2 ปีหลังสุด เจเรมี่ ฟริมปง วิงแบ็กของ เลเวอร์คูเซ่น กลายเป็นนักเตะตำแหน่งแบ็กที่มีสถิติการยิงและแอสซิสต์รวมกันมากที่สุดคนหนึ่งใน 5 ลีกดัง
ไม่แปลกเลยที่เขาจะกลายเป็นนักเตะที่หลายสโมสรพร้อมจะคว้าตัวไปร่วมทีม โดยเฉพาะ ลิเวอร์พูล ที่มองหาแบ็กจอมบุกมาแทนที่ของคนเก่าที่กำลังจะจากไปอย่าง เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์
เส้นทางอาชีพของ ฟริมปง นั้นขึ้นชื่อเรื่องสปีดความเร็วที่หาตัวจับยากมาตั้งแต่ตอนที่เล่นให้ทีมเยาวชนของ แมนฯ ซิตี้ เพียงแต่ว่าเขาก็หาคำตอบไม่ได้ว่า เหตุใดตนเองยังไม่สามารถก้าวไปถึงการเล่นในระดับสูงได้สักที
จนกระทั่งเขาได้พบ "สิ่งนั้น" ที่เติมเต็มเขา ณ เลเวอร์คูเซ่น ... ติดตามเรื่องราวของเขากับ Main Stand
แมนฯ ซิตี้ ศูนย์ฝึกแถวหน้า
เจเรมี่ ฟริมปง เกิดในประเทศเนเธอร์แลนด์ และมีเชื้อสายกานามาจากทางแม่ ทว่าเส้นทางอาชีพในเวทีฟุตบอลของเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับทั้ง 2 ประเทศนั้นนัก เนื่องจากครอบครัวเขาย้ายไปอาศัยในประเทศอังกฤษ ตั้งแต่เขาอายุได้ 7 ขวบ ซึ่งที่นี่แหละเป็นที่ที่เขาได้เริ่มเล่นฟุตบอลอย่างจริงจัง
2 ปีหลังจากการย้ายถิ่นฐานลงตัว ฟริมปง ถูกดึงตัวเข้าไปอยู่ในทีมอคาเดมี่ของ แมนฯ ซิตี้ ตั้งแต่อายุราว 10 ขวบ โดยเด็กในรุ่นเดียวกันกับเขาที่มีชื่อเสียงในเวลานี้ได้แก่ เจดอน ซานโช่, ฟิล โฟเด้น และอีกหลาย ๆ คน
เนื่องจากในช่วงเวลาราวปี 2010 นั้น แมนฯ ซิตี้ กำลังลงทุนอย่างมากกับศูนย์ฝึกเยาวชนที่สร้างขึ้นใหม่ และมีการยกเครื่องทีมงาน รวมถึงโครงสร้างด้านต่าง ๆ ใหม่แทบยกชุด จึงทำให้มีเด็ก ๆ หลายคนในทีมชุดนั้นที่ถูกจับตามองว่าจะเป็นอนาคตของวงการฟุตบอลอังกฤษ
ในรายของ ซานโช่ และ โฟเด้น นั้นถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่นักเตะระดับแถวหน้าของรุ่น แต่สำหรับ เจเรมี่ ฟริมปง ไม่ได้อยู่ในกลุ่มนั้น เขาเป็นผู้เล่นในกลุ่มพัฒนาการปกติ หรือถ้าจะแบ่งเป็นเกรดพวก ซานโช่ หรือ โฟเด้น ก็จะเป็นเกรด S รองลงมาก็เป็นเกรด A แบบพวก เอริก การ์เซีย หรือ โคล พาลเมอร์
ส่วน ฟริมปง นั้นอยู่ในกลุ่มเกรด B ซึ่งนักเตะกลุ่มนี้ยากมาก ๆ ที่จะแทรกขึ้นมาเป็น 11 ตัวจริงได้ นอกจากจะมีการพัฒนาที่ก้าวกระโดดจริง ๆ ซึ่งก็คงเป็นไปได้ยาก เพราะในช่วงอายุก่อนถึง 20 ปี หากนักเตะไม่ได้มีโอกาสสัมผัสเกมแข่งขันจริง ๆ ในระดับชุดใหญ่เลย ก็ยากที่พวกเขาจะรู้ว่าสิ่งที่ต้องเจอรอบตัว และต้องพัฒนาคืออะไร
