"ช่วงการปรับตัวของเขาสิ้นสุดลงแล้ว ... เรามีเกมที่จะเล่นอีกมากในปีนี้ และเขาจะต้องทำได้ดีให้มากกว่านี้"
31 ธันวาคม 2024 คาร์โล อันเชล็อตติ กุนซือ เรอัล มาดริด ประกาศกร้าวว่า ยอดนักเตะของโลกอย่าง คีลิยัน เอ็มบัปเป้ ที่ทีมยอมจ่ายค่าเหนื่อยมหาศาลเข้ามาเพื่อเสริมแกร่ง จะต้องกลายเป็น "เอ็มบัปเป้ คนเดิม" ให้ได้ หลังฟอร์มตกมาพักใหญ่
และหลังจากสิ้นสุดวันนั้น เข้าสู่ปี 2025 ... ดูเหมือนว่า เอ็มบัปเป้ ที่ทุกคนอยากจะเห็นได้กลับมาแล้ว ด้วยลีลาแบบสามัญชน ที่ดึงเขากลับมาสู่ช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์
เพื่อปลดชื่อ "ประธานเป้" กลับมาเป็น "สามัญชนสไตล์" ... เอ็มบัปเป้ ทำอย่างไร ? ติดตามที่ Main Stand
จับต้นชนปลายไม่ถูก
การมาของ คีลิยัน เอ็มบัปเป้ จาก เปแอสเช สู่ เรอัล มาดริด คือข่าวสะเทือนโลกลูกหนังในแบบที่ไม่ได้เกิดขึ้นมาหลายปี
หนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดของโลก กับสโมสรที่คว้าแชมป์ยุโรป 15 สมัย และถือเป็นสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในปัจจุบัน ดูเหมือนจะเป็นการผสมผสานที่ดูน่ากลัวและยากแก่การต่อกร ชนิดที่แฟนบอลทั่วโลกตั้งคำถามว่า "แล้วใครจะล้มมาดริดได้ ?" จากการมาของ เอ็มบัปเป้ ครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม ฟุตบอลนั้นเป็นอะไรที่ประหลาด และมันไม่เหมือนในเกมที่คุณหยิบนักเตะที่เก่งที่สุดมาใส่ในทีมแล้วทีมของคุณจะไร้เทียมทาน ... เพราะสิ่งที่จำเป็นและไม่ควรลืมคือ "ฟุตบอลเล่นเป็นทีม" ความสมดุลคือสิ่งสำคัญ และทุกคนในทีมต้องใจเท่ากัน ทำหน้าที่ตัวเองให้สุดกำลัง และไม่ลืมที่จะช่วยเหลือเพื่อนร่วมทีมในสถานการณ์ที่ยากลำบาก
นั่นแหละที่มันเป็นปัญหากับ เอ็มบัปเป้ ในช่วงแรกที่เขาย้ายมา เขาคือนักเตะที่ทุกคนใน เปแอสเช คอยส่งบอลให้เมื่อครั้งอดีต ทุกคนมองหาเขา และจังหวะคอขาดบาดตาย ทุกคนต้องนึกถึงเขา ... เขาอยากจะเล่นตรงไหนก็ได้ ขยับไปตรงไหนก็ได้ และนั่นคือสิ่งที่เขาเอาติดตัวมาด้วยที่ ซานติอาโก้ เบอร์นาเบว
กล่าวโดยสรุปก็คือ เอ็มบัปเป้ เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางเกินไปจากสิ่งที่เขาเคยได้รับมาตลอด เขาทำให้ มาดริด สูญเสียสมดุล ทีมเวิร์ก และชัดที่สุดคือเกมรับ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทีมอ่อนลงเมื่อมี เอ็มบัปเป้ เข้ามา
