Feature

ถอดความสำเร็จ อาร์เน่อ ชล็อต : กุนซือดัตช์คนแรกที่ได้แชมป์พรีเมียร์ลีก | Main Stand

อาร์เน่อ ชล็อต ประสบความสำเร็จตั้งแต่ปีแรกในการทำงานกับ ลิเวอร์พูล หลังจากพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ ก่อนที่ฤดูกาล 2024-25 จะจบถึง 4 เกม 

 

มีคำกล่าวว่ากุนซือชาวดัตช์นั้นเถรตรงและหัวแข็งเกินไป จึงไม่เคยมีใครทำทีมได้แชมป์ลีกสูงสุดอังกฤษมาก่อน ... แล้ว ชล็อต ล่ะ เขาเป็นคนแบบไหน ?

Main Stand จะพาไปรู้จักความเท่ของเขา ที่มีผลต่อการชูแชมป์พรีเมียร์ลีกครั้งนี้ 

 

เปลี่ยนคนที่มีให้ดีขึ้นได้ 

เยอร์เก้น คล็อปป์ คุม ลิเวอร์พูล ทั้งหมด 9 ปี พาทีมได้แทบทุกแชมป์ที่ลงแข่งขัน รวมถึงแชมป์ลีกสูงสุดที่ทัพหงส์แดงรอคอยมานานแสนนานถึง 30 ปี

ไม่ใช่แค่ชูถ้วย แต่สิ่งที่ คล็อปป์ ทำ คือการเข้ามาเป็นคนที่ทุกคนผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับสโมสรให้ความเคารพอย่างมาก โดยเฉพาะแฟน ๆ ที่เปรียบเขาเหมือนกับพระเจ้า ด้วยผลงานที่ชัดเจน ทัศนคติของผู้ชนะ และการเป็นบุคคลที่น่าเคารพ ดังนั้นเมื่อตั้ง อาร์เน่อ ชล็อต กุนซือที่แทบจะโนเนมจากลีกดัตช์เข้ามารับงานนี้ มันจึงเป็นเครื่องหมายคำถามครั้งใหญ่ว่า แล้วชายหัวโล้นคนนี้ จะมีอะไรมาเทียบกับพระเจ้าอย่าง คล็อปป์ ? 

เรื่องนี้คนที่ได้เครดิตควรเป็นบอร์ดบริหาร ลิเวอร์พูล โดย ริชาร์ด ฮิวจ์ส ผอ.กีฬาของทีม ได้รับมอบหมายให้ไปหาและพูดคุยสัมภาษณ์ ชล็อต ถึงเนเธอร์แลนด์ เมื่อ 12 เดือนก่อน และวันนั้นก็แทบเป็นวันที่การตัดสินถูกชี้ขาดว่า ต้องเป็นชายคนนี้เท่านั้นที่เข้ามาคุมทีมต่อจากยุคสมัยของ คล็อปป์ ซึ่งถ้าคุณรู้เหตุผล คุณก็คงไม่แปลกใจ 

The Guardian เล่าว่า ชล็อต นำเสนอคาแร็คเตอร์ของตัวเองในวันนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาเตรียมข้อมูลมากมายที่เกี่ยวกับทีมลิเวอร์พูล พร้อมแผนงานที่เต็มไปด้วยเอกสารหลายหน้า อธิบายด้วยสีหน้าและแววตาที่มั่นใจ แม้ตาของเขาจะไม่ได้มองสคริปต์ที่เตรียมไว้ แต่สมองของเขาก็สั่งการตรงถึงปากทันที เขาพูดถึงบทวิเคราะห์ที่มีต่อ ลิเวอร์พูล ในยุคของ คล็อปป์ และตบท้ายว่า ถ้าเขาได้ทำงาน เขาจะทำอะไรต่อจากสิ่งที่ยอดกุนซือชาวเยอรมันได้สร้างเอาไว้