นี่เองที่ทำให้ ฟริมปง ต้องเลือกเส้นทางที่สำคัญให้กับตัวเองตอนอายุ 19 ปี และเขาเลือกที่จะย้ายออกไปหาโอกาสลงสนาม ไปเจอกับเกมจริง ๆ มากกว่าที่จะรอโอกาสที่ไม่รู้จะมาถึงเมื่อไหร่ เพราะนอกจากจะแข่งกับนักเตะรุ่นเดียวกันแล้ว ทีมอย่าง แมนฯ ซิตี้ ยังเสริมทัพด้วยนักเตะใหม่แทบุทุกซีซั่น
"ผมไม่ได้มีโอกาสเล่นทีมชุดใหญ่ให้ แมนน ซิตี้ เลย ตัวของผมคิดว่าตัวเองก็มีความเร็วและพัฒนาตัวเองได้ดี ผมแบกอายุเล่นรุ่นยู 23 ตั้งแต่อายุ 18-19 ปี ซึ่งในช่วงเวลานั้นมันมีหลายสิ่งต้องคิดมากมาย"
"ในวันที่พวกเขาจะต่อสัญญาใหม่กับผม ผมก็ได้ค้นพบว่าเส้นทางของตัวเองใน แมนฯ ซิตี้ อาจจะต่างออกไปจากเพื่อนร่วมรุ่นคนอื่น ๆ เพราะพวกเขาคุยกันว่า ผมไม่สามารถเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในทีมชุดใหญ่ได้ในเวลานี้ และเริ่มมีการเปรียบเทียบผมกับเด็กในอคาเดมี่ที่ทำได้ดีกว่าผม"
"นั่นแหละเป็นช่วงเวลาที่ผมคิดแล้วว่า ผมคงไม่มีอนาคตที่นี่แน่ ๆ และผมจึงเลือกตัดสินใจให้เด็ดขาดเพราะอยากก้าวไปอีกขั้น และผมก็เลือกย้ายไปที่ เซลติก นี่แหละ" ฟริมปรง เคยให้สัมภาษณ์กับ SPORTbible ถึงเรื่องนี้ไว้
วันที่โลกเป็นของเรา (ภาค 1)
เซลติก จ่ายเงินให้ แมนฯ ซิตี้ แค่ราว ๆ 350,000 ปอนด์เท่านั้นในการคว้าตัวมาร่วมทีม และเขาบอกว่าที่นั่นเป็นจุดเริ่มต้นอาชีพที่แท้จริงของเขาด้วย
"ความรู้สึกของการเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวเริ่มจากตรงนั้น ผู้คนเฝ้ารอที่เห็นคุณลงเล่น คุณกลายเป็นหนึ่งในคนสำคัญของทีม คนที่เพื่อน ๆ คอยมองหา และที่สำคัญคือคุณมีความรับผิดชอบต่อความคาดหวังที่เกิดขึ้น นั่นแหละที่ทำให้ผมรู้ว่าอาชีพการเป็นนักฟุตบอลของผมจะเริ่มตั้งแต่จุดนี้ "
ฟริมปง ลงเล่นเกมแรกให้ เซลติก ในฟุตบอลถ้วยในเกมที่เจอกับ พาทริก ทิสเซิล และในเกมนั้นเขาสามารถคว้ารางวัล แมน ออฟ เดอะ แมตช์ มาครองได้สำเร็จ โดยในเกมนั้น นีล เลนเน่น กุนซือของ เซลติก ถึงกับบอกว่า "มหัศจรรย์" (Amazing) ออกมาเลยทีเดียว เพราะ ฟริมปง โชว์ลีลาความเร็ว และความพริ้ว ในแบบที่ผู้เล่นในลีกสกอตช์แทบไม่เคยจะเจออะไรแบบนั้น
เขาได้รับคำชมอย่างมากและก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักของทีมในทันที นอกจากนี้เขายังเป็นนักเตะที่มีความเป็นมืออาชีพนอกสนามมาก ๆ ทั้งการดูแลตัวเอง รวมถึงกับการให้เวลาและแคร์แฟนบอลของเขาเสมอ โดยมีแฟนบอลกลุ่มหนึ่งของ เซลติก บรรยายช่วงเวลาราว ๆ 2 ซีซั่นที่ ฟริมปง อยู่กับทีมว่า
"เขาคือนักเตะที่มีบุคลิกสดใส ยิ้มง่าย และมักจะเข้าหาแฟนบอลก่อนเสมอ เขาให้สัมภาษณ์แบบน่ารักและติดตลกด้วย ดังนั้นเขาจึงเป็นหนึ่งในนักเตะที่แฟนบอลของเราชื่นชอบอย่างมาก แม้ว่าเขาจะอยู่กับเราไม่นานนักก็ตาม"
