เรื่องราวของนักเตะดังบางครั้งก็ไม่ได้เร้าใจและสร้างแรงบันดาลใจ เหมือนกับนักเตะที่ไร้แต้มต่อและพาตัวเองขึ้นมาอยู่ในฐานะตำนานของสโมสรใดสโมสรหนึ่ง
ในช่วงปลายยุค 1990s วงการฟุตบอลพรีเมียร์ลีก มีนักเตะจากเปรูคนแรกมาค้าแข้งที่นี่ นั่นคือ โนลแบร์โต้ โซลาโน่ ถ้าคุณมองเขาจากภายนอก เขาอาจจะไร้ออร่าความเก่งกาจ แต่ถ้าคุณวัดผลงานที่เขาฝากไว้ คุณจะพบว่าเขาคือหนึ่งในแข้งพรีเมียร์ลีกสายคลาสสิกของแท้
ติดตามเรื่องราวลูกศิษย์ของ ดิเอโก้ มาราโดน่า ที่กลายเป็นตำนานของ นิวคาสเซิล ได้ที่ Main Stand
เสียงดนตรีพาไปหาฟุตบอล
โนลแบร์โต้ โซลาโน่ เป็นน้องคนสุดท้องในบรรดาพี่น้อง 7 คน ของครอบครัวยากจนครอบครัวหนึ่งในประเทศเปรู โดยเติบโตมาในชุมชนแออัดแห่งหนึ่งในกรุงลิมา เมืองหลวงของประเทศ
ในวัยเด็ก โซลาโน่ ไม่ได้ชอบฟุตบอลเป็นอย่างแรก เพราะใจเขามาทางสายดนตรี เนื่องจากในหมู่บ้านมักจะมีงานจ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เขาจะได้ไปอยู่ในวงดนตรีท้องถิ่น และรับหน้าที่มือทรัมเป็ต หาเงินช่วยครอบครัว เหนือสิ่งอื่นใดที่ โซลาโน่ ยืนยันคือ ในช่วงวัยเด็ก คนเราควรคลั่งไคล้อะไรสักอย่างอย่างจริงจัง และถ้าคุณหาสิ่งนั้นเจอ มันอาจนำไปสู่จุดปลี่ยนสำคัญของชีวิตคุณก็เป็นได้
เขาใช้เวลาตอนเย็นไปกับการฝึกเล่นทรัมเป็ตส่วนใหญ่ ส่วนเรื่องฟุตบอลนั้นถือเป็นงานอดิเรกรองลงมา เขาใช้เวลาช่วงพักกลางกลางวันที่เหลือจากการเรียนไปกับการเตะกระป๋องและกล่องกระดาษแข็งตามท้องถนนในท้องถิ่น ขณะที่ยามนอน ฝันที่เข้ามาในหัวสมองของเขาที่สุดคือการเป็นนักดนตรีอาชีพ
"เมื่อคุณเป็นเด็ก มันจำเป็นมากที่คุณจะต้องมีความฝัน และมีสิ่งต่าง ๆ ให้คอยฝันถึง เพราะมันจะทำให้คุณรู้สึกอยากจะทุ่มเททำอะไรสักอย่างเพื่อให้ได้มันมา" โซลาโน่ กล่าว
"ผมอยากเป็นนักดนตรีอาชีพ มีชีวิตที่ดี ในตอนเด็กผมมักจะนั่งมองรถยนต์หรู ๆ ตามลานจอดรถ หวังว่าสักวันมันจะเป็นทีของเรา ... มันรู้สึกดีที่ได้คิดอะไรแบบนั้น แม้เราจะรู้ว่าหนทางที่จะไปถึงมันจะอีกยาวไกล และอาจจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงระหว่างทางก็ตาม"
