นับตั้งแต่ รุด ฟาน นิสเตลรอย เข้ามาคุมทีม เลสเตอร์ ซิตี้ ช่วงกลางเดือนธันวาคม 2024 ล่วงเลยมาถึงตอนนี้ก็เกือบ ๆ 3 เดือน และปรากฏว่า "เดอะ ฟ็อกซ์" คือทีมที่มีผลงานโดยรวมแย่ที่สุดในบรรดา 20 ทีมพรีเมียร์ลีก
ไม่ว่าจะด้วยเรื่องการเก็บแต้ม หรือสถิติการเล่นในแง่ต่าง ๆ ดูจะทรุดไปหมด ... ทั้ง ๆ ที่ตอนเริ่มต้นมันช่างโป้งป้างโดนใจราวกับจะเป็นคนที่ใช่อยู่แล้วแท้ ๆ
เลสเตอร์ ในมือของ รุด มีอะไรผิดพลาดตรงไหน ? ติดตามทั้งหมดที่ Main Stand
หน้าที่เพื่อเข้ามาซ่อม
การเปลี่ยนโค้ชของ เลสเตอร์ ซิตี้ ในช่วงเดือนธันวาคม 2024 เกิดขึ้นจากปัญหาหลาย ๆ อย่างสะสมปนเปกันไป หลัก ๆ แล้วสิ่งที่เห็นชัดที่สุดก็คือเรื่องของกุนซือคนเก่าอย่าง สตีฟ คูเปอร์ ที่ไม่เคยเป็นที่นิยมในหมู่แฟนจิ้งจอกสยามเลย เรียกได้ว่าถ้าจะคิดสัดส่วนเป็นเปอร์เซนต์ ก็ต้องบอกว่ามีไม่ถึง 10% ที่เชื่อมืออดีตกุนซือของ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ รายนี้
เหตุผลหลัก ๆ ที่แฟนบอลไม่ชอบ คูเปอร์ ไม่มีอะไรมากไปกว่าเรื่องผลงานที่ไม่ดีเก็บแต้มได้น้อยมาก 13 เกมที่ คูเปอร์ คุม เลสเตอร์ เขาพาทีมชนะ 2 เสมอ 4 และแพ้ไป 7 เกม เก็บไปได้แค่ 10 คะแนนเท่านั้น
นอกจากผลการแข่งขันที่ไม่ดี คะแนนที่น้อยกว่าที่คาดหวังไว้แล้ว เรื่องวิธีการเล่นของทีมยังจัดว่าแย่หนักมาก คูเปอร์ พยายามทำให้ทีมเล่นแบบเจียมตัว ตั้งรับแน่น ๆ ซื้อผลการแข่งขันเสมอไว้ก่อน ส่วนเรื่องเกมบุกนั้นว่ากันแบบจังหวะต่อจังหวะ และหวังพึ่งศักยภาพของนักเตะเกมรุกของทีมรังสรรค์กันเองเป็นหลัก ไม่ได้มีรูปแบบที่ชัดเจนมากนัก
ซึ่งการบุกน้อย เกมไม่สวย แถมพอตั้งรับก็ใช่ว่าจะได้ผลการแข่งขันที่ต้องการ ในช่วงที่ คูเปอร์ คุมทีม เลสเตอร์ คือทีมที่โดนคู่แข่งส่องประตูมากที่สุดในพรีเมียร์ลีก เกิดความผิดพลาดส่วนบุคคลที่นำไปสู่การเสียประตูมากที่สุดในพรีเมียร์ลีก และ แมดส์ เฮอร์แมนเซ่น ก็เป็นผู้รักษาประตูที่มีอัตราการเซฟสูงที่สุดในลีกเช่นกัน ... แค่ 3 สถิตินี้ก็แน่ชัดแล้วว่า ต่อให้ คูเปอร์ จะทำทีมเน้นเกมรับ แต่ก็ใช่ว่าเขาจะทำผลงานออกมาได้ดี
