"ตอนผมอายุ 21 ปี ผมเดินไปหาผู้จัดการทีมที่ไม่เคยให้โอกาสผมลงเล่นทีมชุดใหญ่ ผมบอกเขาว่า 'ผมอยากจะขอย้ายทีมแบบยืมตัวเพื่อหาโอกาสลงเล่น' แต่สิ่งที่เขาบอกกลับมาคือ 'ไม่มีใครอยากจะยืมแกหรอก'"
นี่คือสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับ แดน เบิร์น จากนักเตะที่เคยอยู่อย่างหมดความหวังไปแล้วในช่วงที่เขายังเป็นดาวรุ่ง แต่ 11 ปีต่อมา เขาคือผู้บันทึกประวัติศาสตร์ให้กับชาวจอร์ดี้ ด้วยการนำ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด คว้าแชมป์รายการใหญ่ในประเทศครั้งแรกในรอบ 70 ปีอย่าง คาราบาว คัพ ฤดูกาล 2024-25
เรื่องราวในชีวิตของเขายิ่งกว่าหนังเรื่องหนึ่ง และคุณจะได้อะไรมากมาย เมื่อคุณอ่านเรื่องของเขาจบ ติดตามกับ Main Stand
เริ่มต้นด้วยจุดจบ
แดน เบิร์น เกิดที่เมือง ไบลธ์ เมืองเล็ก ๆ ติดกับเมืองใหญ่อย่าง นิวคาสเซิล และ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด คือสโมสรขวัญใจของเขามาตั้งแต่ยังเด็ก บ้านของเขาเป็นชาวจอร์ดี้กันยกครัว และตัวของเขาก็รับความฝันอันหนักอึ้งที่ทุกคนคาดหวังเอาไว้ว่า "วันหนึ่งผมจะเป็นนักเตะของ นิวคาสเซิ่ล"
เบิร์น เป็นคนตัวใหญ่ตั้งแต่เด็ก และมันทำให้เขาได้เปรียบกว่าเด็กคนอื่นจนทำให้เขาได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของอคาเดมี่ นิวคาสเซิล ตั้งแต่ 9 ขวบ แน่นอน นั่นเป็นช่วงเวลาแห่งความฝัน แต่มันมีอายุสั้นแค่ 2 ปี แล้วความจริงก็กระชากเขาลงมาให้ได้ลิ้มรสคำว่า "ความผิดหวัง" ตั้งแต่อายุ 11 ปี
เท่านั้นยังไม่พอ ตอน แดน เบิร์น อายุได้ 13 ปี ก็เกิดอุบัติเหตุที่นิ้วมือของเขา ซึ่งเกิดจากการที่แหวนที่เขาใส่ตรงนิ้วนางข้างขวา เกี่ยวกับรั้วลวดหนามระหว่างปีน จนทำให้นิ้วนางข้างขวาขาด มันยิ่งหนักไปกว่าเดิมอีก เพราะการเหลือนิ้วแค่ 9 นิ้ว มันค่อนข้างทำใจได้ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็กที่เล่นในตำแหน่งผู้รักษาประตูเป็นส่วนใหญ่อย่างเขา
คนเรามีภูมิต้านทานในการรับความผิดหวังแตกต่างกันไป ตัวของ เบิร์น เองก็รับสิ่งนี้ไม่ค่อยได้ในตอนแรก เขาพยายามหาคำตอบให้ตัวเองว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่ ทำไมเขาถึงถูกคัดออก ?
