เปแอสเช เคยโดนปรามาสว่าเป็นทีมที่ใช้ดาราแบก และยากที่จะประสบความสำเร็จในรายการอย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก มาโดยตลอด
จาก ซลาตัน อิบราฮิโมวิช มา เนย์มาร์, ลิโอเนล เมสซี่ และ คีลิยัน เอ็มบัปเป้ แข้งระดับโลกเหล่านี้เข้ามา และออกไปโดยไม่สามารถทำทีมพิชิตภารกิจหลักในถ้วยยุโรปได้เลย
ทว่าในซีซั่น 2024-25 ที่พวกเขาไม่มีดารานำ กลับกลายเป็นหลายคนกำลังบอกว่า "นี่คือทีม เปแอสเช ชุดที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์"
มันเป็นไปได้อย่างไร ? หาคำตอบกับ Main Stand
กระดุมเม็ดแรก
ทันทีที่กลุ่มทุน Qatar Sports Investments หรือ QSI เข้ามาเทคโอเวอร์สโมสร ปารีส แซงต์ แชร์กแมง เป้าหมายของทีมนี้ก็ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่การแย่งแชมป์ลีกในประเทศฝรั่งเศสอีกแล้ว เพราะจุดหมายปลายทางที่พวกเขาตั้งไว้คือการเปลี่ยนให้ทีมจากเมืองหลวงทีมนี้กลายเป็นสโมสรฟุตบอลที่เก่งกาจที่สุดในโลก
ไม่ต้องย้อนอะไรให้มากความ นับตั้งแต่ปี 2011 เป็นต้นมาที่มีการเปลี่ยนเจ้าของทีม เปแอสเช กลายเป็นทีมที่เขย่าทุกตลาดซื้อขาย ไม่ว่าจะเป็นการใช้จ่ายกับนักเตะอย่าง ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ไล่เรียงมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงยุค "3 ราชา" อย่าง เนย์มาร์, คีลิยัน เอ็มบัปเป้ และ ลิโอเนล เมสซี่ ปัจจุบันผ่านมา 10 กว่าปี เปแอสเช ใช้เงินกับนักเตะไปทั้งหมดเกินหลัก 1 พันล้านยูโรไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
อย่างไรก็ตาม ขุมกำลังที่แข็งแกร่งก็ใช่ว่าจะการันตีแชมป์ เพราะทีมฟุตบอลที่จะประสบความสำเร็จในระดับสูงสุดล้วนต้องเป็นทีมที่ "ทุกคนในองค์กร" มีเป้าหมายเดียวกัน มองสิ่งเดียวกัน และลงมือทำอย่างจริงจังทุกภาคส่วน
เปแอสเช มีเกือบครบทุกอย่าง ทั้งบอร์ดบริหารที่พร้อมทุ่มไม่อั้น, ระบบอคาเดมี่ที่มีคุณภาพ, นักเตะชุดใหญ่ที่พิสูจน์ตัวเองมาแล้วว่าเก่งจริง รวมถึงโค้ชมือดีที่สามารถควบคุมเหล่าสตาร์ให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้ ... เพียงแต่ว่าโค้ชคุณสมบัติดังกล่าวไม่ค่อยจะอยู่กับทีมยืดนัก เพราะที่นี่ไม่มีที่ว่างให้ความผิดพลาด และแทบไม่มีเวลาให้คุณได้เรียนรู้แบบค่อย ๆ เริ่มนับ 1 เหมือนที่อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเวลาที่พวกเขา "ใช้ซูเปอร์สตาร์เป็นศูนย์กลางของทีม" จนกระทั่งสตาร์คนสุดท้ายได้จากทีมไปในซัมเมอร์ปี 2024 ที่ผ่านมา