แผนการที่แทบจะจำขึ้นสมองและบทวิเคราะห์ที่เตรียมไว้ โดนใจ ฮิวจ์ส อย่างมาก เหตุผลก็เพราะ ชล็อต รู้ว่างานของเขาจะยาก เพราะเขาจะมีเวลารวมทีมแบบมีผู้เล่นครบ ๆ ก่อนเปิดฤดูกาลแค่ 13 วัน จากการที่นักเตะหลายคนจะได้พักร้อนหลังจบการแข่งขัน ยูโร 2024 กับ โคปา อเมริกา 2024 และเขาก็บอกว่า เขาจะไม่รอจนกว่าจะถึงวันนั้น เขาใส่ทุกอย่างที่มีในหัว ให้กับนักเตะที่มาซ้อมชุดแรกทันที และระบบปฏิบัติการของเขาก็ถูกติตตั้งตั้งแต่วันนั้น

"เฮดโค้ชคนนี้เป็นคนที่สามารถพูดหรืออภิปรายเชิงแท็คติกได้อย่างฉับพลัน นั่นคือแนวทางของเขา ทุกครั้งที่เขาเจอกับผู้เล่นคนไหน เขาจะเอากระดานแท็คติที่อยู่ใกล้ ๆ และสรุปความคิดของเขาแทบที่จะตำหนิผู้เล่นที่ไม่เข้าใจ"

"เขาทำแบบนี้เสมอ และทำกับทุกคน แม้กระทั่งในช่วงฤดูกาลปกติเริ่ม ชล็อต จะใช้วิธีอธิบายผ่านกระดานแท็คติกอย่างใจเย็น แทนการตำหนิการเล่นที่ต่ำกว่ามาตรฐานของลูกทีมของเขา ซึ่งในหลาย ๆ ครั้งมันมักจะเกิดขึ้นหลังจากจบครึ่งแรก และถ้าจำเป็น เขาก็ไม่ลังเลที่จะเปลี่ยนตัวทันที เหมือนกับเกมที่เจอกับ เซาธ์แฮมป์ตัน ในเดือนมีนาคม ที่ ลิเวอร์พูล ตามหลังใน 0-1 ในครึ่งแรก"

"ในเกมนั้นเขาเปลี่ยนนักเตะสำรอง 3 คนรวดหลังเริ่มครึ่งหลัง (ฮาร์วี่ย์ เอลเลียต แทน เคอร์ติส โจนส์, แอนดี้ โรเบิร์ตสัน แทนที่ คอสตาส ซิมิคาส, และ อเล็กซิส แม็คอัลลิสเตอร์ แทน โดมินิค โซโบสไล) สุดท้ายพวกเขาใช้เวลา 10 นาทีแรกของครึ่งหลังเพื่อพลิกกลับมานำ 2-1 และชนะไปด้วยสกอร์ 3-2" แอนดี้ ฮันเตอร์ ของ The Guardian อธิบาย 

เหตุผลที่เขาเป็นคนแก้เกมเก่ง นั่นก็เพราะว่าเขาอธิบายให้ลูกทีมเข้าใจได้เร็วว่าเขาต้องการอะไร ชล็อต เป็นคนบ้าบอลเหมือนกับโค้ชอย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า และ มิเกล อาร์เตต้า ที่จะขลุกอยู่กับเรื่องของทีมตัวเองทั้งวัน เป็นคนที่ไม่ยอมปล่อยผ่าน ถ้าผู้รับสารยังไม่เขาใจสิ่งที่เขาตั้งใจจะสื่อ ถ้าพูดไม่เข้าใจก็ต้องใช้กระดานแท็คติก ถ้ากระดานแท็คติกยังไม่เข้าใจ ก็เปิดคลิปวีดีโอที่เขาเตรียมไว้

นั่นทำให้นักเตะ ลิเวอร์พูล หลายคนในยุตนี้ยกระดับตัวเองขึ้นมาได้ดีมากขึ้นในซีซั่นนี้ เพราะเมื่อเกิดความเข้าใจ ทุกคนก็จะลงไปเล่นอย่างมั่นใจ ไม่ลังเล การเป็นคนที่คุยกับลูกทีมทุกคนแบบถึงกึ๋น ยิ่งเขาใส่ใจลูกทีมมากเท่าไร นักเตะในทีมก็ยิ่งโฟกัสกับงานของตัวเองมากขึ้น เพราะรู้ว่าโค้ชจะตั้งคำถามกับพวกเขาเสมอว่า "คุณเข้าใจหรือยัง ?"