"เราต้องเล่นเกมรับให้ดีขึ้น เพราะนั่นคือกุญแจสำคัญ เราต้องหาทางแก้ไขเพื่อให้ทีมมีความสมดุลและแข็งแกร่งขึ้นโดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรมากมาย มีรายละเอียดทางยุทธวิธีบางอย่างที่จะช่วยปรับปรุงสิ่งต่าง ๆ ได้" อันเชล็อตติ เคยว่าแบบนั้น
ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องนี้มันชวนให้นึกถึงการมาของ เอ็มบัปเป้ อย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะเดิมทีในเกมระดับบิ๊กแมตช์ อันเชล็อตติ มักจะส่งตัวรุกธรรมชาติลงไปเล่นแค่ 2 คนเท่านั้น คนแรกที่ยืนหนึ่งคือ วินิซิอุส ส่วนอีกคนแล้วแต่แท็คติกที่เขาปรับให้เหมาะในแต่ละเกม
ทว่าในช่วงครึ่งซีซั่นแรกของฤดูกาล 2024-25 โควต้านักเตะเกมบุกของ เรอัล มาดริด เพิ่มขึ้นจากการมาของ เอ็มบัปเป้ ซึ่งถ้ามองกันแบบง่าย ๆ บ้าน ๆ ในเมื่อคุณถอดมดงานออกและคุณใส่อาวุธทำลายล้างอย่าง เอ็มบัปเป้ ลงไป คุณควรจะต้องได้เกมบุกอันน่ากลัว ชนิดที่ว่าคุ้มค่าเสี่ยงกับการหย่อนประสิทธิภาพในเกมรับลง ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นคือ เกมรับเสียสมดุลหนัก ส่วนเกมรุกก็ได้มาไม่คุ้มค่ากับความเสี่ยงนี้มากนัก
ทอม ฮินเดิล นักวิเคราะห์จาก GOAL พูดถึงเรื่องดังกล่าวว่า แม้ เอ็มบัปเป้ จะยิงได้ถึง 8 ประตูจาก 17 นัดแรก แต่ในความรู้สึกของทุกคนยังคงมองว่าควรจะทำอะไรได้มากกว่านี้ คุณภาพเกมโดยรวมของ เอ็มบัปเป้ ไม่ได้โดดเด่นถึงขั้นเป็นคนที่ทีมขาดไม่ได้ เขาได้รับบทบาทเบอร์ 9 ของทีมบ่อยครั้ง และหลายหนเขามักจะยืนผิดที่ผิดทาง ไปทับตำแหน่งกับ วินิซิอุส ในทางซ้ายด้วย
และเหนือสิ่งอื่นใด คือตอนที่ เอ็มบัปเป้ ไม่มีบอล เขาเหมือนเป็นจุดอ่อนของทีมเพราะน้อยครั้ง เอ็มบัปเป้ จะเป็นคนวิ่งไล่บอลที่เสียไปเอามาคืนอย่างไม่ลดละ ซึ่งเป็นวิธีที่ อันเช่ ใช้มาตลอดในการคุมทีมรอบสอง โดยเฉพาะเกมใหญ่ ๆ
หนำซ้ำการมาของ เอ็มบัปเป้ ยังทำให้มีการปรับตำแหน่งในแดนกลางเพิ่มเติมด้วยการต้องถอยมิดฟิลด์ที่ยิงประตูจนมีลุ้นบังลงดอร์อย่าง จู๊ด เบลลิงแฮม ถอยลงมาเล่นต่ำลง บวกกับการแขวนสตั๊ดของ โทนี่ โครส ที่ขาดอัจฉริยะในการคุมจังหวะเกมให้นิ่งตลอดทั้งเกมไป มันทำให้การเล่นเกมรับของ มาดริด ดูสับสน วุ่นวาย และหาคนผิดกันแบบนัดต่อนัด
