Feature

เปรี้ยงหนึ่งในความทรงจำ : ตำนานลูกยิงแรงเท่าพายุหมุนของ ยอห์น อาร์เน่ รีเซ่ | Main Stand

หากให้แฟนหงส์แดงจัดทีมยอดเยี่ยมตลอดกาลของ ลิเวอร์พูล เชื่อได้ว่าตำแหน่งแบ็กซ้าย ยอห์น อาร์เน่ รีเซ่ จอมเตะตีนหนัก อาจจะไม่ได้ถูกเลือกเป็นตัวเลือกแรกๆ

 

แต่เราอยากให้รู้ว่า บทบาทของเขาสำคัญไม่น้อยในยุคสมัยของการเปลี่ยนผ่าน ที่ต้องการนักเตะสักคนที่มีฝีเท้าและคาแร็คเตอร์ ตามแบบฉบับที่ทีมตามหามาตลอด หลังหลงทางมานานเป็นสิบ ๆ ปี

แม้อาจจะไม่ใช่นักเตะระดับโลก แต่ รีเซ่ ก็อยู่ร่วมเหตุการณ์ระดับไอคอนิคตลอดกาลของสโมสรนี้ไม่น้อย และสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับเขาได้ถูกส่งต่อมายังทีมชุดปัจจุบันอีกด้วย 

นี่คือเรื่องที่ Main Stand อยากจะนำเสนอ

 

เสี้ยวหนึ่งในประวัติศาสตร์

แฟนบอล ลิเวอร์พูล ในช่วงนี้อาจจะไม่คุ้นเคยกับคำว่า "ยุคเปลี่ยนผ่าน" นัก ดังนั้นเราอาจจะต้องเท้าความกันสักหน่อยว่า จริง ๆ แล้วในยุคปี 2001-2008 ที่ ยอห์น อาร์เน่ รีเซ่ อยู่กับ ลิเวอร์พูล ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่สโมสรใช้ความพยายามอย่างมากที่จะกลับมาสร้างทีมให้ยิ่งใหญ่อีกครั้งเหมือนกับที่พวกเขาเป็นมาช่วงยุค 1980s ที่ถือเป็นยุคทองของพวกเขา 

เรียกได้ว่าหลังจากจบยุค 1980s เป็นต้นมา ลิเวอร์พูล ก็เดินทางดำดิ่งสู่ความสำเร็จที่น้อยลงเรื่อย ๆ ด้วยเหตุผลหลายประการ โดยเฉพาะเรื่องของการเปลี่ยนผ่านไม่ทัน ในช่วงปลายยุค 1990s ต่อต้นยุค 2000s นั้น หงส์แดง เปรียบเหมือนบอลตกยุคที่ต้องการเปลี่ยนให้ตัวเองเลิกเล่นวิธีที่อาศัยพละกำลังและความแข็งแกร่งแบบบอลอังกฤษดั้งเดิม และเริ่มปรับตัวให้เข้ากับฟุตบอลยุโรปมากขึ้น โดยการใช้แท็กติกที่ยืดหยุ่นและเน้นความเร็ว ภายใต้การใช้กุนซือสไตล์ฟุตบอลยุโรปจ๋า ๆ อย่าง เชร์ราร์ด อุลลิเย่ร์ ผู้ล่วงลับ

ในยุคของ อุลลิเยร์ นั้นเอง เขาได้พาตัวแบ็กซ้ายชาวนอร์เวย์ที่ตอบโจทย์กับฟุตบอลสมัยใหม่อย่าง รีเซ่ จาก โมนาโก เข้ามาร่วมทีมด้วยราคาราว ๆ 7 ล้านปอนด์ คุณสมบัติที่ รีเซ่ มีอาจจะไม่ใช่ระดับตัวท็อปขึ้นหิ้งของยุค แต่ที่แน่ ๆ เขามีสิ่งที่ตอบโจทย์ครบทุกอย่าง ทั้งเรื่องของสปีดความเร็ว, ลูกยิงหนัก, ความฟิตระดับสูง สามารถสร้างสมดุล รุก-รับ ให้ทีมได้มาก

