เรามักเคยได้ยินประโยคคลาสสิกในโลกฟุตบอลที่ว่า "ไม่มีนักเตะคนใดใหญ่เท่าสโมสร" มาโดยตลอด และประโยคนี้แสดงให้เห็นว่า ไม่ว่านักเตะคนไหนจะอยู่หรือจะไป สโมสรยังคงยืนหยัดอยู่ได้เสมอ
อย่างไรก็ตาม สำหรับสโมสร แมนฯ ยูไนเต็ด หากคุณกล่าวประโยคนี้ใส่กลุ่มนักเตะที่ชื่อว่า "เดอะ โฮลี่ ทรินิตี้" หรือ "เดอะ ยูไนเต็ด ทรินิตี้" คุณอาจจะได้ยินเสียงแฟนบอลท้องถิ่นปฏิเสธกลับมาและบอกว่า... "ไม่จริงเสมอไป" เพราะความยิ่งใหญ่ของพวกเขาคือข้อยกเว้นและแทบจะพูดได้ว่าเป็นหมุดหมายแรกที่สโมสรแห่งนี้ปักลงไปบนโลกที่ชื่อว่าฟุตบอล
นี่คือเรื่องราว 3 ชายหนุ่มที่เก่งและยิ่งใหญ่ที่สุดบนหน้าประวัติศาสตร์ของ แมนฯ ยูไนเต็ด จอร์จ เบสต์, เดนิส ลอว์ และ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน ... 3 นักเตะที่มีถ้วยบัลลงดอร์เป็นของตัวเอง และคว้าได้ตอนสวมชุดปีศาจแดงทุกคน
พวกเขาสำคัญแค่ไหนบนหน้าประวัติศาสตร์ และในวันที่พวกเขายังโลดแล่นอยู่ 3 คนนี้เก่งกาจแค่ไหน ? ... Main Stand จะพาคุณย้อนประวัติศาสตร์กลับดูความยิ่งใหญ่พร้อม ๆ กัน
บัสบี้เบ๊บส์ ในตำนาน
หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลง สถานการณ์โลกกลับเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งความรุดหน้า ราวกับเป็นการบอกว่าตลอดเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมาที่ทุกอย่างต้องหยุดและสะดุดลงเพราะสงคราม จะทะยานไปข้างหน้าโดยไม่มีอะไรมากั้นเพื่อก้าวสู่ยุคสมัยใหม่ และสร้างศาสตร์ใหม่ ๆ ของตัวเองขึ้นมา ... ฟุตบอลก็เช่นกัน
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คือสโมสรเก่าแก่ของอังกฤษ ประเทศที่เป็นหนึ่งในตัวละครหลักของสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง พยายามแก้ไขสถานการณ์ของสโมสรให้กลับมามีความรุ่งเรืองอีกครั้ง และจุดเริ่มต้นคือการแต่งตั้งผู้จัดการทีมอย่าง เซอร์ แมตส์ บัสบี้ อดีตนักเตะชาวสกอตต์ ที่เคยค้าแข้งให้สองทีมคู่ปรับของปีศาจแดง ทั้ง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ ลิเวอร์พูล ขึ้นมาเป็นกุนซือในปี 1945
ในช่วงที่บัสบี้เข้ามาทำทีม สนามแข่งทางสโมสรได้รับความเสียหายจากสงคราม แถมยังเป็นหนี้ธนาคารถึง 15,000 ปอนด์ การเซ็นสัญญาครั้งแรกของเขาก็คือ จิมมี่ เมอร์ฟี่ สุดยอดผู้ช่วยผู้จัดการทีมที่รับใช้สโมสรต่อจากนั้นอย่างยาวนาน
