"เควิน เดอ บรอยน์ เป็นหนึ่งในนักเตะที่เยี่ยมที่สุดที่ผมเคยเห็นในตอนทำงานเป็นแมวมอง ทันทีที่ผมเห็นสัมผัสแรกในการจับบอลของเขา ผมก็ตกหลุมรักในฝีเท้าเขาทันที เขาเกือบจะได้คะแนนเต็ม 10 จากผม โดยที่ผมไม่เคยให้ใครได้เต็ม 10 มาก่อน"
นี่คือวินาทีแรกที่แมวมองระดับโลกฟันธงว่า เควิน เดอ บรอยน์ จะเป็นเพลย์เมคเกอร์เบอร์ 1 ของโลกในอนาคต
ทว่าใครจะเชื่อว่า เดอ บรอยน์ สุดยอดและก้าวข้ามสิ่งนั้นไปอีก ไม่ใช่แค่เบอร์ 10 แต่เขาวิวัฒนาการไปสู่ตำแหน่งที่เรียกว่า "ไฮบริด 8/10" ระดับหมายเลข 1 ของโลกในวันที่เขาพีกที่สุด
ติดตามเรื่องราวการเริ่มต้นของเขา สู่การบอกลากับ แมนฯ ซิตี้ ที่ Main Stand
เพลย์เมคเกอร์โดยกำเนิด
เควิน เดอ บรอยน์ ถือว่าเป็น 1 ในผลผลิตการยกระดับโครงสร้างนักเตะเยาวชนของ เบลเยียม หลังจากที่ชาติของพวกเขาเป็นเจ้าภาพฟุตบอลยูโร 2000 และตกรอบแรกจนถูกแซวว่าเป็นเจ้าภาพที่แย่ที่สุดตลอดกาล
การเปลี่ยนแปลงเริ่มขึ้นจากการแก้ไขพิมพ์เขียวใหม่ตั้งแต่รากหญ้า มีการส่งโค้ชเก่ง ๆ เปิดศูนย์ฝึกตามเมืองใหญ่และใช้ปรัชญาฟุตบอลเดียวกันทั้งประเทศ จนทำให้มีนักเตะเด็กเก่ง ๆ เกิดขึ้นมาหลายภายในช่วงเวลาหลังจากนั้น และ เควิน เดอ บรอยน์ แห่งสโมสร เกงค์ คือ 1 ในนั้นด้วย
เดอ บรอยน์ เป็นเด็กที่ไม่ค่อยพูด มีสังคมในวงแคบ ไม่สุงสิงกับคนอื่นเท่าไรนักหากไม่ใช่เรื่องงานและเรื่องของฟุตบอลโดยตรง มันเหมือนกับว่าเขาโฟกัสกับแค่หน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด และเมื่อลงสนาม เขาต้องการให้ผลงานพูดแทน
ในช่วงเวลาที่ เดอ บรอยน์ อายุ 17 ปี และก้าวขึ้นมาเป็นนักเตะชุดใหญ่ของ เกงค์ ไม่มีใครที่จะอธิบายเรื่องนี้ได้ดีกว่า ปีธ เดอ วิสเซอร์ แมวมองวัยย่าง 80 ปี ที่ทำงานกับ เชลซี ซึ่งเป็นคนรับหน้าที่มองหาดาวรุ่งจากทั่วภาคพื้นยุโรปเข้ามาอยู่กับทีม
ตัวของ เดอ วิสเซอร์ นั้นถือว่ามีชื่อเสียงเรื่องความตาแหลม ไปถูกที่ถูกเวลาที่ดวงดาวแห่งโลกฟุตบอลดวงใหม่ถือกำเนิด และเขานี่แหละเป็นคนที่เห็นฟอร์ม โรนัลโด นาซาริโอ เป็นคนแรกตั้งแต่สมัยเล่นให้กับ ครูไซโร่ รวมถึงนักเตะบราซิลที่เป็นเทพในรุ่นหลังตามมาอย่าง เนย์มาร์ ด้วย
เดอ วิสเซอร์ เล่าถึงตอนที่เขาเห็น เดอ บรอยน์ เล่นที่ เกงค์ จากนั้นไม่นาน เขารีบกลับไปที่ เชลซี และบอกทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการซื้อขายนักเตะว่า นี่คือนักเตะที่ดีที่สุดนับตั้งแต่เขาทำอาชีพแมวมองมา และเขาเชื่อว่า เดอ บรอยน์ มีความเป็นเพลย์เมคเกอร์ที่เหมาะกับฟุตบอลยุคใหม่ 100% ดังนั้นไม่ว่าจะแพงแค่ไหน เขายืนกรานให้ เชลซี ปิดดีลเด็กเทพจากเบลเยียมคนนี้ให้ได้