ชีวิตของเขาเป็นแบบที่เขาบอก โซลาโน่ เล่นดนตรีเก่งในระดับหนึ่ง แต่เขากลับเล่นฟุตบอลได้ดีกว่าและมีโอกาสต่อยอดได้ไกลกว่า ด้วยความที่ใช้สิ่งของหลาย ๆ อย่างมาเดาะเล่นแทนฟุตบอล มันก็ทำให้เขามีทักษะการคอนโทรลลูกบอลดีขึ้นโดยไม่รู้ตัว โซลาโน่ เริ่มโดดเด่นมากขึ้นกับทีมโรงเรียน และเล่นให้กับทีมท้องถิ่น จนกระทั่งอายุ 13 ปี ชื่อเสียงของเขาทำให้แมวมองของทีม อลิอันซ่า ทีมใหญ่ประจำเมืองมาคว้าตัวเข้าไปอยู่ในทีมอคาเดมี่ และได้เริ่มเล่นอาชีพครั้งแรกตอนอายุ 17 ปี กับ สปอร์ติ้ง คริสตัล
ฟุตบอลเปรูในเวลานั้นไม่ได้มีนักเตะดังหรือเก่งกาจเท่ากับปัจจุบัน โซลาโน่ ถือเป็นหนึ่งในนักเตะเปรูกลุ่มแรก ๆ ที่เก่งเกินจะค้าแข้งในลีกของตัวเอง เขาอยู่ คริสตัล ถึงปี 1997 พาทีมคว้าแชมป์ลีกได้ 3 สมัย ซึ่ง ณ ตอนนั้นแม้รายได้จะไม่ได้เยอะมาก แต่มันก็เติมเต็มความสุขของเขาได้ เพราะ โซลาโน่ มักจะแบ่งรายได้ส่วนหนึ่งไปซื้อทรัมเป็ต ซึ่งเป็นของสะสมชิ้นโปรดของเขา เรียกได้ว่าทั้งสองสิ่งนี้เกื้อกูลกันมาตลอด และทำให้เขาเดินหน้าในอาชีพนักฟุตบอลได้ดีกว่าที่ใครหลายคนคาดไว้ ... ซึ่งนั่นอาจจะรวมถึงตัวเขาเองด้วย
คารวะพระเจ้า
กว่าจะได้ย้ายออกมาเล่นในต่างประเทศก็ตอนอายุ 22 ปี แต่การรอคอยครั้งนี้ก็คุ้มค่า เพราะในปี 1997 โซลาโน่ ได้โอกาสย้ายมาอยู่กับ โบคา จูเนียร์ส ทีมดังแห่งอาร์เจนตินา ซึ่งในวันที่เขาย้ายทีมนั้นทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เรื่องก็คือกุนซือของทีมอย่าง เฮ็คเตอร์ วิเอร่า ชอบใจฝีเท้าของเขามากหลังได้เห็นฟอร์มในเกม โคปา ลิเบอร์ตาดอเรส ฟุตบอลสโมสรถ้วยใหญ่ของทวีปอเมริกาใต้ จากนั้นดีลก็จบลงภายในเวลาไม่กี่วัน และเหนือสิ่งอื่นใดคือหลังจากวันที่ดีลซื้อขายจบลง โซลาโน่ ก็ได้ซ้อมกับ โบคา เพียงแค่วันเดียวเท่านั้น เกมการแข่งขันครั้งแรกของเขาก็กำลังจะมาถึง
วิเอร่า บอกกับ โซลาโน่ ว่า ต่อจากนี้ทุกอย่างจะเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วสำหรับเด็กหนุ่มจากประเทศเปรูแบบเขา ซึ่งตัวของ โซลาโน่ ก็ไม่เคยเข้าใจว่า วิเอร่า หมายถึงอะไร จนกระทั่งการซ้อมมื้อแรกของเขามาถึง
ชายร่างเตี้ยและอวบอ้วนกำลังเดินตรงมาที่ โซลาโน่ ที่กำลังนั่งรอคำสั่งจากโค้ช วิเอร่า อยู่ และภาพทุกอย่างก็ชัดขึ้นเมื่อชายคนนั้นเข้ามาใกล้ ๆ ... หัวใจของ โซลาโน่ ตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม เพราะชายคนนั้นคือ ดิเอโก้ มาราโดน่า ตำนานโลกลูกหนังตลอดกาล ซึ่งตัวของ มาราโดน่า นั้นมาใช้เวลาช่วงท้ายอาชีพกับ โบค่า ในช่วงปี 1995-97 ซึ่งปีสุดท้ายของเขา ตรงกับปีแรกของ โซลาโน่ พอดิบพอดี บทสนทนาของทั้งคู่จึงเริ่มขึ้น