เรื่องนี้เขาเองก็ยอมรับด้วยการบอกว่า "ผมไม่เคยบอกนะว่าลูกทีมของผมเป็นพวกขี้เกียจ แต่ความจริงคือเรายังขาดการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิผล เราต้องยอมรับคำวิจารณ์และตระหนักถึงความเป็นจริงว่าเราทำได้ไม่ดีเลย" ... แน่นอนว่าเขาไม่ได้เอ่ยชื่อ แต่มันชวนให้คิดถึง เอ็มบัปเป้ คนที่มาใหม่เพียงคนเดียวในตำแหน่ง 11 ตัวจริงส่วนใหญ่ ณ ซีซั่นนี้
และสุดท้าย อันเช่ ก็ไม่ปล่อยให้แฟนบอลต้องคิดไปเอง เพราะในวันสุดท้ายของปี 2024 เขาเป็นคนออกมาพูดด้วยตัวเองว่า เอ็มบัปเป้ จะต้องดีกว่านี้ในครึ่งซีซั่นที่เหลือ และจะไม่มีข้ออ้างเรื่องการปรับตัวใด ๆ ทั้งสิ้นอีกแล้วหลังจากนี้ โดยถ้อยคำของเขามีอยู่ว่า
“ช่วงการปรับตัวของเขาสิ้นสุดลงแล้ว ... เรามีเกมที่จะเล่นอีกมากในปีนี้ และ เอ็มบัปเป้ จะต้องทำได้ดีให้มากกว่านี้"
และเมื่อปฏิทินเข้าสู่เดือนมกราคม ปี 2025 ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
กลับสู่สามัญชน
ทุกครั้งที่แพ้เกมใหญ่ ไม่ว่าจะกับ บาร์เซโลน่า 2 หน, ลิเวอร์พูล, เอซี มิลาน หรือแม้กระทั่ง ลีลล์ ในฟุตบอลยุโรป ตามด้วยการเสียแต้มให้กับทีมเล็ก ๆ บ่อยครั้ง เอ็มบัปเป้ กลายเป็นประเด็นหลักมาโดยตลอด ... แน่นนอนว่ามันไม่ใช่เพราะเขาเพียงคนเดียว แต่โลกยุคโซเชี่ยลมีเดียก็แบบนั้น คนที่ดังที่สุด และข่าวขายได้ที่สุด มักเป็นคนที่ถูกสื่อเอาชื่อไปใช้หากินบ่อยที่สุดเช่นกัน
เอ็มบัปเป้ รู้ดีถึงเรื่องนี้ และพยายามเปลี่ยนแปลงวิธีการเล่นของตัวเอง หลัก ๆ แล้วเขาเข้าใจดีว่าการเล่นของตัวเองยังไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด และตัวเขาก็พยายามใจเย็น เพื่อหาปัญหาของตัวเองให้เจอ
"มันไมใช่เรื่องใหญ่ และผมพยายามใจเย็นมาก ๆ มันเป็นเรื่องปกติที่ผู้เล่นอย่างผมจะถูกตั้งความคาดหวังไว้มากมาย และจะถูกโจมตีในเวลาที่ผมเล่นได้ไม่เข้าตา"
"บางทีผมอาจจะไม่ได้เล่นแย่มาก แต่นั่นแหละ โลกของเรามันก็เป็นแบบนั้น ผมพยายามไม่ใส่ใจเรื่องของโซเชี่ยล และใส่ใจเรื่องการแก้ไขตัวเองเพื่อให้ได้คุณภาพในสนามให้ดีมากที่สุด" เอ็มบัปเป้ ว่า
มันไม่ใช่เรื่องของตำแหน่งการเล่น ปีกซ้าย ปีกขวา หรือกองหน้าตัวเป้าแบบที่ใครว่า เพราะ เอ็มบัปเป้ มีศักยภาพพอที่จะเล่นได้ทุกตำแหน่ง แต่ปัญหาที่แล้ว ๆ มาคือเรื่องการปรับทัศนคติมากกว่า เขาต้องเริ่มมองเกมของตัวเองใหม่อีกครั้ง และพิจารณาในภาพที่กว้างกว่าเดิม เพื่อทำให้ตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของทีม โดยเล่นให้เป็นเนื้อเดียวกันมากที่สุด