สุดท้ายบอร์ดบริหารของทีม ปลด คูเปอร์ ออกจากตำแหน่งเพื่อหาใครสักคนเข้ามาเปลี่ยนแปลงในทีมอีก 25 เกมที่เหลือ ซึ่งถือว่ามากโขสำหรับการตั้งลำขึ้นมาใหม่และพุ่งไปยังเป้าหมายการหนีตกชั้น
กุนซือที่เป็นตัวเลือกของ เลสเตอร์ ตามรายงานข่าวระบุว่าเบอร์ 1 คือ แกรม พ็อตเตอร์ เพราะสโมสรชอบในการที่เขาเป็นโค้ชหนุ่ม และมีคุณสมบัติของผู้สร้าง วางระบบให้กับทีมได้ดี ทว่า พ็อตเตอร์ กลับเลือกปฏิเสธ เลสเตอร์ ซิตี้ (ก่อนไปรับงานกับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ในเวลาต่อมา) นั่นทำให้เหลือม้าแค่ 2 ตัวนั่นคือ เดวิด มอยส์ ที่เพิ่งว่างงานในช่วงซัมเมอร์ และ รุด ฟาน นิสเตลรอย อดีตผู้ช่วย เอริค เทน ฮาก ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด และชายผู้พลิกฟื้นสถานการณ์ของทีมปีศาจแดงในเวลา 4 เกม ให้เป็นช่วงที่แฟนบอลปีศาจแดงสนุกกับการดูบอลที่สุดในฤดูกาล 2024-25
สุดท้ายบอร์ดบริหาร เลสเตอร์ ก็เลือก รุด ฟาน นิสเตลรอย เหนือ มอยส์ ด้วยเหตุผลของการเป็นโค้ชหนุ่มไฟแรง มีแนวทางการทำทีมที่ดูสนุกเร้าใจ ซึ่งเชื่อว่าการเลือกครั้งนี้เกิดจากประสบการณ์ของบอร์ด เลสเตอร์ ที่เคยลองกับโค้ชหนุ่มอย่าง เอ็นโซ่ มาเรสก้า มาในฤดูกาล 2023-24 ช่วงที่ตกไปเล่น เดอะ แชมเปี้ยนชิพ และ มาเรสก้า ทำทีมดีมาก ทั้งการได้ผลการแข่งขันที่ต้องการ มีแนวทางการเล่นที่แฟนบอลชอบ และยังวิ่งเข้าเป้าหมายหลัก นั่นคือการเลื่อนชั้นสู่ พรีเมียร์ลีก ในฐานะแชมป์ลีกรอง
ดังนั้นโดยสรุปแล้ว หน้าที่ของ รุด ฟาน นิสเตลรอย คือการเข้ามาซ่อมก่อนเป็นอันดับแรก สิ่งที่ต้องซ่อมคือเรื่องของขวัญกำลังใจของกลุ่มนักเตะที่มีข่าวว่า "ไม่เอา คูเปอร์" เรื่องวิธีการเล่นที่ไม่ชัดเจนแน่นอน จะรับก็ไม่ดี จะรุกก็ยังห่างไกลคำว่าดีไปเยอะ ซึ่ง รุด เองก็คุยเรื่องนี้อย่างเข้าใจและให้สัมภาษณ์ในวันเปิดตัวว่า นี่คืองานยากและท้าทาย แต่หน้าที่ของเขาคือการทำให้นักเตะเล่นฟุตบอลด้วยความสนุกอีกครั้ง ... ที่เหลือจะตามมาเอง
เริ่มดี ... แต่ผิดแผน
เกมแรกของ รุด ฟาน นิสเตลรอย กับ เลสเตอร์ นั้นผลงานออกมาสวยสดงดงาม พวกเขาเอาชนะ เวสต์แฮม ไปถึง 3-1 จากนั้นตามด้วยการโชว์สปิริตไล่ตีเสมอทีมฟอร์มแรงอย่าง ไบรท์ตัน 2-2 หลังโดนนำไป 0-2 ในช่วง 10 นาทีสุดท้ายของเกม