"ผมมาซ้อมกับ โบค่า จูเนียร์ส ในวันศุกร์ และเตรียมลงแข่งในวันอาทิตย์ ผมจำได้ว่าผมเป็นเด็กหนุ่มขี้อายได้แต่นั่งเงียบ ๆ จนกระทั่ง มาราโดน่า เดินมาและกอดและทักทายผม เขาพูดกับก่อนด้วยซ้ำ เขาบอกว่า 'นี่นายคือไอ้เด็กเปรูที่กำลังจะมาอยู่ทีมเราใช่ไหม' ผมตื่นเต้นจนเผลอตอบกลับว่า ใช่แล้วครับคุณผู้ชาย (มิสเตอร์) ใช่ ผมลนลานระดับที่เรียกเขาว่าคุณผู้ชายนั่นแหละ"
โซลาโน่ ลงไปซ้อมด้วยความตื่นเต้น และหลังการซ้อมเซสซั่นธรรมดาจบลง มาราโดน่า ก็ถือถุงใส่ลูกฟุตบอลถุงใหญ่เหมือนกับจะไปซ้อมยิงไกลหรือยิงฟรีคิก ประจวบเหมาะกับโค้ช วิเอร่า ตะโกนขึ้นมาว่า 'ดิเอโก้ เอาไอ้เด็กคนนี้ไปซ้อมด้วยคนสิ' โซลาโน่ ตกใจยิ่งกว่าเดิม แต่ก็เดินตามรุ่นพี่ต้อย ๆ อย่างว่านอนสอนง่าย ... จากเด็กหนุ่มเปรูที่เล่นฟุตบอลเป็นงานอดิเรก ตอนนี้เขากำลังซ้อมพิเศษอยู่กับพระเจ้าแห่งวงการฟุตบอล ไม่แปลกเลยที่เขาจะจำทุกอย่างในวันนั้นได้อย่างแม่นยำ และถ่ายทอดมันออกมาอย่างชัดเจน
"ผมตั้งใจซ้อมกับ มาราโดน่า มาก ๆ เมื่อได้เริ่มซ้อมกับเขา ผมเริ่มโชว์การวางบอลไปตามจุดต่าง ๆ ผมจำว่าผมทำได้ดีมาก ๆ และ มาราโดน่า ถึงกับบอก วิเอร่า ว่า 'เฮ็คเตอร์ คุณไปเอาไอ้เด็กนี่มาจากที่ไหนกันเนี่ย'"
โซลาโน่ กลายเป็นเด็กน้อยของ มาราโดน่า ตั้งแต่วันนั้น แม้ มาราโดน่า จะไม่ได้ตั้งใจเล่นฟุตบอลเท่าตอนที่เขาพีก ๆ แล้ว แต่สำหรับ โซลาโน่ นั้น มาราโดน่า พยายามถ่ายทอดประสบการณ์ต่าง ๆ ให้เขามากที่สุด รวมไปถึงการยิงฟรีคิกที่กลายเป็นอาวุธติดตัวของ โซลาโน่ จนวันที่เขาเลิกเล่นด้วย
เขามีชื่อเล่นที่ มาราโดน่า มักเรียกว่า "มาเอสตริโต" หรือที่แปลว่า "ศาสตราจารย์น้อย" แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ช่วยยกระดับการเป็นนักฟุตบอลอาชีพของเขาได้เป็นอย่างมาก
"เมื่อคุณเล่นฟุตบอล ผมคิดว่าการมีไอดอลของตัวเองเป็นเรื่องสำคัญนะ ผมก็เป็นแบบนั้น เหมือนกับเด็กทุกวันนี้ที่อยากมีโอกาสได้เล่นเคียงข้างกับ โรนัลโด้ หรือ เมสซี่ สำหรับผม ใครมันจะไปคิดว่าสักวันจะได้เป็นเพื่อนร่วมทีมกับ มาราโดน่า ... และเขานี่แหละคือคนที่อยู่เบื้องหลังลูกฟรีคิกของผม"
ความสมบูรณ์แบบเท่ากับการทุ่มสุดตัว