โดยเฉพาะเรื่องลูกยิงหนักของ รีเซ่ นั้นถึงขั้นมีคนเอาไปคำนวนหาความแรงเป็นหลักกิโลเมตรต่อชั่วโมงกันเลยทีเดียว โอเคล่ะ ปัจจุบันการคำนวนหรือตัวเลขอะไรแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดา แต่เมื่อคุณย้อนกลับไปในปี 2001 ลูกที่ รีเซ่ ยิงใส่ แมนฯ ยูไนเต็ด ในถ้วย แชริตี้ชิลด์ (คอมมูนิตี้ชิลด์ ปัจจุบัน) นั้นยังเป็นยุคที่สถิติและตัวเลขในโลกฟุตบอลไม่ได้หาง่ายเหมือนทุกวันนี้ แต่ก็ยังมีการคำนวณว่าลูกยิงของ รีเซ่ ลูกนั้นมีความเร็วถึง 127 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถ้าให้นึกภาพความแรงก็เร็วกว่าระดับรถที่เหยียบความเร็วเต็มอัตราบนทางด่วนหรือโทลเวย์ ถ้าจะเปรียบให้เว่อร์ ๆ หน่อยก็ต้องบอกว่า ลูกยิงของ รีเซ่ แรงกว่าความเร็วของพายุโซนร้อน (เทียบเท่ากับพายุหมุน) กันเลยทีเดียว 

และนอกเหนือจากเรื่องการยิงบอลหนักแล้ว รีเซ่ เขาเปรียบเสมือน "นักรบแบ็กซ้าย" ที่ตอบโจทย์การเล่นในเชิงแท็คติกและคุณภาพอย่างแท้จริง เขาเป็นนักเตะที่เล่นเพื่อทีม วิ่งไม่หยุด กล้ายิง และกล้าเสี่ยง จุดนี้ทำให้เขาโดดเด่นในฐานะกำลังหลักและยืนเป็นแบ็กซ้ายตัวจริงยาว ๆ และเชื่อเหลือเกินว่าลูกยิงต่าง ๆ ที่เขาซัดไกลจากระยะ 20, 30 หรือ 40 หลา ยังคงถูกรีรันให้แฟน ๆ ได้รับชมอยู่เรื่อย ๆ 

"การมี 'วิงแบ็ก' สมัยใหม่อย่างรีเซ่ ทำให้เราวางแท็กติกได้ยืดหยุ่น เขาเติมเกมรุกได้ดี เปิดบอลกดดันคู่แข่ง และกลับมายืนตำแหน่งรับได้ทันเวลา" คำอธิบายของ ราฟา เบนิเตซ ตอบทุกอย่างได้ชัดเจนที่สุด

ซึ่งถ้าคุณเป็นแฟนบอล ลิเวอร์พูล ที่เกิดทันช่วงเวลาต้นยุค 2000s คุณก็จะนึกภาพออกทันทีว่า ในขณะที่ทีมเริ่มประกอบร่างขึ้นมาใหม่ แต่ในตำแหน่งแบ็กซ้ายนั้น รีเซ่ ถือเป็นคนที่แก้ไขปัญหาระยะยาวได้ดี ทำให้ทีมหมดห่วง ณ จุดนี้ไปได้สบาย ๆ ไม่ว่าจะตอนมที่อยู่ในยุคของ อุลลิเย่ร์ หรือแม้กระทั่งยุคเปลี่ยนผ่านมาถึง ราฟา เบนิเตซ แบ็กซ้าย ก็เป็นปัญหาที่แฟนลิเวอร์พูลลืมไปได้เลยเมื่อมีเขาประจำการอยู่ตรงนั้น 

 

ไม่ใช่ซูเปอร์สตาร์ แต่ทุ่มเทสุดใจ 

คุณรู้ดีว่า รีเซ่ ทำอะไรให้กับสโมสรลิเวอร์พูลบ้างในแง่ของสถิติและถ้วยรางวัลที่ปรากฎอยู่ในอาชีพของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบาทสำคัญในการพาทีมคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในปี 2005 และต่อด้วยแชมป์ เอฟเอ คัพ ในปี 2006 ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในส่วนสำคัญต่อการยกระดับสโมสร ลิเวอร์พูล ให้เห็นแสงรำไรจากยุคตกต่ำ กลับมามีความหวังในการเป็นทีมที่ยิ่งใหญ่อีกครั้ง ซึ่งสุดท้ายพวกเขาก็เดินมาถึงจุดนี้อีกครั้งในปัจจุบัน 