สิ่งที่ยากกว่าการอยู่กับความจริง ก็คือการพยายามเฝ้าโทษตัวเองมากจนเกินไป เบิร์น พบว่าตัวเองอ่อนชั้น ไม่เก่ง สู้คนอื่นไม่ได้ ดังนั้นเรื่องการเป็นนักเตะอาชีพอาจจะต้องลืม ๆ ไปบ้าง และต้องกลับมาอยู่บนโลกแห่งความจริงเมื่อโตขึ้น เขาจึงเริ่มออกหางานทำ และไปสมัครงานที่ ASDA ซึ่งเป็นปั๊มน้ำมันและซูเปอร์มาร์เก็ต ส่วนพาร์ทของนักฟุตบอล แม้จะผิดหวัง แต่ก็ยังเหลือเศษซากของความฝันอยู่บาง ๆ ... จากที่เคยหวังจะเป็นนักเตะอาชีพ ก็เหลือแค่การหาทีมในซันเดย์ลีก ลงเล่นเพื่อเติมเต็มความชอบของตัวเองเท่านั้น
"ตอนอายุ 16 ปี ผมค้นพบว่าตัวเองไม่เคยแน่ใจในอนาคตของตัวเอง ผมไปสัมภาษณ์งานที่ ASDA ความจำยังเด่นชัดคือผมไปสัมภาษณ์งานด้วยการใส่ชุดสูทอย่างหล่อเลย เพราะผมคิดว่าอาจจะได้ตำแหน่งดี ๆ ทำ เพียงแต่ความจริงคือผมเป็นเด็กเก็บรถเข็น ซึ่งมันเป็นตำแหน่งเดียวที่เหลืออยู่ และผมก็เลือกเส้นทางนั้น"
"ผมไปที่นั่นทุกวันเสาร์ ทำตั้งแต่ช่วงบ่ายโมงถึง 4 ทุ่ม ทำแบบนั้นอยู่ประมาณ 6 เดือน แล้วระหว่างนั้นก็หาทีมสมัครเล่น เล่นฟุตบอลไปด้วย แล้วก็เริ่มเล่นกับทีม ไบลธ์ สปาร์ตัน ในวันอาทิตย์" เบิร์น เล่า
การเล่นฟุตบอลแบบไร้ความกดดันแบบใส่ความสนุกเต็มที่ ดูเหมือนจะเป็นอะไรที่ดีสำหรับเบิร์น เมื่อไม่ต้องแบกรับอะไรเขาก็ทำผลงานได้ดีขึ้น เขาลงเล่นในทัวร์นาเม้นต์ระดับประเทศซึ่งเป็นรายการเฉพาะของทีมสมัครเล่น และเป็นโอกาสดีที่แมวมองของเหล่าทีมเล็ก ๆ ไปหาดูช้างเผือกในทัวร์นาเม้นต์นั้น
ดาร์ลิงตัน ทีมในระดับลีกอาชีพ และขึ้น ๆ ลง ๆ ระหว่าง ลีกทู กับ เนชั่นแนลลีก (ลีกสูงสุดของทีมนอกลีก) เห็นแววของ เบิร์น และมอบสัญญาฉบับแรกให้กับเขา ด้วยค่าเหนื่อยสัปดาห์ละ 55 ปอนด์
ความผิดหวังในครั้งเก่ายังทำให้เขาไม่กล้าฝันใหญ่ เบิร์น เล่าว่าแม้จุดเริ่มต้นของฟุตบอลสำหรับเขาจะเริ่มตั้งแต่ ณ ตอนนั้น ทว่าเขาไม่เคยมองอนาคตข้างหน้ายาว ๆ เท่าไรนัก
"ถ้าใครสักคนมาบอกผมในตอนนั้นว่า พยายามเข้า สักวันคุณจะได้ไปเล่นในพรีเมียร์ลีก ผมคงจะขำจนไหล่โยก ... ไม่ได้บอกนะว่าการเล่นฟุตบอลในช่วงนั้นไม่มีความสุข แต่ที่แน่ ๆ คือระดับที่ผมอยู่กับระดับพรีเมียร์ลีกมันต่างกันมาก ๆ"
จะชอบหรือไม่ ไม่สำคัญ ... ตอนนี้ช่วงเวลากับการเป็นนักเตะอาชีพที่เขาฝันมันได้เริ่มขึ้นแล้ว แม้ความขรุขระของเส้นทางอาจจะทำให้เขามองข้ามความสามารถตัวเองไปก็ตาม
เดินทางแบบ "บิ๊กแดน"
ช่วงเวลาที่ ดาร์ลิงตัน นอกจากจะได้เตะฟุตบอลตามฝันแล้วก็ไม่ค่อยสะดวกสบายนัก นอกจากค่าเหนื่อยจะน้อยแล้ว ด้วยความที่เขาอายุแค่ 18 ปี ยังไม่ได้เป็นนักเตะทีมชุดใหญ่เต็มตัว เขาจะต้องเอาเสื้อผ้า ชุดแข่งขันไปซักเองที่บ้าน ต้องพกอาหารกลางวันมากินเองหลังซ้อม