คีลิยัน เอ็มบัปเป้ ก้าวขึ้นมาเป็น 1 ในตองอูของโลกลูกหนังตั้งแต่อายุยังน้อย เขามาอยู่กับ เปแอสเช เมื่อปี 2017 ด้วยราคา 150 ล้านปอนด์ ด้วยวัยเพียง 19 ปีเท่านั้น (ยืมตัวจาก โมนาโก 1 ซีซั่น ก่อนซื้อขาดในปี 2018) และทุก ๆ ปีผ่านไป เอ็มบัปเป้ ก็กลายเป็นคนสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยความที่เขาเป็นชาวฝรั่งเศส เป็นตัวชูโรงของสโมสร, ลีกเอิง และทีมชาติ เปแอสเช จึงให้สิทธิพิเศษต่าง ๆ แก่เขามากเป็นพิเศษ
สิ่งต่าง ๆ ที่ เอ็มบัปเป้ ได้แสดงให้เห็นถึงการเป็นคนที่สโมสรหมายมั่นปั้นมือให้เป็นไอคอนในระยะยาว คุณสามารถเข้าใจได้ในทันในวันที่ เปแอสเช ปล่อย เมสซี่, เนย์มาร์ และ เอ็มบัปเป้ ออกจากทีม สถานการณ์ทั้ง 3 คนนี้ไม่เหมือนกันเลย
สโมสรยินดีปล่อย เมสซี่ และ เนย์มาร์ ออกแบบไม่มีดราม่าอะไรมากมาย เป็นเรื่องของผลงานและความพึงพอใจของทั้งสองฝ่ายทั้งสิ้น โดย เมสซี่ โดนแฟนบอลของตัวเองโห่เพราะไม่พอใจที่เล่นเหมือนไม่เต็มที่ ไม่ขยัน ขาดแพชชั่น ทิ้งหัวใจไว้ที่ บาร์เซโลน่า ทีมเก่า ขณะที่ เนย์มาร์ ก็เจ็บบ่อยจนมีข่าวลือว่าเจ็บปลอมอยู่บ่อยครั้ง
แต่กับ เอ็มบัปเป้ มันเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต แม้กระทั่งตอนนี้ก็ยังมีเรื่องกันไม่จบ ดราม่าย้ายทีมแบบรัก 3 เส้าระหว่าง เอ็มบัปเป้, เปแอสเช และ เรอัล มาดริด ก่อตัวมาตั้งแต่ปี 2021 แต่ เปแอสเช ก็รั้งทุกวิถีทาง ซึ่งสุดท้ายก็ทำได้แค่ซื้อเวลา เพราะที่สุดแล้ว เอ็มบัปเป้ ก็โบกมือลาพวกเขาอยู่ดี แถมมีข่าวหลุดเรื่องการย้ายทีมก่อนซีซั่น 2023-24 จะจบอยู่หลายเดือนเลยทีเดียว
ในยุคของ เอ็มบัปเป้ นั้น สโมสรกวาดแชมป์ในประเทศเป็นว่าเล่น แต่ในฟุตอบลยุโรปนั้น น่าเสียดายที่ไม่เคยไปถึง เปแอสเช ทำได้แค่รองแชมป์ในปี 2020 เท่านั้น ... ดังนั้นจะบอกว่าประสบความสำเร็จแบบเต็มปากก็คงพูดไม่ได้ถึงขั้น แต่เอาเป็นว่า เอ็มบัปเป้ เก่งแค่ไหนทุกคนรู้ แต่เขายังไม่เคยแบกทีมจนถึงถ้วยที่เป็นเป้าหมายได้ เรื่องนี้ เปแอสเช ทำใจยอมรับ และตื่นตัวตั้งแต่เนิ่น ๆ เอาไว้แล้ว ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมในซีซั่นนี้ จึงมีการพูดกันว่า "เปแอสเช ในวันที่ไม่มี เอ็มบัปเป คือทีมที่ดีกว่าเดิม ?"
ซึ่งอันที่จริง ไม่ต้องอ้างอิงพาดหัวจากสื่อก็ได้ เพราะเรื่องนี้กุนซือของทีมอย่าง หลุยส์ เอ็นริเก้ เป็นคนออกมายืนยันด้วยตัวของเขาเอง และเขามีเหตุผลยืนยันว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ?