ในทีมชุดปี 2005 รีเซ่ เป็นนักเตะที่อาจจะไม่ได้มีภาพลักษณ์นอกสนามที่โดดเด่นเทียบเท่ากับนักเตะอย่าง สตีเวน เจอร์ราร์ด, ชาบี อลอนโซ่ หรือ หลุยส์ การ์เซีย แต่นักเตะในทีมทุกคน และ ราฟา เบนิเตซ ต่างบอกพูดถึงกันว่า รีเซ่ เป็นคนสำคัญที่ทีมจะขาดไปไม่ได้กับความสำเร็จที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น

เจอร์ราร์ด บอกว่าเวลาที่เขาต้องเป็นจอมทัพในแดนกลางเขารู้สึกหมดห่วงเมื่อมี รีเซ่ รับบทบาทเป็นแบ็กซ้าย และทุกคนในทีมรู้ว่าพวกเขาไว้ใจสกิลเกมรับของ รีเซ่ ได้ เช่นเดียวกับตอนที่บอลอยู่กับเท้าของเขา ไม่ยิงไกล ก็เปิดบอลจากด้านข้าง เป็นผลผลิตของ รีเซ่ ที่ทุกคนคาดหวังไว้ได้ 

"รีเซ่เป็นคนที่คุณวางใจได้เสมอ เขามีพลังไม่รู้จักหมด เติมเกมรุกอย่างต่อเนื่อง และเท้าเขาหนักมาก … ทุกครั้งที่เราต้องเปิดบอลจากฝั่งซ้าย เรามั่นใจว่ามุมของเขาจะอันตรายสุด ๆ" นี่คือสิ่งที่ เจอร์ราร์ด บอก

ขณะที่ ชาบี อลอนโซ่ ซึ่งก็เป็นขุมกำลังสำคัญชุดชูถ้วยแชมป์ยุโรปสมัยที่ 5 ก็พูดไม่ต่างกันว่า "รู้สึกปลอดภัยเวลาเขาซ้อนหลัง เพราะนอกจากจะป้องกันได้ดีแล้ว ลูกยิงระยะไกลของเขายังทำให้เราได้ประตูสำคัญหลายครั้งในฤดูกาลนั้น" 

และที่ชัดเจนที่สุด คือคำกล่าวของ ซามี่ ฮูเปีย เซ็นเตอร์แบ็กที่เล่นกับ รีเซ่ มาหลายปี บอกว่า "เขาไม่ได้เป็นซูเปอร์สตาร์ แต่เป็นผู้เล่นที่ขาดไม่ได้" 

ถ้าคุณจะสรุปเรื่องของคาแร็คเตอร์ คุณสามารถพูดเต็มปากว่านักเตะอย่าง ยอห์น อาร์เน่ รีเซ่ สามารถเล่นให้กับ ลิเวอร์พูล ในยุคของ เยอร์เก้น คล้อปป์ และ อาร์เน่อ ชล็อต ได้แบบไม่มีปัญหา เพราะมีครบทุกอย่างที่กุนซือทั้ง 2 คนเรียกร้อง ทั้งทัศนคตินอกสนาม คาแร็คเตอร์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเป็นผู้ชนะ และเป็นคนที่ไม่เคยละเลยภาพรวมของทีม คิดถึงทีมนำหน้าตัวเองเสมอ

เรียกได้ว่าภาพลักษณ์ในโลกลูกหนังของแฟนบอลทีมอื่น ๆ อาจจะไม่ได้จดจำเขาขึ้นหิ้งนัก ถ้าเทียบกับแบ็กซ้ายยุคไล่ ๆ กันอย่าง โรแบร์โต้ คาร์ลอส หรือแม้แต่ แอชลี่ย์ โคล แต่สำหรับแฟน ลิเวอร์พูล คุณจะเข้าใจทันทีว่า นักเตะแบบ รีเซ่ คือพิมพ์นิยมและเป็นนักเตะที่ทัพหงส์แดงมักใช้เป็นแกนหลักในการสร้างทีมเสมอ เพราะเมื่อกลุ่มนักเตะที่มีพร้อมทั้งความฟิต ความสามารถ และคาแร็คเตอร์ มารวมกันเป็นหนึ่ง ก็ยากที่ใครจะหยุดอยู่ 