ณ ตอนนั้นทุกอย่างดูออกมาตามโจทย์ที่เขาให้สัมภาษณ์ก่อนรับงานทุกประการ นักเตะเล่นฟุตบอลกันด้วยมุ่งมั่นดุดัน ทีมมีทีเด็ดจากลูกสวนกลับเข้าทำเร็วตามแบบฉบับของ รุด และแฟนบอลก็มีความสุขกับทั้งผลการแข่งขันและวิธีการที่ปรากฏออกมา นอกจากนี้สื่อแทบทุกเจ้ายังบอกว่านักเตะในทีมให้ความเคารพ รุด เป็นอย่างมาก หากเทียบกับคนที่เพิ่งออกไปอย่าง คูเปอร์
เพียงแต่ว่าปัญหา คือสิ่งที่ทุกคนหลงลืมไปในช่วงเวลาแห่งความยินดี นั่นคือ "ประสบการณ์ของโค้ช"
หลังจาก 2 เกมแรกทำท่าจะดี ทุกทีมก็เริ่มเตรียมพร้อมรับมือและเล่นกับ เลสเตอร์ อย่างไม่ประมาทมากขึ้น โดย เอ็ดดี้ ฮาว กุนซือของ นิวคาสเซิล ที่เป็นกุนซือคนแรกที่ชนะ เลสเตอร์ ในยุคของ รุด ได้ให้สัมภาษณ์หลังเกมที่ เซนต์ เจมส์ พาร์ค ว่า "เลสเตอร์ เป็นทีมที่โต้กลับเร็วดี เราจึงจำเป็นจะต้องเน้นย้ำเรื่องการครองบอลที่แน่นอนมากกว่าเดิม ลดความเร็วของเกมลงสักเล็กน้อย รอจนถึงโอกาสที่เหมาะสมเท่านั้นเราจึงลงมือโจมตีในทันที" ซึ่งจบเกม นิวคาสเซิล ก็ถล่มไป 4-0
ว่ากันว่าโค้ชจะเก่งไม่เก่งให้ดูกันตรงที่ว่าเมื่อเกิดปัญหาขึ้นมา พวกเขาสามารถแก้ปัญหาได้ทันท่วงทีหรือไม่ ? ... ถ้าทำได้นั่นถือว่าพวกเขามีฝีมือ แต่ถ้ายิ่งแก้ยิ่งวุ่นเหมือนลิงแก้แห นั่นแหละเราจะได้เห็นปัญหาอีกมากมายตามมา ซึ่ง ณ ตอนนี้มันเหมือนจะเป็นแบบนั้น
นอกจากทุกทีมจะจับทาง เลสเตอร์ ได้แล้ว พวกเขายังมีปัญหานักเตะบาดเจ็บ โดยเฉพาะเหล่าแข้ง 3 ตัวสำคัญที่ถือเป็นตัวแบกทีมในแต่ละแดนได้แก่ เฮอร์แมนเซ่น ที่เซฟให้ทีมอุตลุด, วิลเฟร็ด เอ็นดิดี้ กองกลางที่ทั้งแย่งบอลและขึ้นมาประตูได้ และ เจมี่ วาร์ดี้ กองหน้าเป้าตัวเดียวที่พวกเขามีและใช้งานได้ ทั้ง 3 คนหายจากทีมไปไมน้อยกว่า 1 เดือน และทำแกนของทีมเสียไป จนประกอบ 11 ตัวจริงชุดที่ดีที่สุดไม่ได้อีกเลย
รุด ฟาน นิสเตลรอย เริ่มปรับจูนเปลี่ยนนักเตะหลายตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็นคู่เซ็นเตอร์แบ็ก ที่เขาว่ากันว่า "ไม่เจ็บไม่แบนไม่ควรเปลี่ยน" แต่ รุด ใช้คู่เซ็นเตอร์ไปแล้วถึง 5 คู่นับตั้งแต่ที่เขามารับงานนี้ ได้แก่ ยานนิค เวสเตอร์การ์ด คู่กับ คอเนอร์ โคอาดี้, เวาท์ ฟาส คู่กับ คาเล็บ โอโคลี่ และสลับคู่ทั้ง 4 คนเวียนวนกันไปแบบนี้ในหลาย ๆ เกม ซึ่งปรากฏว่ายิ่งแก้ยิ่งมีปัญหา ทีมเสียประตูทุกนัดนับตั้งแต่เขามาคุมทีม