เตรียมพร้อมสำหรับยุค Post-เอ็มบัปเป้
หลุยส์ เอ็นริเก้ เป็นโค้ชชาวสเปนที่ขึ้นชื่อเรื่องระบบการเล่นเป็นพิเศษ หลายคนบอกว่าเขาเป็นโค้ชที่คิดมาก และมีการเปลี่ยนทีมหรือจัดการทีมที่ค่อนข้างซับซ้อน แต่ตัวของเขาอธิบายเสมอนับตั้งแต่เข้ามาทำทีม เปแอสเช นั่นก็คือ เขาอยากที่จะให้ทีม ๆ นี้ กลายเป็นทีมที่มีศักยภาพรอบด้าน มีความเข้าใจร่วมกัน และเหนือสิ่งอื่นใดคือการมีระบบการเล่นที่ชัดเจน ชนิดที่ใครเห็นต้องร้องอ๋อ และรู้ทันที่ว่านี่เป็นฟุตบอลในสไตล์ของ เปแอสเช
แนวคิดดังกล่าวค่อนข้างแตกต่างจากทีม เปแอสเช ยุคก่อนที่เขาจะเข้ามา และมันดูเป็นไปไม่ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอน เอ็มบัปเป้ อยู่ เพราะทีมยังต้องพึ่งพาเขามาก ซึ่งไม่ใช่ความผิดของ เอ็มบัปเป้ แต่อย่างใด เพราะนี่คือนักเตะที่เก่งจริง และสามารถเปลี่ยนผลการแข่งขันให้กับทีมได้เสมอที่มีโอกาส
อย่างไรก็ตาม ช่วงที่ทุกคนในทีมรู้กันว่า เอ็มบัปเป้ จะไม่อยู่กับทีมต่อไปอีกแล้วในซีซั่นหน้า ก็เป็นช่วงเวลาที่ดีมาก ๆ สำหรับ เอ็นริเก้ ที่จะเซตทีมใหม่ และเขาได้ทดลองใช้ชีวิตในวันที่ไม่มี เอ็มบัปเป้ มากลาย ๆ แล้วในช่วงเวลานั้น
"ฟุตบอลเป็นกีฬาที่ซับซ้อนเพียงพอที่ทีมที่มีผู้เล่นที่ดีที่สุดจะไม่ชนะเสมอไป ผมขอย้ำอีกครั้งว่าผมเชื่อมั่นว่าไม่ว่าผู้เล่นจะอยู่ที่นี่หรือไม่ก็ตาม เราจะเป็นทีมที่ดีขึ้นในปีหน้า" นี่คือสิ่งที่ เอ็นริเก้ ตอบเมื่อนโดนนักข่าวถามเรื่องการย้ายทีมของ เอ็มบัปเป้
ในช่วงที่ เอ็มบัปเป้ มีข่าวว่าตกลงกับ มาดริด แล้ว เอ็นริเก้ ก็เริ่มดรอปเขาเป็นตัวสำรอง หรือให้เล่นไม่เต็มเกมบ่อยขึ้น เอ็นริเก้ บอกว่านั่นไม่ใช่วิธีที่เขาแก้แค้นหรือตอบโต้การกระทำของสตาร์เบอร์ 1 แต่อย่างใด แต่มันคือการเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับทีม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมองเผื่อไปยังอนาคตอีก 1 ปีข้างหน้า เพราะถ้าวันนั้นมาถึงจริง ๆ นักเตะในทีมของเขาจะพร้อมที่จะเป็นกำลังสำคัญในแบบที่ตัวเองถนัดขึ้นมาทั้งทีม ไม่ใช่การหวังให้ใครคนหนึ่งท็อปฟอร์มในเกมสำคัญเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
"ผมจำเป็นที่ต้องทำอย่างนั้น (ดรอป เอ็มบัปเป้ ในช่วงครึ่งหลังของซีซั่น) เพราะเราทุกคนจำเป็นต้องชินกับการที่ คีลิยัน ไม่ได้ลงสนาม เรื่องนี้ผมเข้าใจว่าไม่ช้าก็เร็วมันจะต้องเกิดขึ้นแน่"