"ผมมีช่วงเวลาที่แย่ เพราะผมเป็นนักเตะที่อยากทำอะไรให้มากกว่านี้เสมอ ทุ่มเทสุดตัวเพื่อตัวเองและทีม และเมื่อคุณเห็นว่าตัวเองทำไม่ได้ มันก็เป็นเรื่องปกติที่มันจะส่งผลกระทบกับคุณ การได้ลงเล่นที่นี่เป็นโอกาสที่ดี ผมพูดมาตลอด"
"สิ่งที่ผมรู้ก็คือ ผมไม่สามารถทำอะไรแย่ไปกว่านี้อีกแล้ว มันจะต้องดีขึ้นกว่านี้ และด้วยสิ่งนี้ แสดงให้เห็นว่าผมเป็นนักเตะที่มีคุณภาพ และผมสามารถช่วยเรอัล มาดริดได้"
"และเมื่อผมใช้เวลากับมัน ผมก็ได้คำตอบ ผมค้นพบว่าผมคิดมากเกินไป ว่าแต่ละเกมจะต้องทำอะไรบ้าง จะต้องเคลื่อนที่แบบไหนบ้าง และเมื่อคุณเริ่มคิดมากเกินไป คุณก็จะเล่นได้ไม่ดี ... ผมพยายามคิดถึงทีม เรอัล มาดริด เป็นหลัก และผมอยากจะกลับมาเล่นฟุตบอลให้ได้ดีที่สุดอีกครั้ง"
เอ็มบัปเป้ มีสถิติวิ่งเฉลี่ยต่อเกมมากขึ้น และมันช่วยเขาให้ดีขึ้นได้ด้วยเกมรุกและเกมรับ เขาวิ่งหาพื้นที่ไปยังจุดที่สร้างอันตรายเมื่อทีมได้เล่นเกมรุก และเมื่อทีมต้องเล่นเกมรับ เขาเป็นจุดเริ่มต้นในการไล่ล่าเอาฟุตบอลคืนมาจากกองหลังคู่แข่ง เหมือนกับที่ วินิซิอุส จูเนียร์ คู่เปรียบของเขาทำมาโดยตลอด
ถอดหัวโขน และเป็นหนึ่งเดียวกับทีม
อีกหนึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นมาโดยตลอดก็คือ เอ็มบัปเป้ มักจะโดนเปรียบเทียบกับ วินิซิอุส จูเนียร์ โดยคำถามที่ถูกตั้งมาตลอดก็คือ "ใครจะเป็นเบอร์ 1 ของทีม"
ซึ่งเรื่องนี้ก็แก้ไขและคลี่คลายขึ้นมาได้ เพราะเหมือนแต่ละฝ่ายก็ถอยกันคนละก้าว เอ็มบัปเป้ เป็นคนบอกเองว่าเขาจะพยายามเล่นแบบธรรมชาติที่สุด กลับสู่การเล่นฟุตบอลแบบพื้นฐาน ง่าย ๆ แต่มีประสิทธิภาพ ไม่จำเป็นต้องเป็นพระเอก หรือเป็น "ประธานเป้" ที่รอจังหวะสวย ๆ จากเพื่อนร่วมทีมตลอดเวลา
การถอยของ เอ็มบัปเป้ ทำให้บรรยากาศในทีมดีขึ้นมาก เพราะไม่นานมานี้ วินิซิอุส จูเนียร์ ก็ออกมาพูดด้วยตัวเองว่า ตัวของเขาที่ได้รับบทบาทเป็นตัวริมเส้น จะคอยทำหน้าที่แบบสุดความสามารถ และจะเป็นคนที่ช่วยปั้นให้ เอ็มบัปเป้ กลายเป็นนักเตะที่ยิงประตูให้ได้มากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ สำหรับความมั่นใจของนักเตะตำแหน่งเบอร์ 9
"การยิงประตูได้เป็นสิ่งดีเสมอ แต่ผมบอกตัวเองว่า ผมต้องช่วยพวกเขา (เอ็มบัปเป้ และ โรดรีโก้) ด้วย เราทุกคนต้องการชัยชนะ และถ้าผมเป็นดาวซัลโวนั่นก็เยี่ยมมาก ซึ่งผมเองก็เคยคว้ามันมาครองได้แล้วหลายครั้งในอาชีพของผม ผมได้ตระหนักว่าการคว้าทำให้ทีมเป็นแชมป์ลีกต่างหาก คือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผม" วินิซิอุส กล่าว