พอกองหลังเสียประตูง่าย กองกลางเบรกเกมไม่อยู่ มันก็ยิ่งทำให้ รุด คิดมากเพิ่มขึ้น เช่นเรื่องของแนวรุก 3 ประสาน ที่ในช่วงแรก รุด ใช้กลุ่มคนหนุ่มอย่าง ฟาคุนโด้ บัวนาน็อตเต้, บิลัล เอล คานนูสส์ และ เคซี่ย์ แม็คเคเธียร์ เป็น 3 ตัวอยู่หลัง วาร์ดี้ กลายมาเป็นการใช้ชุด 3 ตัว 100 (ปี) อย่าง จอร์แดน อายิว, บ็อบบี้ คอร์โดวา รีด และ วาร์ดี้ ซึ่งผลที่ออกมาก็แย่หนักกว่าเดิม โดยเฉพาะเกมในบ้าน เลสเตอร์ ยิงประตูใครไม่ได้มา 6 เกมติดต่อกันแล้ว
ชัดเจนว่าตอนนี้มันเป็นเรื่องของการแก้ปัญหา ที่ยิ่งแก้ยิ่งวุ่น และ รุด ก็ไม่ได้มีประสบการณ์ขนาดที่จะเห็นปัญหาและรู้ว่าควรที่จะแก้ตรงไหนในทันที ด้วยความที่เขาคุมทีมมาไม่มาก หากนับเป็นจำนวนนัดก่อนมาคุม เลสเตอร์ นั้น รุด คุมทีมไปไม่ถึง 100 เกมด้วยซ้ำ และครึ่งหนึ่งของจำนวนทั้งหมดเป็นการคุมทีมในดิวิชั่น 2 ของดัตช์ลีก เมื่อครั้งที่เขาคุมทีม ยอง พีเอสวี (ทีมชุดสำรอง)
ปัญหาตรงนี้ ไม่แปลกเลยที่เขาจะลนลาน และใช้เวลานานเกินไปในการแก้ปัญหาที่เข้ามา ... ซึ่งอันที่จริงเรื่องนี้จะโทษเขาอย่างเดียวก็คงไม่ถูกต้องทั้งหมด แม้เขาจะมีส่วนที่ต้องรับผิดชอบไม่น้อยก็ตาม
ข้อจำกัดที่ไม่ได้ช่วย รุด เลย
เดิมทีในช่วงที่ รุด ฟาน นิสเตลรอย พาทีมเก็บ 4 แต้มจาก 2 เกมแรก เจ้าตัวให้สัมภาษณ์เรื่องบรรยากาศในทีมที่ดี การมีความสุขของนักเตะในทีม และการได้รับการตอบรับจากแฟนบอล และเหนือสิ่งอื่นใด รุดยังเปิดเผยว่า ตัวของเขานั้นได้คุยกับบอร์ดบริหารของสโมสรเรื่องการเสริมทัพแล้ว
โดยสิ่งที่ รุด บอกก็คือ ในช่วงก่อนเข้าตลาดซื้อขาย เขาจะทำงานกับนักเตะทุกคน ให้โอกาสทุกคนได้ลงเล่น เพื่อจะได้รู้ว่าเมื่อตลาดซื้อขายหน้าหนาวเปิดขึ้นทีมจะต้องเสริมทัพ หรือผ่องถ่ายส่วนไหนออกไปบ้าง เพื่อให้ทีมยกระดับ และเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง
อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามแผน เพราะเมื่อฟอร์มเริ่มแย่ และตลาดซื้อขายเปิดขึ้นกลับปรากฏว่า เลสเตอร์ มีปัญหาเรื่องกฎการเงิน (PSR) แม้ทีมจะพยายามอย่างที่สุดด้วยการซื้อแบ็กขวาอย่าง โวโย คูลิบาลี มาจาก ปาร์ม่า แต่ที่สุดแล้ว เมื่อมีการบวกลบคูณหารระหว่างจำนวนเงินที่ใช้ได้ กับราคาของนักเตะที่มีคุณภาพเข้ามาเปลี่ยนแปลงทีมไม่ได้สอดคล้องกัน
และการเสี่ยงใช้เงินเพิ่มกับนักเตะที่ไม่ตรงสเป็ก หรือเป็นนักเตะที่ไม่ได้ลงล็อกที่ทีมต้องการจริง ๆ ก็ใช่ว่าจะการันตีการอยู่รอดได้ ซ้ำร้าย ถ้าลงมือซื้อแล้วผิดกฎ น่ากลัวว่ามันจะเป็นปัญหาดินพอกหางหมู หรือมีบทลงโทษหนักเกินไปกว่าที่สโมสรจะรับได้ ทำให้ทีมเสียประโยชน์ในระยะยาวด้วย ... ท้ายที่สุดแล้วการเสริมทัพก็เป็นไปอย่างน่าผิดหวัง
"เดือนมกราคมเป็นเดือนที่ท้าทายสำหรับเราในช่วงตลาดซื้อขายนักเตะ ซึ่งความสามารถในการเสริมความแข็งแกร่งของเราถูกจำกัดด้วยตำแหน่ง PSR ของเรา เรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เซ็นสัญญากับ โวโย คูลิบาลี่ และเราได้พิจารณาตัวเลือกต่าง ๆ เพื่อเพิ่มผู้เล่นให้กับทีมของ รุด ฟาส นิสเตลรอย ในเดือนนี้"
"แต่ช่องว่างที่มีอยู่ในการคำนวณ PSR ของเราไม่ได้ช่วยให้เราสามารถเพิ่มผู้เล่นที่มีคุณภาพมากขึ้น ซึ่งเรารู้สึกว่าจะช่วยปรับปรุงทีมได้ เรายังคงมีความทะเยอทะยาน มุ่งมั่นที่จะลงทุนในทีมเสมอมา และจะยังคงเป็นเช่นนั้นต่อไปในอนาคต" ส่วนหนึ่งจากแถลงการณ์ของ อัยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ว่าเช่นนั้น
ซึ่งมันกลายเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริง ๆ เพราะ เลสเตอร์ ไม่อาจจะเสี่ยงเพื่ออนาคตระยะยาวได้อีก สุดท้ายก็กลายเป็น รุด ที่ต้องพยายามแก้ปัญหาด้วยสิ่งที่ต้องบอกว่า "เท่าที่มี" และมันก็เป็นอย่างที่เราเห็นในตอนนี้ เมื่อเขาไม่ได้นักเตะที่ต้องการ ปัญหาที่เขาแก้ไม่ได้ก็ยังดำเนินต่อไป ซ้ำร้ายมันอาจจะเกิดปัญหาอื่น ๆ เพิ่มขึ้นด้วยจากผลการแข่งขันที่ยังไม่มีทีท่าจะฟื้นได้ง่าย ๆ
ดังนั้นจะบอกว่า รุด ฟาน นิสเตลรอย ผิดเต็มประตูก็คงไม่ใช่ เพราะสิ่งที่เขาตกลงกับทีมไว้คือการเสริมทัพที่เหมาะสมกับเป้าหมาย และเช่นเดียวกัน จะบอกว่าสโมสรจะผิดทั้งหมดก็ไม่เชิง เพราะเมื่อคุณมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องฟุตบอล โค้ชจะต้องเป็นแกนหลักในการแก้ปัญหาเรื่องในสนามเป็นอันดับแรกก่อนใคร เพราะโค้ชอยู่กับทีมทุกวัน คุมซ้อมกันวันละหลายชั่วโมง เขาจะต้องรู้จักทีมนี้ดียิ่งกว่าทุกคน