หลังจาก 1 ปีกับ โบค่า จูเนียร์ส หลายสิ่งหลายอย่างก็หมุนไปข้างหน้ารวดเร็วเข้าไปอีก ตัวของ โซลาโน่ ได้ข้อเสนอจาก นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ทีมดังจากพรีเมียร์ลีก และไม่มีเหตุผลที่เขาต้องทบทวนเรื่องนี้ ในเมื่อฟุตบอลสร้างเส้นทางแฟนตาซีมาให้กับชีวิตของเขาขนาดนี้ ได้เวลาต้องลองสักตั้ง
โซลาโน่ เปิดเผยว่าในวันเปิดตัวของเขากับทีมสาลิกาดง มีแฟนบอล นิวคาสเซิลกว่า 8,000 คน มารอรับเขา และเขาเริ่มจะเข้าใจเรื่องความเป็นนักเตะดังขึ้นมานิด ๆ แล้ว เพียงแต่ว่าเขายังเตือนตัวเองเสมอว่า ทุก ๆ คนมีล้วนมีพื้นที่ให้พัฒนา ตัวของ โซลาโน่ เองก็พยายามปรับตัวกับชีวิตในอังกฤษให้เร็วที่สุด เขาเรียนภาษา เขาปรับตัวกับอุณหภูมิที่ต่ำกว่าที่เขาคิด และพยายามอย่างมากกับการซ้อมที่แตกต่างกว่าตอนที่เล่นในอาร์เจนตินาหลายเท่า
"นักฟุตบอลอาชีพคือการลงมือทำอะไรหลายสิ่งด้วยความพยายามแม้สิ่งนั้นจะไม่ใช่สิ่งที่คุณชอบทำก็ตาม คุณต้องเสียสละตัวเอง และนั่นคือสิ่งที่ผมตั้งเป้าหมายที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับตัวเองและอาชีพที่คุณต้องมีระเบียบวินัยเพื่อรักษามัน" โซลาโน่ กล่าว โดยเขาบอกว่าช่วงเวลา 3 เดือนแรกคือช่วงเวลาที่ยากที่สุด แต่หลังจากที่ผ่านตรงนั้นด้วยความตั้งใจ ... เขาจึงพบว่าอะไรก็ไม่ใช่เรื่องยากเกิน ถ้าเรามีเป้าหมายที่แน่วแน่จริง ๆ
"ผมพยายามเป็นนักฟุตบอลที่เก่งขึ้นทุกวัน และผมใช้พยายามใช้ชีวิตให้มีความสุขที่สุดด้วยที่อังกฤษ เราซ้อมกันวันจันทร์อังคาร และหยุดกันในวันพุธ ซึ่งคืนวันวันอังคาร ผมจะไปที่ไนท์คลับร้านประจำ ผมไม่ได้ไปเพื่อกินดื่ม แต่ผมไปฟังดนตรี ซึ่งมันเป็นอีกพาร์ทหนึ่งที่ช่วยเติมเต็มให้ชีวิตของผม"
มีนักเตะไม่กี่คนที่เล่นฟุตบอลเป็นหลัก และในบางช่วงเวลาก็รับจ็อบเล่นดนตรีซัลซ่าแบบอเมริกาใต้เป็นงานเสริม โซลาโน่ เป็นคน ๆ นั้น เคล็ดลับของคนที่สามารถทำงานหนักได้ทุกวันแบบเขา คือการไม่ลืมที่จะมอบความสุขและเติมเชื้อไฟให้จิตวิญญาณของตัวเอง
เขาเป่าทรัมเป็ตด้วยลีลาที่เร่าร้อนในคืนที่เป็นฟรีไนท์ ความเชี่ยวชาญในการเล่นดนตรีของเขาอยู่ในระดับที่คนที่ได้ฟังสามารถโยกหัวและลุกมาเต้นตามได้ไม่ยาก เช่นเดียวกับด้านฟุตบอลที่เขาถ่ายทอดมันออกมาผ่านสไตล์การเล่นที่ไม่เหมือนกับใคร และไม่เคยมีนักเตะอเมริกาใต้คนไหนที่ฝากผลงานระดับที่เขาทำได้เลยในช่วงเวลากับ นิวคาสเซิล