"ผมตัดสินใจทำในสิ่งที่เหมาะสมเพื่อทีม และ คีลิยัน จะลงหรือไม่ลงก็ได้ ทุกคนต้องเดินหน้า และทีมต้องไปต่อ เหมือนกับที่โค้ชทุกคนต้องให้ความสำคัญกับภาพรวมผู้เล่นของตัวเองมากกว่า"
"ดังนั้นผมต้องการทำให้มั่นใจว่าทีมของผมจะพร้อมสำหรับการเดิมพันที่สูงที่สุดในซีซั่นหน้า ผมต้องการให้ผู้เล่น 11 ตัวจริงของ เปแอสเช คิดว่านี่คือโอกาสที่ดีที่พวกเขาจะแสดงสิ่งที่ดีที่สุดของตัวเองออกมา ผมจะให้โอกาสพวกเขาตั้งแต่ตอนนี้ และบอกให้เขารู้ว่าผมต้องการอะไรจากพวกเขา ทั้ง ณ เวลานี้ หรือในซีซั่นหน้า"
ต้องยอมรับว่า เอ็นริเก้ กล้ามากที่พูดแบบนี้ตั้งแต่ตอนที่ เอ็มบัปเป้ อยู่กับทีม และในช่วงเวลาที่ใครต่อใครก็บอกว่า เปแอสเช จะแย่แน่ ๆ เมื่อขาดคนที่ยิงประตูให้ทีมปีละ 30-40 ลูกตลอดหลายปีหลัง
ทว่าการเตรียมพร้อมก่อนตั้งแต่เนิ่น ๆ และการเชื่อมั่นในภาพรวม ที่ เอ็นริเก้ เตรียมเอาไว้ ดูเหมือนว่า ณ ตอนนี้ผู้คนจะพูดถึงเรื่องราวปีก่อน ๆ น้อยลงไปเรื่อย ๆ แล้ว เพราะสิ่งที่น่าสนใจกว่าก็คือ เปแอสเช ในเวลานี้ เป็นทีมที่ดีกว่าตอนที่มี เอ็มบัปเป้ อยู่ในทีมจริง ๆ ด้วยการปรับวิธีการเล่นแบบใหม่ให้เป็นลายเซ็นในแบบของ เปแอสเช โดยเฉพาะ
กระจายอำนาจ ... ฟาดด้วยความดุดัน
เอ็นริเก้ บอกว่านักเตะอย่าง เอ็มบัปเป้ พิเศษเกินกว่าจะหาตัวแทนได้ และตัวของเขาก็จะไม่มองหาคน ๆ นั้นมาเพื่อแทนที่ด้วย ... ซึ่งในช่วงเริ่มซีซั่นก็ต้องยอมรับว่าพวกเขาไม่มีนักเตะคนไหนขึ้นมายิงประตูทดแทน เอ็มบัปเป้ ได้จริง ๆ หนำซ้ำผลงานในถ้วยที่ทีมหวังแบบสุด ๆ อย่าง แชมเปี้ยนส์ลีก ก็หลุดฟอร์ม จนถึงขั้นกระเด็นจากตัวเต็งเข้ารอบน็อกเอาต์ กลายเป็นที่ต้องไปเล่นรอบเพลย์ออฟ แบบค่อนข้างทุลักทุเล
แต่สิ่งที่เห็นได้ก็คือบอร์ดบริหารของทีมแน่วแน่และให้โอกาส เอ็นริเก้ ทำงานที่กดดันนี้ โดยที่แทบจะไม่ได้กดดัน หรือมีข่าวว่าจะปลด เอ็นริเก้ เลยแม้แต่น้อย เอ็นริเก้ เองก็ยอมรับว่า การที่ให้เขาทำงานตามโปเจ็กต์ระยะยาว คือสิ่งสำคัญที่ทำให้เขาค่อย ๆ เปลี่ยนทีมชุดนี้ได้
