดอาร์มี่) ซึ่งกลายเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ว่า "คุณจะเหยียดเราไม่ได้ เพราะเราภูมิใจในสิ่งที่เราเป็น"
สิ่งที่เกิดขึ้นมันแสดงให้เห็นว่า ฟุตบอลไม่เคยอยู่นอกเหนือการเมือง เสียงเชียร์ในสนามสามารถเป็นทั้งเครื่องมือในการสู้กับการกดขี่ และพื้นที่ที่สร้างพลังใจให้คนกลุ่มเล็ก ๆ บนโลกใบใหญ่
แน่นอน มันไม่ได้ราบรื่นเสมอไป องค์กรสิทธิมนุษยชนและกลุ่มชาวยิวบางส่วน ไม่เห็นด้วยกับการใช้คำว่า "Yid" แม้แต่โดยแฟน สเปอร์ส เอง เพราะมันมีรากที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ การเชียร์ สเปอร์ส ในบางมุมกลายเป็นการแสดงออกทางสังคม มันคือการรวมพลังของกลุ่มคนที่เคยถูกทำให้รู้สึก "แปลกแยก" ให้กลายเป็น "พวกเดียวกัน" ซึ่งเป็นสิ่งที่แฟน สเปอร์ส ยึดมั่นมาจนถึงตอนนี้
ในยุคที่ฟุตบอลเต็มไปด้วยเงินและชื่อเสียง บางครั้งสิ่งที่มีค่าที่สุดอาจไม่ใช่ถ้วยแชมป์ แต่มันคือเรื่องเล่าที่เชื่อมโยงคนกับทีม ทีมกับชุมชน และชุมชนกับโลกใบนี้ และในโลกฟุตบอลนั้น สเปอร์สอาจไม่ใช่ทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสนาม แต่ถ้าเป็นเรื่องความหมายของการเชียร์ พวกเขาอาจจะ "ใหญ่ที่สุดในหัวใจ" ใครหลายคนที่อุทิศตนให้กับทีมฟุตบอลทีมนี้ และนั่นแหละเป็นเหตุผลที่คุณได้เห็นน้ำตาของพวกเขาในวันที่ฉลองแชมป์
ประวัติศาสตร์จะเปลี่ยนได้ด้วย "ความสำเร็จระยะยาว"
แม้กระทั่งในฤดูกาล 2024-25 นี้ ก่อนจะได้ชูถ้วยแชมป์ สเปอร์ส ก็ยังคงเป็นทีมที่โดนล้อเลียนสนุกสนานมากยิ่งกว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ด้วยซ้ำไป อย่างไรก็ตาม ถึงตอนนี้มันเป็นวันที่พวกเขาสลัดคราบของคำว่า "Spursy" ทิ้งได้สำเร็จ และถ้วยแชมป์ยุโรปถ้วยนี้ จะเป็นจุดเปลี่ยนที่ช่วยยกระดับอะไรหลาย ๆ สิ่งในสโมสรแห่งนี้
จริงอยู่ที่ถ้วยแชมป์ยูโรป้าครั้งนี้ อาจจะไม่สามารถรีเซ็ตภาพลักษณ์ของสโมสรทั้งหมดตามที่กล่าวมาได้ แต่ที่แน่ ๆ ก็ต้องบอกว่า มันเป็นถ้วยที่ทำให้แฟนทีมอื่นได้กลับมามองสเปอร์สอย่างให้เกียรติมากขึ้น เช่นเดียวกับแฟนบอลของพวกเขาที่เกิดความมั่นใจ ฟ้าฝนที่มืดหม่นได้ผ่านไป ยุคสมัยที่สดใสจะรออยู่ข้างหน้า และทำให้เกิดแนวโน้มที่ดีสำหรับการลบคำว่า Spursy ออกจากพจนานุกรมฟุตบอลอังกฤษได้ในอนาคต
นอกจากนี้ การได้แชมป์ยูโรป้าลีก ยังยกระดับโปรไฟล์สโมสรแทบจะในทันที เพราะการได้ไปเล่นในฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก นอกจากจะได้เงินราว ๆ 150 ล้านปอนด์เข้ามาจากค่าลิขสิทธิ์ สเปอร์ส จะถูกนับรวมเป็นทีมที่มีสถานะเป็นท็อปทีมของยุโรปอย่างเป็นทางการ และมันจะช่วยให้มีผลต่อความสนใจของนักเตะเก่ง ๆ ที่อยากย้ายมาเล่น และต่อรองในตลาดซื้อขายได้ง่ายขึ้น