"เควิน เดอ บรอยน์ เป็นหนึ่งในนักเตะที่เยี่ยมที่สุดที่ผมเคยเห็นในตอนทำงานเป็นแมวมอง" เดอ วิสเซอร์ กล่าวถึงเพลย์เมคเกอร์แก้มแดง ที่ปัจจุบันเล่นอยู่กับแมนฯ ซิตี้
"ทันทีที่ผมเห็นสัมผัสแรกในการจับบอลของเขา ผมก็ตกหลุมรักในฝีเท้าเขาทันที เขาเกือบจะได้คะแนนเต็ม 10 จากผม โดยที่ผมไม่เคยให้ใครได้เต็ม 10 มาก่อน"
ความเห็นของ เดอ วิสเซอร์ ทำให้ เชลซี ทุ่มคว้า เดอ บรอยน์ มาตอนอายุ 18 ปี โดยกุนซือของ เชลซี ในเวลานั้นอย่าง โชเซ่ มูรินโญ่ เห็นฟอร์ม เดอ บรอยน์ และพูดถึงแผนการในอนาคตที่เขาเตรียมไว้ให้เด็กหนุ่มคนนี้ว่า
"เควิน เป็นเพลย์เมคเกอร์โดยสัญชาตญาณ ทิศทางที่เขามองเกมรอบตัว และการเห็นในช่องทางการโจมตีที่ไม่มีใครเหมือน คือคุณสมบัติที่ผมอยากจะรอให้เขาเติบโต เรื่องวิสัยทัศน์ผมไม่มีปัญหาหรือสงสัยอะไรในตัวเขาสักนิด แต่เรื่องของประสบการณ์คือสิ่งที่เขายังต้องเพิ่มเติม และเมื่อถึงเวลาเขาจะเป็นเพลย์เมคเกอร์ในระดับท็อปได้แน่นอน" มูรินโญ่ ว่า
อย่างไรตาม ความเป็นเพลย์เมคเกอร์ของ เดอ บรอยน์ ยังไม่ทันได้เฉิดฉายนักที่ เชลซี เนื่องจากในเวลานั้น ทีมชุดใหญ่อยู่ในสภาพ "ที่เต็ม" นักเตะระดับโลกขวางทางเขาอยู่มากมาย และมันทำให้เขาต้องย้ายออกไปยืมตัวเล่นให้กับ แวร์เดอร์ เบรเมน และ โวล์ฟส์บวร์ก และที่เยอรมันนี่แหละ ที่ทำให้ทุกคนหายสงสัยว่าทำไมคนที่เคยร่วมงานกับ เดอ บรอยน์ จึงกล้าพูดอะไรแบบนั้นออกมา
ครั้งแรกที่เขายืมตัวกับ เบรเมน เดอ บรอยน์ ใช้เวลาแค่ครึ่งฤดูกาลแต่ก็ยิงไป 10 ประตูและทำไป 10 แอสซิสต์ กลายเป็นเบอร์ 10 ที่ไม่เป็นสองรองใคร และช่วยทำให้อดีตแชมป์บุนเดสลีการอดตกชั้นไปได้ในท้ายที่สุด หลังจากจบปีนั้น เยอร์เก้น คล็อปป์ ที่คุม ดอร์ทมุนด์ พยายามล่าตัว เดอ บรอยน์ แบบสุด ๆ เพราะหวังจะเอามาแทนที่ มาริโอ เกิทเซ่ ที่ย้ายไปอยู่กับ บาเยิร์น มิวนิค
อย่างไรก็ตาม มูรินโญ่ ยืนกรานว่าจะไม่ขาย เขาประเมิน เดอ บรอยน์ ไว้สูงมาก และเตรียมจะค่อย ๆ ให้โอกาสนักเตะลงเล่นสม่ำเสมอในอนาคต ทว่าคำว่า "ในอนาคต" มันช้าไปสำหรับ เดอ บรอยน์ เพราะตอนที่เขาไปเล่นในบุนเดสลีกา เขาไม่ได้เป็นรองใครเลย และเขาเชื่อว่า ณ ตอนนี้เขาดีพอที่จะเป็นนักเตะที่ได้ออกสตาร์ทเป็น 11 ตัวจริงในทุกสัปดาห์
"เขาอยากย้ายทีม เขาอยากไปอยู่เยอรมัน ซึ่งเขาเคยถูกยืมตัวไป และมีความสุขมาก เขาเลยตัดสินใจที่จะไป เขากดดันเรื่องนี้อย่างหนัก และมันก็ได้ผลดีมากสำหรับเขา"