ฟริมปง เล่นที่นี่ในฐานะ "นักเตะอาชีพ" ไม่ใช่ "ดาวรุ่งพรสวรรค์" เขาเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ มากมายภายใน 2 ปี เดิมทีเขาอาจจะมีแค่ความเร็วและความคล่องตัวเท่านั้น แต่ในช่วงเวลาไม่นาน เขากลายเป็นนักเตะที่ นีล เลนน่อน ชมว่า "เป็นคนที่มีวินัยในเชิงแท็คติกสูง" สิ่งที่เขาทำได้ดีขึ้นมาคือเรื่องการยืนตำแหน่ง การถอยลงไปช่วยเกมรับเมื่อเสียบอล และการสอดซ้อนในจังหวะที่เซ็นเตอร์แบ็กของทีมเสียตำแหน่ง
"เขาเริ่มเล่นด้วยสมองมากขึ้น ไม่ใช่เล่นด้วยขาอย่างเดียวอีกแล้ว" นี่คือสิ่งที่ เลนน่อน พูดแบบนั้น และหลังจากนั้นไม่นาน เลเวอร์คูเซ่น ก็ซื้อตัวเขาไปจาก เซลติก ด้วยราคา 11.5 ล้านปอนด์ ... นี่คือราคาที่ เซลติก รอคอย และตัวของ ฟริมปง ก็พร้อมจะรับบทใหม่แล้วที่เยอรมัน
วันที่โลกเป็นของเรา (ภาค 2)
การมาเล่นในบุนเดสลีกา เหมือนถีบ ฟริมปง จากความฝันลงสู่โลกแห่งความจริง นักเตะที่รวดเร็ว คล่องแคล่ว แข็งแกร่ง และไม่เป็นรองใครในลีกสกอตช์ กลายเป็นนักเตะที่ไม่มีโอกาสลงเล่นมากนัก เพราะไม่สามารถปรับตัวกับระดับการเล่นในบุนเดสลีกาที่สูงกว่าได้
"ในช่วงแรกมันยากจริง ๆ ผมทำอะไรก็ไม่ได้เรื่อง มันชวนให้คิดว่านี่ไม่ใช่ระดับการเล่นของผมเลย จากเป็นคนที่เร็วที่สุด ผมเห็นนักเตะหลายคนที่เร็วกว่าผม และเร็วพอ ๆ กับผมมากมาย ... มันทำใจยากสำหรับเด็กคนหนึ่ง แต่ผมก็เข้าใจ และมองมันเป็นแง่ดี มันทำให้ผมเข้าใจว่าต่อจากนี้ผมจะมีจุดเด่นแค่วิ่งเร็วไม่ได้แล้ว ผมจะต้องทำงานหนักในเกมรับด้วย เพราะคุณภาพที่เกิดขึ้นในตอนนี้ มันสูงกว่าสิ่งที่ผมมีมาก ๆ"
มีช่วงเวลาที่ยากลำบากบางช่วง จนกระทั่งฤดูกาลที่สองของเขาในปี 2021-22 ฟริมปงจึงได้เป็นตัวจริงในเลเวอร์คูเซ่น การเปลี่ยนแปลงไปสู่บทบาทที่เขาเล่นในปัจจุบันนั้นค่อยเป็นค่อยไป สุดท้ายก็มาลงตัวกับตำแหน่งวิงแบ็กที่เล่นได้ด้วยสไตล์ที่ดุดันมากขึ้น
เขาผ่านกุนซืออย่าง ปีเตอร์ บอสซ์, ฮันเนส โวล์ฟ, เคราร์โด้ เซโอเน่ ... จนกระทั่งสุดท้ายเขาก็ได้เจอคนที่สามารถพัฒนาเขาได้ชัดเจนที่สุด นั่นก็คือ ชาบี อลอนโซ่ ที่เข้ามาคุมทีมในฤดูกาล 2022-23
"อลอนโซ่ เป็นคนที่สามารถอธิบายให้คุณเห็นภาพ และเข้าใจในสิ่งที่คุณเคยมองไม่เห็น ผมคิดว่าเขาเป็นคนที่มีไอเดียสำหรับนักเตะทุกคน และตอนที่ทำงานกับเขาผมรู้ทันทีว่าเขารู้วิธีที่จะใช้ความสามารถที่ผมมีให้ได้เต็มที่ เช่น การวิ่งเข้าไปในพื้นที่สุดท้าย การดวลตัวต่อตัว และการโต้กลับ อะไรแบบนั้น" ฟริมปง กล่าว