โซลาโน่ พัฒนาตัวเองขึ้นมาก โดยเฉพาะในช่วงที่ นิวคาสเซิล มีกุนซือชื่อ เซอร์ บ็อบบี้ ร็อบสัน เขาบอกว่า "ความสุดยอดของทีมชุดนั้นคือ เซอร์ บ็อบบี้ พยายามสร้างทีมโดยให้ทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสโมสรได้มีส่วนร่วม มันจึงเป็นช่วงเวลาที่พวกเราเล่นฟุตบอลกันแบบมีความสุขมาก เราได้ไปเล่นฟุตบอลยุโรป และทุกทริปที่ออกไปเยือนประเทศต่าง ๆ มันเหมือนว่าคุณได้ไปเที่่ยวกับปู่ของคุณ"
ในด้านของฟุตบอลนั้น เซอร์ บ็อบบี้ ร็อบสัน เป็นคนที่สอนให้เขาเล่นเป็นวิงเกอร์แบบอังกฤษพันธุ์แท้ แม้จะไม่เร็วมาก แต่ฟุตบอลที่ออกจากเท้าทุกลูกต้องมีความหมายและสร้างประโยชน์ให้กับทีม โดย โซลาโน่ เองก็พยามฝึกเรื่องการยิงฟรีคิกเพิ่มเติมตลอดเพื่อเอามันมาทดแทนเรื่องร่างกายของเขาที่ตัวค่อนข้างเล็ก ซึ่งผลที่ออกมาจากความพยายาม บวกกับการมีครูที่ดี และมีเพื่อนร่วมทีมที่ช่วยเหลือกัน มันทำให้ โซลาโน่ กลายเป็นขวัญใจของแฟนบอลชาวจอร์ดี้ได้อย่างไม่ยากเย็น แม้แต่ เซอร์ บ็อบบี้ ยังอธิบายถึงความสามารถของ โซลาโน่ ได้อย่างตรงไปตรงมาไม่ต้องตีความเพิ่มว่า "นี่คือนักเตะต่างชาติที่ดีที่สุดเท่าที่สโมสรนี้เคยมี"
และเมื่อเขาถูกสื่อถามว่า โนลแบร์โต้ โซลาโน่ เป็นนักเตะที่เก่งเรื่องไหนบ้าง เซอร์ บ็อบบี้ ก็อธิบายเพิ่มเติมว่า "คุณมีเวลาฟังนานแค่ไหนล่ะ ? .. ผมจะสรุปสั้น ๆ ว่าเขาเป็นนักเตะที่เฉลียวฉลาด เข้าใจจังหวะการเล่นของทีมเป็นอย่างดี เลี้ยงบอลได้ จบสกอร์ได้ และเหนือสิ่งอื่นใดหมอนี่เป็นคนที่น่ารักมาก ๆ และผมสามารถรับรองด้วยตัวเองเลยว่า ที่ผมพูดมามันเป็นแบบนั้นจริง ๆ" ตำนานกุนซือของ นิวคาสเซิล กล่าว
โซลาโน่ กลายเป็นที่รักของทุกคนในทีมเมื่อเวลาผ่านไป จากคนที่มาใหม่กลายเป็นผู้นำในห้องแต่งตัว เขาเป็นเพื่อนซี้ที่มักจะแซว อลัน เชียเรอร์ ตำนานประจำทีมว่า เหตุผลที่ เชียเรอร์ ได้เป็นดาวซัลโวตลอดกาลพรีเมียร์ลีก ครึ่งหนึ่งมาจากแอสซิสต์ของเขา ขณะที่ เชียเรอร์ ก็มักจะแซวกลับว่า ข้าเองก็เรียกฟาวล์ให้เอ็งได้ยิงฟรีคิกจนดังเหมือนกันล่ะวะ
สิ่งที่ยอดเยี่ยมนอกจากการเป็นมนุษย์ที่หัวใจเปิดกว้างและเป็นที่รักของทุกคน ก็คือการไม่เคยละเลยหน้าที่ของตัวเอง ... โซลาโน่ กลายเป็นนักเตะที่รักษามาตรฐานตลอดการเล่นให้กับ นิวคาสเซิล ครั้งแรกเป็นเวลา 6 ปี และในช่วงที่พีกที่สุด แม้แต่ ลิเวอร์พูล ก็เคยพยายามที่จะซื้อตัวเขาไปร่วมทีมมาแล้ว