"เรื่องราวมันก็เป็นแบบนี้ และคุณภาพของนักเตะนั้นสุดยอดมาก เขาเป็นท็อป 5 ของโลก ... เขารู้ดีว่าเขาต้องการอะไร เขาไม่พร้อมที่จะอยู่กับ เชลซี ในฤดูกาลนั้น ซึ่งมีนักเตะที่ดี ๆ อีกมากมายในทีมเดียวกัน เขาไม่อยากที่จะอดทนรอ"
"บางครั้งโค้ชอย่างเราก็ทำผิดพลาด แต่นี่ไม่ใช่กรณีแบบนั้น ผมเห็นว่าเขามีศักยภาพในตัวเอง แต่เขาก็แค่รู้จักตัวเองดีว่าเขาต้องการอะไร" มูรินโญ่ ยืนยัน และหลังจากนั้นไม่นานนัก เดอ บรอยน์ ก็ได้ไปเล่นในเยอรมันกับ โวล์ฟสบวร์ก ตามที่เขาต้องการ ในราคาเพียง 22 ล้านยูโร ... และพาร์ทต่อไป การเติบโตในฐานะเพลย์เมคเกอร์ระดับตัวท็อปของเขาก็เริ่มขึ้น
100% คือเกมรุก
นักเตะผู้ที่ไม่มีโอกาสได้พิสูจน์ตัวเองกับ เชลซี มาที่นี่และใช้เวลาไม่นานนักที่จะประกาศตัวให้โลกได้รู้จักแบบเต็ม ๆ เขากลายเป็นหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดใน บุนเดสลีกา ในฤดูกาล 2014-15 และจากนั้นเขาได้สร้างสถิติใหม่ด้วยการแอสซิสต์ถึง 21 ลูกในเกมลีกซีซั่นเดียว พร้อมทั้งคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของเยอรมันไปด้วย
เดอ บรอยน์ ยังพา โวล์ฟสบวร์ก คว้าแชมป์ เดเอฟเบ โพคาล โดยเขาเป็นคนยิงประตูในนัดชิงชนะเลิศที่เจอกับ ดอร์ทมุนด์ พร้อมด้วยการจบในตำแหน่งรองแชมป์บุนเดสลีกา ... เขาคือคนที่เข้ามาสร้างอิมแพ็กต์ให้กับทีม ๆ นี้อย่างแท้จริง
เดอ บรอยน์ ใช้เวลาที่ โวล์ฟบวร์ก ไม่นานนัก เขาก็กลายเป็นแข้งเบอร์ 10 ที่ทีมทั่วยุโรปอยากจะได้ ยิ่งเขาโตขึ้น เหลี่ยมบอลและคลาสของเขาก็ยิ่งเฉิดฉาย
สิ่งที่ มูรินโญ่ เคยบอกว่า เป็นนักเตะที่เหมือนมีตาพิเศษ และมองเห็นเกมจากมุมสูงแบบ Bird Eye View ทำให้เขาเห็นช่อง เห็นเหลี่ยมที่นักเตะคนอื่นมองไม่เห็น ไหนจะเรื่องของการเอาตัวรอดในพื้นที่แคบ ๆ ทักษะการเลี้ยงบอล และการจบสกอร์จากระยะใกล้ไกล มันทำให้ โวล์ฟสบวร์ก เล็กเกินไปสำหรับเขา
ซึ่งท้ายที่สุดก็กลายเป็น แมนฯ ซิตี้ ที่คว้าตัวเขาไปด้วยราคา 75 ล้านยูโร และนี่คือการเลือกที่ถูกต้อง เพราะมันทำให้เขาได้เจอกับโค้ชที่จะทำให้ตัวของเขายกระดับการเล่นตัวเองแบบที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าเขามีความสามารถที่จะไปถึงตรงนั้น
เล่นเบอร์ 10 แล้วเสียของ
เดอ บรอยน์ ย้ายมา แมนฯ ซิตี้ ในปี 2015 ในยุคที่ มานูเอล เปเยกรินี่ คุมทีม ก่อนที่อีก 1 ปีต่อมา ในปี 2016 กุนซืออัจฉริยะอย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ชายผู้เพิ่มเทรนด์ใหม่มากมายในโมเดิร์นฟุตบอล จะมารับงานต่อ