"ผมจำได้ว่าเขาเอาคลิปการฝึกซ้อมมากมายมาให้เราดู" อิบราฮิมา โกนาเต้ 1 ในนักเตะที่ยกระดับขึ้นมาในซีซั่นนี้กล่าวเริ่ม

"เขาจะบอกความจริงกับนักเตะทุก ๆ คนไม่ว่าจะเป็น โม (ซาลาห์), เฟอร์จิล (ฟาน ไดค์) หรือใครก็ตามมีทีท่าว่าจะไม่เข้าใจหรือมีอะไรผิดปกติ มันทำให้นักเตะทุกคนฉุกคิดว่า ไม่นะ เขาจ้องฉันตลอดทั้งการซ้อมเลยน่ะสิ ... ไม่ได้แล้ว ฉันต้องทุ่มให้ถึง 2000% เสมอ" 

 

ความไร้อีโก้ กุญแจดอกสำคัญ 

ผู้จัดการทีมหลายคนเข้ามาและพยายามเปลี่ยนแปลงทุกคนโดยทันที แต่ ชล็อต ใช้วิธีการต่อยอดจากเรื่องความชัดเจนด้านแท็คติก โดยการให้ความสำคัญในแต่ละคนจากยุคของ คล็อปป์ เป็นหลัก

หากยังจำกันได้ ในวันที่ ลิเวอร์พูล พลาดคว้าตัว มาร์ติน ซูบิเมนดี้ จาก เรอัล โซเซียดาด มีชื่อกองกลางอีกเป็นสิบ ๆ คนที่เข้ามาอยู่ในลิสต์เสริมทัพของ ลิเวอร์พูล แต่สุดท้าย ชล็อต ก็เลือกที่จะมองว่า เมื่อไม่สามารถคว้าตัวคนที่คิดว่าใช่ได้ เขาก็จะให้ความสำคัญกับคนที่มี สุดท้าย ลิเวอร์พูล ก็ได้ ไรอัน กราเฟนแบร์ก มาเล่นในตำแหน่งหมายเลข 6 และจนถึงตอนนี้ เขาออกสตาร์ทตัวจริงทุกเกม และแทบจะเป็นกองกลางตัวโฮลด์บอลที่ดีที่สุดในซีซั่นนี้ไปแล้ว 

การเปลี่ยน กราเฟนแบร์ก ที่ไม่เคยเล่นตำแหน่งนี้สมัย คล็อปป์ ไม่ใช่เรื่องที่ ชล็อต คิดจะทำก็ทำ เพราะตัวเขาเองมีข้อมูลนักเตะมากมายจากการทำงานกับทีมวิเคราะห์ตัวเลขสถิติ และ แบร์รี่ ฮันเตอร์ หัวหน้าแมวมองของ ลิเวอร์พูล มันทำให้เขามั่นใจว่า กราเฟนแบร์ก จะรับหน้าที่ตรงนั้นได้ ก่อนที่เขาจะไม่รีรอใช้งานทันทีในช่วงพรีซีซั่น และ กราเฟนแบร์ก ก็โดดเด่นตั้งแต่เกมที่ชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด 3-0 ในการอุ่นเครื่องที่สหรัฐอเมริกา จากเกมนั้นเอง มันทำให้ ชล็อต เชื่อมั่นใน กราเฟนแบร์ก มากขึ้น และผลักดันเขามาจนถึงทุกวันนี้ 

และอย่างที่เราได้เกริ่นไว้ในข้างต้น ผู้จัดการทีมชาวดัตช์หลายคน เอาชื่อมาทิ้งที่นี่เพราะเคร่งครัดและเถรตรงมากเกินไป ซึ่งตัวของ ชล็อต เองก็ใช่ว่าจะแตกต่าง ตัวของเขาก็มีความเคร่งครัดสูง แต่เขามีไม้อ่อนและไม้แข็งในคราวเดียว บางครั้งบางเรื่องเขาเปิดใจรับฟัง และลองทำตามสิ่งที่เขาค้าน แต่ในบางเรื่องที่เขามั่นใจเขาก็จะยืนกราน และเมื่อเขายืนกราน ก็ยากที่ใครจะเปลี่ยนความคิดของเขาได้ 