และเหนือสิ่งอื่นใดคือ นักเตะหลาย ๆ คนในทีมชุดนี้ที่ไม่เคยคว้าแชมป์มาก่อนจะได้สร้าง "DNA แห่งผู้ชนะ" ที่เราได้เห็นจากอากัปกิริยาของ ซน ฮึง มิน หรือ เจมส์ แมดดิสัน สตาร์ของทีมหลังจากที่พวกเขาได้คล้องเหรียญทองและชูถ้วยแชมป์ สายตาของพวกเขาได้ส่งต่อความมั่นใจให้คนรอบข้างอย่างไม่ต้องสงสัย
ต่อจากนี้ นักเตะ สเปอร์ส จะมีอาการ "สั่นเดิมพัน" น้อยลง เพราะเมื่อมีถ้วยแรกได้ ถ้วยต่อไปก็จะไม่ไกลเกินฝันอีกต่อไป
และสิ่งที่สำคัญที่สุดที่เราจะลืมไม่ได้ก็คือ ถ้วยยุโรปถ้วยนี้คือการคืนความศรัทธาให้แฟนบอล เพราะแฟน สเปอร์ส ขึ้นชื่อเรื่องการ "ทุ่มใจ" กับทีมแม้ไม่ได้แชมป์ ถ้วยนี้จะเหมือนของขวัญสำหรับความอดทน และสร้างโมเมนตัมของความหวังในอนาคต
มันอาจเป็นจุดเปลี่ยนวาทกรรมจาก "ปีหน้าพวกเรามาแน่" กลายเป็น “ปีที่แล้วคือจุดเริ่มต้นของพวกเราจริง ๆ”
สรุปแล้วก็คือ ถ้วยนี้อาจไม่ได้ใหญ่ที่สุดในยุโรป แต่สำหรับ สเปอร์ส มันคือสัญลักษณ์ของการหลุดพ้นจากอดีตจากทีมที่เคย "เกือบ" กลายเป็นทีมที่ "ทำได้แล้ว"
ถ้วยรางวัลถ้วยนี้จะไม่ใช่แค่เครื่องเงินชิ้นหนึ่งที่ประดับในตู้โชว์ แต่คือการปลดล็อกคำสาปของทีมที่โดนล้อมาเกือบศตวรรษ และมันอาจเปลี่ยน สเปอร์ส ให้กลายเป็น "ทีมใหญ่ตัวจริง" สักทีก็ได้ ใครจะไปรู้
อย่างไรก็ตาม นั่นคือเรื่องในอนาคตที่เราไม่สามารถคาดเดาได้ว่ามันจะเป็นไปในทิศทางไหน แต่ที่แน่ ๆ สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนสำหรับแฟน สเปอร์ส คือไม่ว่าถ้วยแชมป์ในตู้ของพวกเขาจะว่างเปล่าหรือมีอยู่เต็มตู้ แต่ทีมฟุตบอลทีมนี้คือตัวตนของพวกเขา คือตัวแทนของความรักและความพยายามเพื่อไปให้ถึงจุดที่ตั้งเอาไว้ แม้จะโดนรายล้อมด้วยศัตรูมากมายก็ตาม
สำหรับเหล่า Yid Army ไม่ว่าถ้วยแชมป์จะเพิ่มหรือลด สิ่งที่คงอยู่ตลอดคือการสนับสนุนของพวกเขาที่จะมีต่อสโมสรแห่งนี้เสมอ ... นี่คือความคลาสสิกของเรื่องราวจากผู้ถูกเลือกให้ผิดหวังมาตลอด ได้เดินทางมาถึงความสำเร็จที่พวกเขารอคอยเสียที
แหล่งอ้างอิง
https://www.fourfourtwo.com/features/8-reasons-why-everyone-hates-tottenham
https://en.wikipedia.org/wiki/Tottenham_Hotspur_F.C._supporters
https://www.thejc.com/life/spurs-and-the-jews-the-how-the-why-and-the-when-rd2vlg5l
https://www.facinghistory.org/resource-library/fan-culture-tottenham-match
https://jewishjournal.com/commentary/opinion/355205/yiddish-for-tottenham-hotspur-supporters/