เพียงแต่หากวัดกันที่เป้าหมาย มันถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี เพราะที่ ดาร์ลิงตัน เขาเป็นหนึ่งในนักเตะชุดแชมป์รายการ เอฟเอ โทรฟี่ (ฟุตบอล เอฟเอคัพ ของทีมนอกลีกโดยเฉพาะ) เมื่อปี 2011 นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่หลายทีมสนใจตัวของเขาทั้ง เบอร์มิงแฮม และ สโต๊ก ซิตี้ ก่อนจะเป็น ฟูแล่ม ที่คว้าตัวเขาไปด้วยราคา 350,000 ปอนด์ ... ราคาระดับนี้คือราคาที่ ดาร์ลิงตัน พลิกวิกฤตการเงินของสโมสรได้เลย
เขาได้ไปเล่นที่ ฟูแล่ม ทีมระดับพรีเมียร์ลีกตามที่ฝันแล้ว แต่เส้นทางอันขรุขระก็ยังไม่จบ ที่ ฟูแล่ม เบิร์น แทบไม่มีโอกาสได้สัมผัสการลงสนามให้ทีมชุดใหญ่เลย ไม่แม้กระทั่งการซ้อม เขาพยายามขอให้ มาร์ติน โยล กุนซือของทีมในเวลานั้น ส่งเขาไปเล่นให้กับทีมอื่น ๆ แบบยืมตัว แต่คำตอบของ โยล ก็คือ "ไม่มีใครต้องการตัวนาย" ซึ่งนั่นก็เจ็บจี๊ดในระดับหนึ่งเลยทีเดียว
"ผมพยายามทำทุกทางแล้ว ติดต่อไปยังคนที่รู้จักหลาย ๆ คน จนกระทั่งได้ติดต่อไปยัง แกรี่ จอห์นสัน ผู้จัดการทีม โยวิล ซึ่งพี่ชายของ จอห์นสัน เป็นแมวมมองระดับลีก ยู-21 ที่เห็นฟอร์มของเบิร์น มาบ้างแล้ว มันทำให้ผมได้เจอเส้นทางไปต่อ" เบิร์น กล่าว
แดน เบิร์น ไปเล่นที่ โยวิล ทาวน์ แบบยืมตัวในฤดูกาล 2012-13 และ เบอร์มิงแฮม ซิตี้ ในซีซั่น 2013-14 ผลงานของเขาดีมาก เป็นที่รักของแฟนบอลทั้ง 2 ทีม ได้รับคำชม และลบภาพลักษณ์ที่หลายคนมีต่อเขาว่าเป็นนักเตะตัวใหญ่และเชื่องช้า ด้วยการโชว์สไตล์การเล่นแบบที่เราเห็นในเวลานี้นั่นคือ สูงใหญ่ แข็งแรง แม้ไม่เร็วเพราะเสียเปรียบเรื่องสรีระ แต่ก็ไม่ช้าเกินไป และสุดท้ายจุดเด่นที่เขามีมากที่สุด ก็คือเรื่องการเล่นอย่างมีสมาธิตลอด 90 นาที
นั่นเป็นข้อดีที่แมวมองทีม วีแกน แอธเลติก เห็น และ วีแกน ก็คว้าตัวเขาไปด้วยราคาราว ๆ 500,000 ปอนด์ และกลายเป็นตัวหลักในระดับ แชมเปี้ยนชิพ เพียงแต่โชคไม่ดีที่ วีแกน ต้องตกชั้นสู่ ลีกวัน ในปีนั้น และทีมจำเป็นต้องขาย เบิร์น ออกไป
วีแกน ตั้งใจจะขายเบิร์นด้วยราคา 5 แสนปอนด์เท่ากับตอนที่ซื้อมาเพื่อลดภาระทางการเงินของสโมสร แต่ราคาระดับนั้นมากเกินไปและไม่มีทีมไหนสนใจ วีแกน จำต้องใช้งานเขาต่ออีก 1 ซีซั่น และนั่นเหมือนจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญเลยก็ได้ เพราะเมื่อต้องมาเล่นในระดับ ลีกวัน เบิร์น โดดเด่นมาก จุดแข็งที่เขามีถูกงัดออกมาใช้ และทำให้ภาพจำของเขาชัดเจนขึ้นไปอีกตามที่กล่าว