"อาร์เน่อ เป็นคนตรง ๆ ตามแบบสไตล์ชาวดัตช์ที่เคร่งครัด แต่สิ่งที่เขาทำให้ทุกคนในทีมเจอการทำงานที่ง่ายก็เพราะว่า เขาจะถามคุณเสมอถึงสิ่งที่คุณต้องการทำ" โม ซาลาห์ ที่เพิ่งต่อสัญญากับทีมกล่าว

"เขาถือเป็นคนที่ทำให้ผมเป็นนักเตะที่ดีขึ้นหรือไม่ ? ผมคิดว่าเป็นแบบนั้น เพราะสถิติและตัวเลขมันไม่ได้โกหกใคร เขาไม่ได้ให้ผมเล่นเกมรับมากนัก ซึ่งผมคิดว่านั่นเป็นแนวทางที่ทำให้ผมมีอิสระ เพราะต่อให้เขาบอกให้ผมโฟกัสที่เกมรับเป็นหลัก ผมก็จะเป็นนักเตะที่พร้อมจะบุกไปข้างหน้าอยู่ดี" 

สิ่งที่ ซาลาห์ บอก ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า ชล็อต เป็นคนที่รับฟังและเอาไปบวกลบคูณหารกับข้อมูลที่เขามี เช่นเดียวกันกับในส่วนของ กราเฟนแบร์ก แม้เดิมทีเขาไม่ได้คิดจะใช้เป็นเบอร์ 6 ตัวหลัก แต่เมื่อสถานการณ์ไม่เป็นดั่งใจ เขาก็กล้าเปิดใจลองสิ่งที่เขามี และให้โอกาสจนทั้ง 2 คนกลายเป็นกำลังสำคัญในการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกครั้งนี้ 

 

ไม่ใช่ คล็อปป์ แต่มีส่วนที่เหมือน คล็อปป์

"ผมไม่ใช่ร่างโคลนนิ่งของ เยอร์เก้น คล็อปป์" ชล็อต พูดคำนี้บ่อย ๆ ไม่ใช่เพราะเขาไม่ได้ให้ความเคารพ แต่มันเป็นการยืนยันว่ารูปแบบวิธีการทำงานของเขาคือสิ่งที่เป็น DNA ติดตัวเขามาเสมอ 

อย่างไรก็ตาม แม้จะบอกว่าไม่เหมือน แต่สิ่งที่หลายคนค้นพบก็คือ ชล็อต คล้ายกับ คล็อปป์ อยู่เรื่องหนึ่ง นั่นคือการฟื้นตัวได้ มีสภาพจิตใจในแบบผู้ชนะ ต่อให้แพ้เกมใหญ่ และทีมต้องดูท่าจะเสียหลักชวนให้คิดว่ากลับมาไม่ได้ สุดท้าย ก็อย่างที่เราเห็นกัน

ส่วนที่ยากที่สุดของหส์แดงในซีซั่นนี้คือ การแพ้ เปแอสเช ตกรอบ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย ทั้งที่จบรอบลีกด้วยการเป็นอันดับ 1 จาก 36 ทีม ตามด้วยการแพ้ให้กับ นิวคาสเซิ่ล ในนัดชิง คาราบาว คัพ หลายคนคิดไปแล้วว่านี่อาจจะเป็นจังหวะที่ "ทองลอก" ของ ชล็อต แต่สุดท้ายเขาก็พาทีมกลับมาเก็บชัยชนะอย่างต่อเนื่อง โฟกัสกับเกมตรงหน้า และการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกได้อย่างยอดเยี่ยม จนเข้าป้ายก่อนฤดูกาลจบถึง 4 เกม

เรื่องนี้ไม่ต้องรอให้ใครบอก เพราะ ชล็อต อธิบายปรัชญาของเขาเสมอ ด้วยการบอกว่าการกลับสู่เส้นทางที่ควรจะเป็นหลังผลการแข่งขันที่ผิดหวัง คือสิ่งที่เขาพยายามจะปลูกฝังให้ลูกทีมเสมอ เรื่องนี้แทบจะเป็นสิ่งเดียวกับที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ เป็น และกลายเป็นคาแร็คเตอร์ติดทีมหงส์แดงจนทุกวันนี้ 

"การกลับมาจากความพ่ายแพ้และความผิดหวังคือสิ่งที่ผมย้ำ และผมพยายามให้ทีมเราทำมาตลอดทั้งฤดูกาล" ชล็อต กล่าว