"มีอยู่ช่วงหนึ่งหลังปี 2004 ที่ผมย้ายไปอยู่กับ แอสตัน วิลล่า ได้ 2 ปี และสัญญาผมกำลังจะหมดลง ราฟา เบนิเตซ ผู้จัดการทีม ลิเวอร์พูล เคยโทรมาหาผมด้วยตัวเอง และผมเป็นเกียรติมาก ๆ ที่เขาอยากจะได้ผมไปอยู่ในทีม ... แต่ก็อย่างว่า ผมเหมือนกับเป็นลูกของชาวจอร์ดี้ ผมผูกพันกับที่นี่ อีกทั้งยังตกลงกับ เชียเรอร์ และ สตีฟ ฮาร์เปอร์ ไปแล้วและพวกเขาย้ำนักย้ำหนากับผมว่า 'แกต้องกลับมาเล่นที่นี่นะโว้ย' แล้วแบบนั้นคุณจะปฏิเสธเพื่อนของคุณได้เหรอ ?"
แม้ในบทความนี้เราจะไม่ได้กล่าวถึงว่าเขายิงประตูไปมากเท่าไร แอสซิสต์ไปกี่ครั้ง แต่ในความสำคัญของเรื่องนี้ก็คือ โซลาโน่ คือต้นแบบของนักเตะที่อยู่ไกลบ้าน และตั้งใจจะทำให้ทุกคนตกหลุมรัก ยอมรับตัวตนของเขาด้วยการทำงานหนักในสนาม และเป็นคนที่เป็นมิตรเมื่ออยู่นอกสนาม หลัก ๆ แล้วเขาเล่นในอังกฤษอยู่ถึง 13 ปี ก่อนจะแขวนสตั๊ดกับทีม ฮาร์ทลี่ย์พูล ยูไนเต็ด ในฤดูกาล 2011-12
แม้ ณ เวลานี้ นิวคาสเซิล อาจจะมีนักเตะต่างชาติเก่ง ๆ มากมาย แต่ดูเหมือนว่าทุกครั้งที่มีการโหวตนักเตะต่างชาติขวัญใจแฟนบอล ชื่อของ น็อบบี้ โซลาโน่ จะเป็นผู้ชนะในโพลสำรวจเสมอ ... เรียกได้ว่าช่วงเวลาที่เขาฝากไว้กับ นิวคาสเซิล คือช่วงเวลาที่ประสบความสำเร็จในแบบของตัวเอง ต่อให้ไม่มีถ้วยแชมป์ แต่บางครั้งคนเราก็สามารถเป็นความทรงจำที่ยิ่งใหญ่ของใครหลาย ๆ คนได้ ด้วยการพยายามทำสิ่งต่าง ๆ ออกมาอย่างสุดความสามารถ และไม่เคยบกพร่องต่อหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ... ซึ่งสำหรับเขา นั่นคือการตอบแทนความไว้ใจที่ดีที่สุดเสมอ นั่นคือสิ่งที่ โนลแบร์โต้ โซลาโน่ เชื่อจนกระทั่งทุกวันนี้
แหล่งอ้างอิง :
https://en.wikipedia.org/wiki/Nolberto_Solano
https://www.telegraph.co.uk/football/2024/08/25/nobby-solano-diego-maradona-free-kicks-newcastle-swearing/?ICID=continue_without_subscribing_reg_first
https://www.vice.com/en/article/the-cult-nobby-solano/
https://www.themag.co.uk/2023/08/my-newcastle-united-why-i-loved-nolberto-solano/
https://www.fourfourtwo.com/features/nolberto-solano-recalls-day-he-turned-down-liverpool-a-return-newcastle
https://www.theguardian.com/football/2011/oct/07/nolberto-solano-english-boys-lazy