เพื่อให้เข้าใจง่ายที่สุด คุณจะพบว่าฟุตบอลของทีมที่มีสตาร์แบกเหมือนตอนที่ เอ็มบัปเป้ อยู่กับ เปแอสเช ก็คือ ทุกคนจะคาดหวังให้ เอ็มบัปเป้ แสดงฟอร์มที่ดีที่สุดออกมา โดยเฉพาะในเกมที่สำคัญ ๆ และทุกครั้งที่ทีมแพ้หรือเล่นไม่ดี นักเตะอย่าง เอ็มบัปเป้ จะต้องเป็นคนที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดเสมอ ... แต่ตอนนี้ทุกคนรับผิดชอบร่วมกันทั้งเกมรุก และเกมรับ เมื่อเสียบอล หน้าที่ที่จะแย่งบอลกลับมาครอบครอง เป็นหน้าที่ของทุกคน
ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป นักเตะทุกคนก็เข้าใจสิ่งที่เขาจะสื่อ นักเตะหลายคนอาจจะไม่ได้ดังเป็นพลุแตกหรือมีดีกรีสูง ๆ เหมือนยุคอดีต แต่เมื่อลงสนามแล้ว ทำผลงานออกมาได้ดีมาก ๆ พัฒนาขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดอาทิ เจา เนเวส ที่กลายเป็นตัวหลักในแดนกลางของทีมชุดนี้ร่วมกับ วิตินญ่า ขณะที่ในเกมรุก แบรดลี่ย์ บาร์โคล่า นักเตะดาวรุ่งที่ดึงมาจาก ลียง กับตำแหน่งตัวรุกฝั่งซ้าย ที่เร็วและอันตราย ส่วนคนอื่น ๆ หลายคนก็ถือว่าเป็นนักเตะที่อยู่ในช่วงวัยที่จะพัฒนาจากนักเตะที่ดี กลายเป็นนักเตะระดับแถวหน้าของยุโรป เช่น กอนซาโล่ รามอส, อี คัง อิน, เดสิเร ดูเอ้, วิลเลี่ยม ปานโช่ และ วอร์เรน ซาอีร์-เอเมรี่
ถ้าคุณจะตัดสินพวกเขาจากสถิติ คุณจะพบว่า เปแอสเช ทีมนี้คือทีมเดียวใน 5 ลีกยุโรปที่ยังไม่แพ้ใครในเกมลีกซีซั่นนี้ พวกเขามีอัตราการวิ่งเฉลี่ยของนักเตะทั้งทีมเพิ่มขึ้นถึง 9 กิโลเมตรต่อ 1 เกมจากปีที่แล้ว, พวกเขามีสถิติเข้าแท็คเกิลมากกว่าเดิม, เก็บแต้มได้เฉลี่ยเกมละ 2.6 แต้ม มากกว่าปีที่แล้วที่ได้แค่ 2.2 แต้ม เหนือสิ่งอื่นใด พวกเขามีนักเตะที่ยิงประตูได้มากกว่า 10 ลูกถึง 4 คนได้แก่ รามอส, บาร์โคล่า, อุสมาน เดมเบเล่ และ ดูเอ้ ขณะที่ทั้งทีมมีนักเตะถึง 18 คนที่ยิงประตูให้ทีมได้ในซีซั่นนี้ ... นี่คือสิ่ง เอ็นริเก้ อยากเห็นมาตลอด
"ผมเคยพูดเอาไว้แบบไม่กลัวทัวร์ลงในปีที่แล้วว่า ณ ปีนี้ เราจะเป็นที่ดีขึ้นทั้งเกมรุกและรับ ซึ่งตอนนี้ในแง่ของตัวเลขมันบอกแบบนั้น และนักเตะในทีมทุกคนก็เข้าใจโจทย์ที่ผมตั้งไว้ สิ่งที่เราพยายามทำในเวลานี้ ทำให้พวกเขาแต่ละคนฮึกเหิม และมองว่าเป็นภารกิจที่ท้าทาย"
"ทีมกำลังตอบสนองในเชิงบวก และกำลังเล่นฟุตบอลในระดับที่ยอดเยี่ยม สิ่งที่ผมพูดเสมอก็คือ แทนที่จะมีคนที่ยิงได้ 40 ประตู ผมต้องการให้ทุกคนทุกตำแหน่งเป็นนักเตะที่สามารถยิงประตูได้ ... และตอนนี้เรามีผู้เล่นที่ยิงประตูได้เยอะหลายคน นี่คือเป้าหมาย และนักเตะในทีมก็พัฒนาตัวเองขึ้นมามากในปีนี้ ซึ่งเราสามารถพูดได้เลยว่าทีมชุดนี้เติบโตและมีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด" เอ็นริเก้ กล่าว
ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้นที่ย้ำเรื่องนี้บ่อย ๆ กุนซือของ โมนาโก อย่าง เอดี้ ฮุตเตอร์ ที่ปีนี้เล่นเกมกับ เปแอสเช ไป 2 เกม ในช่วงเดือนธันวาคม 2024 (เปแอสเช บุกชนะ 4-2) กับช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2025 (เปแอสเช เปิดบ้านชนะ 4-1) ก็บอกตรงกัน เขาบอกว่า เปแอสเช ในตอนนี้เป็นคนละทีมกับตอนที่เจอกันครั้งแรก และในความคิดของเขา นี่อาจจะเป็น เปแอสเช ชุดที่ดีที่สุดที่เขาเคยดวลด้วย
"เปแอสเช ชุดนี้ขยับไปอีกระดับเรียบร้อย พวกเขาเป็นทีมแข็งแกร่งในองค์รวม เล่นได้น่าประทับใจ และหลายคนโดดเด่นขึ้นมาก ... ผมว่าตอนนี้พวกเขาไม่ต่างจากทีมแถวหน้าของยุโรปแล้ว" ฮุตเตอร์ กล่าว ขณะที่ เดนิส ซากาเรีย กัปตันของ โมนาโก ก็ให้สัมภาษณ์ตรงกันว่า "นับตั้งแต่ที่มาเล่นที่นี่ ผมไม่เคยเห็น เปแอสเช ชุดไหนเล่นได้แข็งแกร่งเท่าชุดนี้มาก่อน"
เอ็นริเก้ อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับนักเตะแนวรุกชุดนี้ที่กำลังเข้าฝักกันพร้อมหน้าว่า เกิดจากการให้อิสระในการตัดสินใจแก่นักเตะอย่างเต็มที่ โดยตัวของเขาจะมีกรอบกว้าง ๆ ในแง่ของวิธีการเล่นแลผลลัพธ์ที่ต้องการเอาไว้ ส่วนนักเตะจะไปถึงจุดหมายนั้นด้วยวิธีไหนก็ขึ้นอยู่กับความถนัดของแต่ละคน
ซึ่งคนที่โดดเด่นชัด ๆ ขึ้นมาเลยก็คือ อุสมาน เดมเบเล่ นักเตะที่ปีนี้ซัดไปถึง 24 ประตู ซึ่ง เอ็นริเก้ ให้อิสระในการเคลื่อนที่ของเขา ไม่จำเป็นต้องยืนชิดเส้นเป็นปีกอย่างเดียวเหมือนในอดีต เขา รามอส และ บาร์โคล่า รวมถึงผู้มาใหม่อย่าง ควิชา ควารัตสเคเลีย จะได้รับอิสระในการสลับตำแหน่งเวลาที่ทีมเล่นเกมรุก และเช่นเดียวกันคือเมื่อเสียบอล แนวหน้าเหล่านี้จะเป็นปราการด่านแรกในการไล่เพรสซิ่งเอาบอลกลับมาให้ทีม
"อุสมาน แสดงให้เห็นว่าเขาจะอันตรายกว่าถ้าเขาได้ขยับตัวเคลื่อนไหวอย่างอิสระ นี่คือนักเตะที่หาวิธีการเข้ากรอบเขตโทษได้ดี ตอนนี้ผมลองให้เขาเล่นปีกและสลับเข้ามาเป็นกองหน้าบ้างใยบางจังหวะที่เหมาะสม และกลายเป็นว่าทุกคนได้ประโยชน์จากบทบาทใหม่ของเขาเป็นอย่างมากไม่ว่าจะตอนที่มีบอล หรือไม่มีบอลอยู่กับตัวก็ตาม" เอ็นริเก้ ยืนยัน