ภายใต้การสอนของ อลอนโซ่ ฟริมปง กลายเป็นแบ็กที่นอกจากจะดุดันเล่นมันแล้ว ยังมีความเข้าใจเกมสูงมากขึ้น โดยเจ้าตัวบอกว่า เมื่อตัวเองพร้อมเปิดรับ และสิ่งที่ อลอนโซ่ สอนมันคลิกมาก จนทำให้การซ้อมในแต่ละครั้งมีความหมายมาก เขาตั้งใจซ้อม กลับมาดูแลตัวเองอย่างดีเมื่ออยู่นอกสนาม และพยายามทำจิตใจให้สงบที่สุด เพื่อให้ตัวเองมีสมาธิกับการเรียนรู้ที่อยู่ตรงหน้าที่จะพาเขาไปยังอีกระดับ
"อลอนโซ่ บอกว่าผมต้องเปลี่ยนรูปแบบการเล่น (เปลี่ยจากรับ-รุก และ รุก-รับ ตลอดเวลา) บ่อยมาก ๆ 1 ในเกม อลอนโซ่ เคี่ยวเข็ญผมมาก ๆ ที่จะทำให้ผมเก่งขึ้น และทุกสิ่งที่เขาสอนมันมีประโยชน์ เพราะในฤดูกาล 2023-24 (เลเวอร์คูเซ่น คว้า 2 แชมป์ในประเทศ) หลาย ๆ ทีมเริ่มสั่งนักเตะมารุมผม 2 คนเพื่อจับตาย ... แต่ผมก็พัฒนาตัวเองขึ้นกลายเป็นคนที่เสียบอลยาก และนั่นให้ทำฟุตบอลของทีมลื่นไหล เคลื่อนที่ตลอดเวลา"
"ผมชอบที่จะโดนรุม แม้มันจะยาก แต่เพื่อทีมแล้วมันจะดีมาก ๆ เพราะผมรู้ทันทีว่า เมื่อมีคนสองคนพยายามจะแย่งบอลจากผม ผู้เล่นเบอร์ 6 ของทีมจะว่าง และเมื่อเขาเป็นอิสระ การออกบอลของทีมก็จะอันตรายสุด ๆ"
"ส่วนหนึ่งมันเป็นเรื่องของเคมีผู้เล่นในทีมด้วย ในทีมชุดนั้นเราสนิทกัน ทุกคนแค่มองตาก็รู้ใจ รู้จักคุณสมบัติของแต่ละคนเป็นอย่างดี เมื่อผมขยับ พวกเขาก็รู้ว่าจะต้องวางบอลไปที่ไหน"
ฟริมปง สรุปเพิ่มเติมว่า นอกจากการเล่นที่อันตรายกับเกมรับคู่แข่ง เขายังเป็นนักเตะที่มีแนวคิดใหม่ในการเล่น เช่นการพยายามอ่านเกมตลอดเวลา และจับจังหวะการเติมไปเล่นในพื้นที่สุดท้าย และเลือกตัดสินใจจากสิ่งรอบตัวมากกว่าความรู้สึก เพราะมันจะทำให้จังหวะต่าง ๆ เป๊ะ มากขึ้น จนเขาทำประตูและแอสซิสต์ได้มากมาย
"ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เจเรมี่ ฟริมปง ไม่เพียงแต่กลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ดีที่สุดของทีมเราเท่านั้น แต่ในตำแหน่งแบ็กขวาตัวรุก เขายังกลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ดีที่สุดในบุนเดสลีกาอีกด้วย" ไซม่อน โรลเฟส ผู้อำนวยการกีฬาของเลเวอร์คูเซ่น สรุปทุกอย่างของ ฟริมปง ได้เป็นอย่างดี
และน่าสนใจว่าบททดสอบต่อไปของ ฟริมปง จะเป็นอย่างไร และจะไปอยู่ที่ไหนในซีซั่นหน้า ?
แหล่งอ้างอิง :
https://www.bbc.com/sport/articles/cxez58xyl8go
https://www.bundesliga.com/en/bundesliga/news/jeremie-frimpong-who-is-bayer-leverkusen-s-dutch-right-back-liverpool-14503
https://www.nytimes.com/athletic/5438554/2024/05/02/jeremie-frimpong-interview-bayer-leverkusen/
https://www.thesun.co.uk/sport/34931851/jeremie-frimpong-liverpool-chose-man-city/
https://www.liverpoolecho.co.uk/sport/football/transfer-news/jeremie-frimpong-man-city-exit-31613438