ในช่วงดังกล่าวถือเป็นปีที่ฟุตบอลกำลังเดินหน้าไปสู่สิ่งใหม่หลายอย่าง และมีบางสิ่งที่เคยทำได้ดีมาก ๆ ในยุคเก่ากลายเป็นของตกยุคหนึ่งในนั้นคือตำแหน่ง "เบอร์ 10" หรือผู้บัญชาการเกมรุก 100% แบบที่ เดอ บรอยน์ เป็นมาตลอดอาชีพค้าแข้งของเขา
เขาเปิดเผยว่า กวาร์ดิโอล่า นั้นคืออีกหนึ่งคนที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ เป็นคนที่เชื่อมั่นในตัวเขา และช่วยให้เขามีความเชื่อมั่นในตัวเอง ว่าจะสามารถก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดในโลกได้
"เมื่อเป๊ปเข้ามา เขาทำให้ผมมีความมั่นใจ เขาพูดว่า ‘คุณสามารถเป็นหนึ่งในคนที่เก่งที่สุดในโลกได้' จากนั้น ผมรู้สึกว่าผมพัฒนาขึ้นมา ในฐานะนักฟุตบอล, ในฐานะบุคคลคนหนึ่ง, ในฐานะผู้นำของสโมสรนี้ และตอนนี้ ผมพยายามจะทำทุกสิ่งให้สมบูรณ์แบบมากที่สุด ทั้งในและนอกสนาม" ... นั่นแหละคือจุดเริ่มต้องของความมหัศจรรย์ต่าง ๆ ที่ตามมา
เมื่อฟุตบอลปัจจุบันคือการเล่นเป็นทีม ที่อาศัยพละกำลัง ความฟิต และยึดมั่นในระบบการเล่นเป็นอย่างมาก การจะใช้โควตาให้นักเตะคนใดคนหนึ่งในทีมเล่นเกมรุกฟรี ๆ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย หากใช้นักเตะแบบนั้นก็มีแต่จะเสียประโยชน์และเปิดช่องให้คู่แข่งจนกลายเป็นผลเสียมากกว่าผลดี ... นั่นทำให้ เป๊ป เริ่มลองเปลี่ยนวิธีการใช้งาน เควิน เดอ บรอยน์ ในรูปแบบใหม่ จากเดิมที่เคยเป็นจอมทัพในแดนบน ตอนนี้ เดอ บรอยน์ จะถูกถอยให้ลงมาเล่นต่ำลงมีความเป็นหมายเลข 8 ที่ต้องรับผิดชอบเกมรับมากขึ้น และมีส่วนอย่างมากในการต่อเกมตรงกลางสนาม ซึ่งในตำแหน่งนี้เกิดคำเรียกใหม่ขึ้นมาว่า "8/10 ไฮบริด"
"8/10 ไฮบริด" (8/10 Hybrid) หรือการยืนเป็นมิดฟิลด์ตัวกลางที่ช่วยเกมรับเมื่อถึงเวลา และสร้างเกมรุกจากไอเดียสร้างสรรค์เมื่อได้โอกาส เป็นบทบาทที่ เดอ บรอยน์ ต้องกลับไปพัฒนาตัวเองเพิ่มอีก ในแง่ของพละกำลัง และความสามารถในการแย่งฟุตบอล ซึ่งเป็นศาสตร์ที่เขาไม่ค่อยถนัดนักในช่วงก่อนหน้านี้ ทว่าเพื่อความเป็นเลิศที่เขาเห็นพ้องต้องกับกับ เป๊ป ... เดอ บรอยน์ เลยตกลงรับความท้าทายนี้ด้วยเหตุผลสำคัญที่สุดนั่นคือ เขาต้องการเป็นนักเตะที่สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่ตัวเองจะเป็นเป็นได้
"ผู้คนรู้ดีว่าผมทำอะไรได้บ้างกับการผ่านบอล และเรื่องความคิดสร้างสรรค์ในสนาม, แต่ในแนวคิดของผม ถ้าผมจะมีเกมที่แย่ ผมจะยังคงวิ่งให้มากที่สุด และกดดันคู่แข่งให้ได้มากที่สุด"
"มันคือการสร้างตัวอย่างที่ดีให้แก่ทุกคน โดยเฉพาะตอนนี้ ผมแก่ขึ้นแล้ว และเป็นผู้นำในทีม ทุกคนกำลังจับตามองผมในตอนนี้ มากกว่าแต่ก่อน"