ขณะที่ในเกมรับนั้น ก็ได้มุมมองจากอดีตโค้ชชาวสวิสอย่าง ลูเซียน ฟาร์ฟ ที่เพิ่งวิจารณ์ฟอร์มของ ปารีส ในซีซั่นนี้ว่า นักเตะในทีม ๆ นี้แย่งบอลเก่งขึ้น ... ไม่ใช่แค่ขยันขึ้น แต่เป็นการแย่งบอลถูกวิธี ได้บอลมากขึ้น แม่นยำขึ้น เสียฟาวล์น้อยลง ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญของทีมจุดนี้อีก 1 ดอก
"เปแอสเช ชุดนี้มีการจัดระบบเรื่องการเข้าแย่งบอลได้ดีมาก ๆ พวกเขาลงเล่นแต่ละเกมโดยไม่ได้เป้าหมายที่จะทำร้ายคู่ต่อสู้ แต่พวกเขามีศิลปะในการแย่งบอลมากขึ้นเยอะ พวกเขาทำได้พร้อมเพรียง แม่นยำ และแทบจะไม่เสียใบเหลืองเลย นี่คือสิ่งที่ยอดเยี่ยมมากที่ได้เห็น ... ทุกคนมีส่วนร่วมมากขึ้น พวกเขาวิ่งกันเยอะขึ้น และการแย่งบอลนี่แหละที่เปลี่ยนแปลงทุกอย่าง" ฟาร์ฟ วิเคราะห์ผ่าน Le10Sport
ทั้งหมดนี่ว่ามาจะจริงหรือไม่ นี่เป็นโอกาสมาก ๆ ที่เราจะได้เห็นพร้อม ๆ กันเพราะคู่แข่งของ เปแอสเช ในแชมเปี้ยนส์ลีกคือ ลิเวอร์พูล ว่าที่แชมป์พรีเมียร์ลีก และทีมที่มีผลงานที่ดีที่สุดในเวทียุโรปซีซั่นนี้ ... ซึ่งโดยปกติฟุตบอลแบบลิเวอร์พูล เป็นทีมที่ เปแอสเช ในยุคก่อนแพ้ทางมาตลด เพราะพวกเขาวิ่งน้อยกว่า และมีความเป็นทีมน้อยกว่า
ดังนั้นหากสิ่งที่ เอ็นริเก้ พูดเสมอว่านี่คือทีมที่ดีขึ้นทั้งตอนมีบอลและไม่มีบอลเป็นเรื่องจริง เราอาจจะได้เห็นคู่แข่งที่ตึงมือที่สุดเท่าที่ลิเวอร์พูลเคยเจอในซีซั่นนี้ก็เป็นได้
แหล่งอ้างอิง
https://apnews.com/article/french-league-psg-enrique-f7ac4a759dc40b40ff7fa7a8e100671a
https://en.parisfans.fr/psg-monaco-luis-enrique-on-tactical-changes-kvaratskhelia-and-hakimi.html
https://www.daveockop.com/latest-news/luis-enrique-reveals-what-psg-are-not-going-to-change-against-liverpool/
https://sports.yahoo.com/article/liverpool-alerted-why-psg-more-070300960.html
https://www.bbc.com/sport/football/68399200
https://www.theguardian.com/football/article/2024/may/28/kylian-mbappe-era-psg-luis-enrique-luis-enrique
https://sportstar.thehindu.com/football/luis-enrique-jab-kylian-mbappe-psg-vs-monaco-ligue-1-2024-25-title-race/article69189047.ece
https://www.si.com/soccer/psg-coach-says-psg-are-better-now-without-kylian-mbappe