"หลังจากความผิดหวังที่เราตกรอบจาก เปแอสเช เราพยายามลืมมันไปและกลับมาเป็นทีมเดิมที่ห้าวหาญอีกครั้งด้วยทัศนคติที่ถูกต้อง เราจะเป็นทีมแบบนี้ในทุก ๆ 3 วัน เราจะกลับมาสู่การแข่งขันเกมต่อไปด้วยทัศนคติแบบนี้"

"เราไม่ได้ชนะเกมด้วยวิธีง่ายๆ วิธีที่ง่ายคือการควบคุมบอล จ่ายบอลไป 5 ครั้ง แล้วเราก็ได้ประตู ประตูต่อไป และประตูต่อไป หากเราประสบความสำเร็จในปีนี้ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือทัศนคติของนักเตะ ซึ่งนั่นคือสิ่งที่คุณเห็นในวันนี้เช่นกัน" ชล็อต กล่าวไว้หลังเกมที่ ลิเวอร์พูล ชนะ เวสต์แฮม 2-1 เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่พวกเขาจะการันตีการคว้าถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีก และเราก็เชื่อว่า ถ้าคุณได้เห็นรูปเกมและภาษากายของลูกทีม ชล็อต แต่ละเกม คุณก็คงหมดความสงสัยในเรื่องนี้เช่นกัน

ลิเวอร์พูล ในยุคของ คล็อปป์ สิ่งที่แข็งแกร่งไม่แพ้เรื่องใด หรืออาจจะแข็งแกร่งที่สุดก็คือ คาแร็คเตอร์ของการเป็นนักสู้ ไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ สิ่งนี้ถูกปลูกฝังมาสู่นักเตะทุกคนในทีมซีซั่นนี้ แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือ ชล็อต เป็นผู้มาใหม่ คอยประคับประคองสปิริตที่ยอดเยี่ยมนี้เอาไว้ และเติมไฟความเป็นนักสู้ของลูกทีมให้มากขึ้นเรื่อย ๆ 

นั่นเป็นเหตุผลว่านักเตะหงส์แดงชุดนี้อาจจะเคยคว้าแชมป์มาทุกรายการแล้ว แต่เมื่อพวกเขาถูกเปลี่ยนผู้นำ พวกเขายังคงมีความกระหายแบบเดิม หนำซ้ำบางครั้งมันอาจจะมากกว่าเดิมเลยก็ได้ 

"ครั้งนี้ดีกว่าห้าปีก่อน 100% เรามีกลุ่มนักเตะที่แตกต่างไป เรามีผู้จัดการทีมคนใหม่ ดังนั้นเราจึงสามารถแสดงให้ทุกคนได้เห็นว่าเราทำอะไรได้บ้าง และมันพิเศษจริง ๆ" โม ซาลาห์ กล่าวไว้ในวันที่พวกเขาคว้าถ้วยแชมป์ฤดูกาล 2024-25  

ส่วนที่เหลือก็คือสิ่งที่ยากที่สุด นั่นคือการต่อยอดผลงานนี้ และจบด้วยการป้องกันแชมป์ ที่แม้แต่ คล็อปป์ ก็ยังทำไมได้ ... และถ้ามันสามารถเกิดขึ้นในยุคของ ชล็อต แฟนหงส์แดงอาจจะมีพระเจ้าคนใหม่ของพวกเขาก็เป็นได้ 

 

แหล่งอ้างอิง

https://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-14629515/Arne-Slot-Liverpool-title-secrets.html
https://www.theguardian.com/football/2025/feb/27/arne-slot-claims-liverpool-players-have-silenced-doubters-with-mental-strength
https://www.beinsports.com/en-us/soccer/premier-league/articles/slot-labels-liverpool-mentality-key-after-moving-two-wins-away-from-title-2025-04-13
https://www.theguardian.com/football/2025/apr/27/arne-slot-coolness-heart-liverpool-record-equalling-premier-league-title
https://www.goal.com/en/lists/arne-slot-liverpool-mental-strength-capitalise-arsenal-blunder-13-points-clear-at-top/blt598b07e53729cb4d

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Photo

วัชพงษ์ ดวงแปง

Main Stand's Backroom staff

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