เมื่อ เดอ บรอยน์ ถอยมาเป็น "8/10 ไฮบริด" แมนฯ ซิตี้ ก็กลายเป็นทีมที่ขึ้นชื่อเรื่องการครองบอล และการเข้าทำดีที่สุดในโลกทีมหนึ่ง เดอ บรอยน์ เป็นหัวใจสำคัญตรงกลาง ทุกครั้งที่บอลออกจากเท้าของเขามันเป็นอันตรายต่อทีมตรงข้ามเสมอ
ลอง ๆ นึกดู หากเขายังเป็นเบอร์ 10 ที่ยืนหลังกองหน้า บอลชี้เป็นชี้ตายแบบที่เขาทำได้ควรมีให้เห็นน้อยลง เพราะยิ่งเมื่อคุณยืนใกล้แนวรับคู่แข่งเท่าไหร่ เวลาครองบอล และช่องในการจ่ายบอลก็น้อยลงเท่านั้น อีกทั้ง เดอ บรอยน์ ก็ไม่ใช่คนที่คล่องแคล่วขนาดที่สามารถเอาชนะคู่แข่ง 2-3 คนด้วยการเลี้ยงบอลได้ เพราะอาวุธของเขาไม่ใช่การเลี้ยงแต่คือการจ่ายบอลต่างหาก
ดังนั้นเมื่อเขาถอยลงมาต่ำ การออกบอลที่อันตรายของเขาก็จะถูกเอามาใช้ได้บ่อยครั้งตามพื้นที่ที่เปิดให้เล่น แม้ที่สุดแล้วจำนวนประตูและแอสซิสต์จะน้อยลง แต่การขึ้นเกมรุกที่มีประสิทธิภาพ สามารถเกิดขึ้นได้ตั้งแต่กลางสนาม คุณจึงจะเห็นภาพการเข้าทำแบบ "ตัดบอล และจ่ายทะลุช่อง" ในช่วงเวลาห่างกันไม่กี่วินาที จากนั้น ซิตี้ ก็ได้บอลเข้าไปหลุดเดี่ยวล่อเป้ามากมายหลายครั้ง
ที่สำคัญไม่ใช่เขาเท่านั้นที่เก่งขึ้นได้ด้วยการเปลี่ยนแนวทางการเล่นแบบ 8/10 ไฮบริด แต่ในขณะเดียวกันมันยังทำให้เขาเป็นแรงบันดาลใจให้นักเตะคนอื่นในทีมได้ด้วย เพราะมันเป็นการสร้างแนวคิดใหม่ทางอ้อมว่า ถ้าคนที่ถูกเรียกว่า "บอลสมอง" อย่างเขายังถอยต่ำลงไล่ล่าฟุตบอลตลอดทั้งเกมด้วยระยะการวิ่งขั้นต่ำ 12 กิโลเมตรได้ ทำไมนักเตะคนอื่นจะทำไม่ได้ ? และเมื่อทุกคนพร้อมเสียสละตัวเองเพื่อทีม คุณจะได้เห็นทีมที่ยอดเยี่ยมพร้อมคว้าทุกถ้วยแชมป์เช่นเดียวกับ แมนฯ ซิตี้ ในยุคที่มี เดอ บรอยน์ เป็นจอมทัพ
มาถึงตอนนี้ ยุคสมัยของเขาได้เข้าสู่ช่วงนับถอยหลังสู่ตอนจบแล้ว เดอ บรอยน์ ในวัย 33 ปี กำลังจะย้ายออกจาก แมนฯ ซิตี้ หลังจากจบซีซั่น 2024-25 เพื่อไปหาความท้าทายใหม่ ๆ ตามวัฏจักรฟุตบอล
ความยิ่งใหญ่ที่เขาฝากไว้ให้ ไม่ใช่แค่ถ้วยแชมป์และความสำเร็จ แต่มันคือแนวทางการเล่น ทัศนวิสัยในการมองเกม และทัศนคติในการเป็น "ผู้นำ" ทั้งในและนอกสนาม ที่จะทำให้ แมนฯ ซิตี้ สามารถเข้าใจได้ว่า หากพวกเขาอยากจะกลับไปสู่ยุคแห่งความสำเร็จอีกครั้ง คนที่มาแทนที่ เดอ บรอยน์ ต้องเป็นนักเตะแบบไหน และเป็นคนที่มีทัศนคติแบบใด
ไม่ว่าคุณจะรักเขาน้อยหรือมาก ไม่ว่าคุณจะคิดว่าเขาเป็นอัจฉริยะหรือแค่นักเตะที่จ่ายบอลเก่งคนหนึ่ง ที่สุดแล้วจากทุกอย่างที่ฝากไว้ในเวทีพรีเมียร์ลีก ... เควิน เดอ บรอยน์ คือหนึ่ง 1 ในตำนานตลอดกาลแห่งเวทีนี้อย่างแท้จริง