และนั่นเป็นเหตุผลที่ว่าตลอดอาชีพค้าแข้งของเขาเล่นให้กับ 10 สโมสร แต่ภาพจำที่ปรากฎขึ้นมาเสมอก็คือภาพของ รีเซ่ ในชุดสีแดงของ ลิเวอร์พูล เรียกได้ว่าเขามี DNA ความเป็นหงส์แดงอย่างเต็มเปี่ยม และมีคุณภาพในระดับที่แม้แต่ทีมชุดปัจจุบันนี้ เขาก็ยังสามารถเป็นส่วนสำคัญของทีมได้สบาย ๆ หากยกคุณภาพของเขาในวันนั้นขึ้นมาเป็นตัวเปรียบเทียบ 

 

เป็นที่รักของแฟนบอล

ยอห์น อาร์เน่ รีเซ่ ไม่ใช่แค่แบ็กซ้ายเท้าหนักระดับตำนานของลิเวอร์พูล แต่ยังเป็นนักเตะที่ได้รับความรักจากแฟนบอลอย่างลึกซึ้ง ซึ่งไม่ได้มาจากแค่ฟอร์มในสนามเท่านั้น แต่ยังมาจาก นิสัยส่วนตัว, ความทุ่มเท, และการตอบสนองต่อแฟนบอล ที่ทำให้เขากลายเป็น "คนของเดอะค็อป" อย่างแท้จริง

นักเตะบางคนอาจจะเก่งมาก ๆ ในสนาม แต่เมื่อเกมจบลง และปลดภาระหน้าที่นักฟุตบอล ก็มักจะเลือกใช้เวลาให้ความสุขกับตัวเอง และให้ความสำคัญกับแฟนบอลน้อยไปหน่อย แต่ไม่ใช่สำหรับ รีเซ่ แน่นอน เรื่องการเซอร์วิสแฟนบอลของ รีเซ่ นั้นถือเป็นที่เลื่องลือมาโดยตลอด และตัวเขาเองก็ทำมันมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ย้ายมาอยู่กับ ลิเวอร์พูล ในปี 2001 จนกระทั่งตอนนี้ที่เขาเป็นทูตของสโมสร คอยรับหน้าที่เดินทางไปเจอกับแฟนบอลหงส์แดงทั่วโลก 

รีเซ่เล่นด้วยพลังและหัวใจเต็มร้อยเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเกมใหญ่หรือเกมเล็ก เขามักจะพูดว่า "ผมเล่นทุกนัดเหมือนเป็นนัดชิง" ซึ่งนี่คือคำนิยามที่อธิบายถึงทัศนคติของนักเตะลิเวอร์พูลจนกระทั่งทุกวันนี้ 

นอกจากนี้ รีเซ่ ยังเป็นนักเตะที่แสดงความรักต่อสโมสรและแฟนบอลอย่างเปิดเผย ทั้งผ่านการให้สัมภาษณ์และโซเชียลมีเดีย เขามักขอบคุณแฟนๆ อยู่เสมอ และพูดถึง แอนฟิลด์ ว่าเป็น "บ้านหลังที่สอง" หรือ "ไม่มีที่ไหนในโลกที่ผมรู้สึกถึงพลังจากแฟนบอลได้เหมือนที่แอนฟิลด์" 

แม้กระทั่งหลังแขวนสตั๊ด รีเซ่เป็นหนึ่งในอดีตนักเตะที่ ยังคงมีปฏิสัมพันธ์กับแฟนลิเวอร์พูลทั่วโลกเหมือนกับวันที่เขายังค้าแข้งอยู่ เขามักทวีตหรือโพสต์เกี่ยวกับลิเวอร์พูล, ชมทีมรุ่นใหม่ และส่งกำลังใจให้สโมสรในช่วงเวลาสำคัญ ๆ และในหลาย ๆ เขามักจะตอบข้อความบนโซเชี่ยลมีเดียกลับถึงแฟนๆ ที่แท็กหาเขาด้วยความเป็นกันเอง

มันเหมือนกับว่าแม้เขาจะออกจากทีมไปในปี 2008 แต่เหมือนเขาไม่เคยจากไปไหน เขายังตามเชียร์ทีมเสมอตั้งแต่ยุคของ คล็อปป์ และ ชล็อต หลากหลายข้อความของเขาที่พูดถึงทีมชุดปัจจุบัน มักเป็นข้อความในเชิงบวก ไม่มีการเล่นบทร้าย ดึงดราม่าขายข่าวแต่อย่างใด ดังนั้นคุณจึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทำไมแฟนหงส์แดงยังคงรักเขาแม้กระทังทุกวันนี้

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Photo

วัชพงษ์ ดวงแปง

Main Stand's Backroom staff

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