คราวนี้ไม่ใช่ 500,000 ปอนด์ที่อยากจะขายแล้ว ค่าตัวของเขาขยับขึ้นมาเป็น 3 ล้านปอนด์ โดยคนที่อยากได้เขาคือ คริส ฮิวจ์ตัน อดีตกุนซือ นิวคาสเซิล ที่คุมทีม ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน และนั่นคือจุดที่ทุกคนได้รู้จักแดน เบิร์น แบบเป็นวงกว้างมากขึ้น ... แดน เบิร์น ตาลุกวาว และรู้ทันทีว่าครั้งนี้โอกาสที่แท้จริงของเขามาถึงแล้ว และเขาจะไม่ทำผิดพลาดซ้ำสอง ไม่ว่าจะเรื่องใดก็ตาม ดังนั้น เบิร์น จึงเทหมดหน้าตัก กับการย้ายทีมครั้งนี้เมื่อปี 2018
คริส ฮิวจ์สตัน เล่าเรื่องของ เบิร์น ในเวลานั้นว่า "ปกติแล้วนักเตะส่วนใหญ่ที่ย้ายทีมมักจะเช่าบ้านอยู่ แต่ แดน เอาจริงมาก เขามุ่งมั่นจะอยู่ที่นี่ในระยะยาว เขาซื้อบ้านหลังใหม่ แสดงความมุ่งมั่นของเขาต่องานที่เขาทำให้ผมเห็น และแน่นอนว่าเขาทำตัวได้เหมาะสมกับโอกาสที่ผมมอบให้กับเขามาก ๆ" ฮิวจ์สตัน กล่าว
ช่วงที่ ฮิวจ์ตัน คุมทีม เบิร์น ได้เล่นเซ็นเตอร์แบ็กเป็นหลัก แต่คนที่มาหาตำแหน่งที่แท้จริงให้กับเขาก็คือกุนซือหนุ่มอย่าง แกรม พ็อตเตอร์ ที่เข้ามาและจัดระบบเกมรับของ ไบรท์ตัน ใหม่ โดยการใช้ เชน ดัฟฟี่ คู่กับ ลูอิส ดังค์ และเอา เบิร์น โยกไปเป็นแบ็กซ้าย และในบางช่วงเวลาเขาก็จะถูกโยกมายืนเป็นเซ็นเตอร์แบ็กฝั่งซ้ายในระบบกองหลัง 3 ตัว
เชื่อว่าหลายคนคงจะเห็นว่าเบิร์นเด่นอย่างไร แบ็กซ้ายร่างใหญ่ แต่ไม่ช้า ไม่ปล่อยให้ใครผ่านเขาไปง่าย ๆ และมีจุดเด่นในการเล่นลูกกลางอากาศที่ช่วยเซ็นเตอร์แบ็กได้ดี ชื่อของ แดน เบิร์น กลายเป็นชื่อติดหูของคนดูบอล พรีเมียร์ลีก ไปโดยปริยาย ซึ่งไม่นานนัก ความหวังเล็ก ๆ ที่เขาเคยมีก็ถูกจุดไฟให้ลุกโชนขึ้นมาเมื่อ นิวคาสเซิล ในยุค เอ็ดดี้ ฮาว จ่ายเงิน 7 ล้านปอนด์ เพื่อคว้าตัวเขาไปร่วมทีม ฝันของ เบิร์น ที่ถูกตัดทิ้งไปเมื่อตอนอายุ 11 ปี กลับมาอีกครั้งในตอนที่เขาอายุ 29 ปี
ถึงฝันทั้งที ต้องเอาให้เป็นตำนาน
เอ็ดดี้ ฮาว คว้า เบิร์น มาร่วมทีมด้วยเหตุผลหลายอย่าง นอกจากเรื่องของในสนาม กับการเป็นแบ็กซ้ายสายเกมรับที่มีคุณภาพแล้ว การเติมเกมขึ้นไปเล่นลูกเซตพีซ ก็นับว่าเอาเรื่อง มีจังหวะลุ้นประตูและยิงได้เป็นระยะ ๆ
มาตรฐานการเล่นของ เบิร์น จัดว่าเป็นคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดคนหนึ่งในทีม นิวคาสเซิ่ล เขาดูแลร่างกายตัวเองอย่างดีมาโดยตลอด นับตั้งแต่มาอยู่กับ นิวคาสเซิ่ล แทบไม่มีปีไหนที่เขาได้รับบาดเจ็บยาว ๆ เลย เบิร์น ลงเล่นต่อเนื่องแทบทุกซีซั่น และแทบไม่ก่อความผิดพลาดใด ๆ เรียกได้ว่าแม้จะไม่โดดเด่นเท่าคนอื่น แต่ก็รักษามาตรฐานตัวเองได้อย่างน่าชื่นชม
นอกจากจากเรื่องเหล่านี้แล้ว เบิร์น ยังเป็นนักเตะที่พร้อมทุ่มทุกอย่างให้ทีม เขาคือชาวจอร์ดี้ขนานแท้ เป็นแฟนบอล นิวคาสเซิล ตั้งแต่เกิด และเป็นแฟนทั้งบ้าน ดังนั้นการได้มาที่นี่จึงมีความหมายมาก ๆ ต่อเขาและครอบครัว โดยพ่อของ แดน เบิร์น บอกถึงความทุ่มเทที่ลูกชายของเขามีต่อทีมนิวคาสเซิลว่า "ลูกชายผมพร้อมมอบทุกอย่างให้กับสโมสรและแฟนบอล นิวคาสเซิ่ล"