หลังจาก วินิซิอุส พูดประโยคนี้ได้ไม่นานวิธีการทำงานรวมกันของพวกเขาก็เปลี่ยนไป ทั้งคู่ต่างพยายามเล่นเพื่อทีมกันมากขึ้น และนั่นทำให้ เอ็มบัปเป้ ขยับยอดการยิงประตูขึ้นเรื่อย ๆ โดย 5 เกมหลังสุดเขายิงไปถึง 8 ประตูและทำอีก 3 แอสซิสต์ โดยส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากการเล่นเป็นตำแหน่งกองหน้าตัวเป้าที่หลายคนบอกว่า "เล่นไม่ได้" ซึ่ง เอ็มบัปเป้ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า
"ผมพูดตั้งแต่วันแรกที่มาที่นี่แล้วว่า ผมสามารถเล่นตรงไหนก็ได้ในตำแหน่ง 3 แนวรุก และตอนนี้ผมแสดงให้เห็นแบบนั้น ผมปรับตัวได้ดีขึ้นมาก และผมคิดว่าตอนนี้มันหมดช่วงเวลาการปรับตัวของผมแล้ว"
"ตอนนี้คุณจะเห็นการเคลื่อนที่ในเกมของผมที่สัมพันธ์กับเพื่อนร่วมทีมมากขึ้น และผมเชื่อว่าจะเห็นมันได้ด้วยตาของคุณ ถ้าคุณได้ดูเกมของเรา" เอ็มบัปเป้ กล่าวทิ้งท้าย
ตอนนี้ เอ็มบัปเป้ กลับมาเป็นคนเดิมอีกครั้ง และเขาเป็นส่วนหนึงของ เรอัล มาดริด อย่างเต็มรูปแบบแล้ว จากนี้สิ่งที่แฟนบอลเคยกลัวจะต้องถูกกลับมาพูดถึงอีกครั้ง
"เรอัล มาดริด ในวันที่มี เอ็มบัปเป้ ร่างทอง จะอันตรายแค่ไหน ?" ... จากนี้ทุกคนจะได้เห็นภาพนี้ชัดขึ้นอย่างแน่นอน
แหล่งอ้างอิง
https://sports.yahoo.com/kylian-mbappe-explains-real-madrid-164600660.html
https://www.goal.com/en/lists/my-adaptation-is-over-kylian-mbappe-fires-back-no-9-doubters-real-madrid-star-continues-fine-form-hat-trick-against-real-valladolid/blt11e980d224e2c9c8#cs44fad2fae517fbb0
https://www.eurosport.com/football/champions-league/2024-2025/carlo-ancelotti-real-madrid-fallen-very-fast-kylian-mbappe_sto20051694/story.shtml
https://www.theguardian.com/football/2024/nov/06/fallen-so-fast-ancelotti-admits-real-madrid-struggles-but-has-faith-in-recovery
https://www.goal.com/en/lists/how-fix-real-madrid-six-problems-carlo-ancelotti-solve-european-champions-back-on-track/blt3caaef510b636813#cs3b45b1fcbc408e43
https://www.goal.com/en-us/lists/real-madrid-identify-kylian-mbappe-weakness-carlo-ancelotti-co-urge-blockbuster-signing-take-responsibility/blt9a4694469dfbc151
https://www.nytimes.com/athletic/5892527/2024/11/04/real-madrid-wrong-champions-league/