เรื่องนี้ถือเป็นบทเรียนที่ต่างฝ่ายต่างต้องแบ่ง ๆ กับรับผิดกันไป ... สมมุติว่า เลสเตอร์ ได้โค้ชที่ดีมีประสบการณ์เหมาะกับโจทย์ทำทีมทีมแบบ "เท่าที่มี" พวกเขาอาจจะดีขึ้นกว่านี้ก็เป็นได้
เช่นเดียวกัน ใครจะรู้ หาก รุด ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่ตามที่ตกลงกันไว้ เขาอาจจะพาทีมเก็บแต้มได้มากกว่านี้ และเข้าใกล้เป้าหมายการรอดตกชั้นได้มากกว่าที่เป็นอยู่ก็เป็นได้
อย่างไรเสียโลกของฟุตบอลไม่มีคำว่า "ถ้า" ณ ตอนนี้ปัญหาเกิดขึ้นแล้ว พวกเขาทั้งคู่ต่างย้อนเวลากลับไปไม่ได้อีก
ตอนนี้เหลือการแข่งขันอีก 10 เกมให้พวกเขาช่วยกันแก้ปัญหา และเรื่องนี้ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพราะ ร็อบ แทนเนอร์ เหยี่ยวข่าวสาย เลสเตอร์ ของ The Athletic ยืนยันว่านักเตะยังสนับสนุนรุดเหมือเดิม
อีกทั้งเรื่องการหนีตกชั้นในช่วงท้าย พวกเขาก็เคยทำสำเร็จมาแล้วในฤดูกาล 2014-15 ซึ่งในปีนั้น เลสเตอร์ ที่จมบ๊วยมาเกือบทั้งซีซั่น หนีตายสำเร็จใน 9 เกมสุดท้ายด้วยการชนะ 7 เสมอ 1 แพ้ 1 ... โดยกุนซือทีมชุดนั้นอย่าง ไนเจล เพียร์สัน บอกว่า "จุดเริ่มต้นของปาฏิหาริย์ คือการที่ทุกคนในทีมยังเชื่อมั่นว่าพวกเราจะต้องเป็นผู้อยู่รอด"
ดังนั้นก็ต้องย้อนกลับมาถามทุก ๆ ภาคส่วนของ เลสเตอร์ ซิตี้ ชุดปัจจุบันว่า พวกเขาพร้อมจะรวมใจกันสู้ตายกับโค้งสุดท้ายที่รออยู่หรือไม่ ... ถ้าพวกเขารวมกันเป็นหนึ่งได้ ไม่แน่ ปาฏิหาริย์อาจเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองก็เป็นได้
แหล่งอ้างอิง
https://www.nytimes.com/athletic/6165305/2025/02/28/ruud-van-nistelrooy-leicester-lack-improvement-potter/
https://www.bbc.com/sport/football/articles/ckgddxgwklpo
https://www.nytimes.com/athletic/6100040/2025/01/31/is-ruud-van-nistelrooy-finally-making-positive-progress-at-leicester/
https://talksport.com/football/2952436/ruud-van-nistelrooy-leicester-brentford-premier-league-record/