คุณไม่ต้องสืบสาวให้ยาวยืด เพราะเขาทุ่มเททุกอย่างตามที่พ่อของเขาว่าไว้ทุกประการ เอ็ดดี้ ฮาว กล่าวชมนักเตะที่มีฟอร์มสม่ำเสมอ มีวินัย เล่นได้หลายตำแหน่ง และใจสู้อย่าง เบิร์น เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเกม คาราบาว คัพ นัดชิงชนะเลิศ ที่เขาเป็นคนเริ่มต้นจุดประกายฝันให้ชาวจอร์ดี้ทุกคน หลังจากเขาโหม่งประตูให้ทีมนำ ลิเวอร์พูล 1-0 ... และประตูดังกล่าวคือสิ่งที่ทำให้คุณรู้ได้ว่า เขาเป็นคนที่มีสมาธิกับเกมจริง ๆ
"ผมรู้ว่า อเล็กซิส แม็คอัลลิสเตอร์ ไม่ได้มองที่บอล ผมอยู่ห่างจากเขาก่อนที่ลูกเตะมุมจะมาถึง และผมขยับเข้าใกล้เข้าทันทีเมื่อบอลมา เพราะผมรู้ว่าผมโจมตีเขาจากตรงนั้นได้ ... มันเป็นความรู้สึกว่าในกรอบหกหลาคนเยอะมาก และยากจะได้โหม่ง ดังนั้นผมจึงต้องขยับหาพื้นที่สำหรับตัวเอง ผมส่งบอลไปที่ก้นตาข่าย และผมรู้สึกตัวชาไปครู่ขณะ เมื่อเสียงเฮของแฟนบอลดังขึ้น" เบิร์น กล่าว
นิวคาสเซิ่ล จบเกมนั้นด้วยการเอาชนะ 2-1 คว้าแชมป์ใหญ่ในประเทศรายการแรกในรอบ 70 ปี ... ใครจะรู้ว่าเขาผ่านอะไรมาบ้างได้ดีมากกว่าพ่อของเขา ที่เป็นแฟนบอล นิวคาสเซิล และเป็นคนคอยบอกให้เขาไม่ทิ้งความฝัน และกลายเป็นคำคมประจำใจที่ว่า "เพราะการมีความหวัง สำคัญพอ ๆ กับการมีชีวิตอยู่"
"วินาทีที่พ่อเดินขึ้นอัฒจันทร์ เวมบลีย์เพื่อมาดูนัดชิงชนะเลิศที่มีลูกชายลงเล่นให้ นิวคาสเซิล ... คือช่วงเวลที่พ่อภูมิใจในตัวลูกจนพูดไม่ออก" พ่อของเขาอธิบายเช่นนั้น
ตอนนี้ ชีวิตของ แดน เบิร์น เดินทางมาถึงจุดพีกหากเทียบกับตลอดช่วงชีวิตที่เขาเกิดมา นักเตะวัย 32 ปี ติดทีมชาติอังกฤษเป็นครั้งแรก พาทีมรักของตัวเองสร้างประวัติศาสตร์ที่ เวมบลีย์ และท้ายที่สุด ฝันของเขาเป็นจริงแล้ว
ไม่ต้องแปลกใจเลยว่า การใช้ชีวิตอย่างมีความหวัง สำหรับ แดน เบิร์น มันมีความหมายกับเขาและสโมสรแห่งนี้จริง ๆ
แหล่งอ้างอิง
https://www.telegraph.co.uk/football/2018/03/17/dan-burn-couldnt-get-fulham-team-nobody-wanted-loan-now-want/?ICID=continue_without_subscribing_reg_first
https://www.independent.co.uk/sport/football/newcastle-dan-burn-liverpool-carabao-cup-final-b2716363.html
https://www.thesun.co.uk/sport/33856361/dan-burn-lost-finger-newcastle-england-asda-carabao-cup/
https://metro.co.uk/2025/03/17/tear-jerking-letter-dan-burns-dad-wrote-newcastle-defender-goes-viral-carabao-cup-heroics-22737965/
https://www.thetimes.com/sport/football/article/newcastle-united-dan-burn-carabao-cup-final-qbqrmf70z