ทั้งคู่ร่วมกันประกอบร่างทีมแห่งนักสู้และจิตวิญญาณแห่งชนชั้นแรงงานแห่ง แมนเชสเตอร์ ขึ้นมาโดยวางรากฐานทีละนิด ๆ พวกเขาพาทีมคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ในปี 1948 และใช้ถ้วยแชมป์นี้เป็นเหมือนจุดสตาร์ทของความยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะเรื่องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างแมวมองใหม่ เพื่อให้สามารถมองเห็นเด็กหนุ่มฟอร์มดี และก้าวขึ้นมาเป็นขุมกำลังที่ไร้ขีดจำกัดของสโมสร และพวกเขาก็ได้เจอเพชรเม็ดงานที่สุดอย่าง บ็อบบี้ ชาร์ลตัน
ชาร์ลตัน ถูกค้นพบโดย โจ อาร์มสตรอง แมวมองที่ บัสบี้ เลือกเข้ามาเป็นทีมงาน อาร์มสตรอง เล่าว่าเขาเห็น ชาร์ลตัน ลงเล่นให้กับทีมโรงเรียน อีสต์ นอร์ธทัมเบอร์แลนด์ และเข้าใจได้ทันทีว่า วิธีการเล่น และการมองเห็นเกมที่นำหน้าคนอื่น 1 ก้าว คือพรสวรรค์ที่หาไม่ได้อีกแล้วหากปล่อยให้หลุดมือไป
เขาพยายามโน้มน้าวให้ เมอร์ฟี่ และ บัสบี้ ติดต่อไปยังครอบครัวของ ชาร์ลตัน โดยตรงเพื่อขอเซ็นสัญญาลูกชายของพวกเขาเข้ามาเป็นนักเตะของ แมนฯ ยูไนเต็ด ตอนอายุ 15 ปี ทว่าก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก เพราะพ่อและแม่ของ ชาร์ลตัน พยายามอย่างมากที่จะให้ลูกชายคนนี้ก้าวขึ้นมาเป็นวิศวกรไฟฟ้า หรือทำอาชีพที่มั่นคง มากกว่าการเป็นนักเตะฟุตบอลซึ่งเป็นอาชีพที่ไม่แน่นอนในเวลานั้น
อย่างไรก็ตามเมื่อ แม็ตต์ บัสบี้ ได้พูดคุยกับพ่อแม่ของ ชาร์ลตัน และสัญญาว่าเขาจะทำให้อนาคตของลูกชายคนนี้ยิ่งใหญ่และประสบความสำเร็จมากกว่าการให้เขาไปประกอบอาชีพไหน ๆ ก็ตามบนโลกนี้ พร้อมยืนยันว่า "ลูกชายของคุณเกิดมาเพื่อเล่นฟุตบอล" ... ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร นายและคุณนายชาร์ลตันเซ็นยินยอม และ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน ก็ได้เข้ามาเป็นนักเตะของ แมนฯ ยูไนเต็ด ...และเป็นจุดเริ่มต้นของกลุ่ม "บัสบี้ เบ็บส์" อันเลื่องชื่อ
สร้างจากเถ้าถ่าน
บัสบี้ และ เมอร์ฟี่ วางแผนงานให้ยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีกขั้นหลังจากพวกเขามี ชาร์ลตัน อยู่ในทีม บวกกับกลุ่มนักเตะดาวรุ่งที่ก้าวขึ้นมาจากทีมเยาวชนหลาย ๆ คนที่ทะลุมาถึงทีมชุดใหญ่ได้สำเร็จ อาทิ เดวิด เพ็กก์, เลียม วีแลน และ ดันแคน เอ็ดเวิร์ดส์ นักเตะที่ถูกยกย่องว่ามีพรสวรรค์มากที่สุดในโลก ซึ่งทีมพลังหนุ่มทีมนี้ ก็เติบโตอย่างยิ่งใหญ่ตามที่ บัสบี้ ว่า พวกเขาช่วยให้สโมสร คว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้ในปี 1956 พร้อมทั้ง ดับเบิลแชมป์ (ลีก+เอฟเอ คัพ) ในปี 1957 ซึ่งทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ไปแข่งขันในฟุตบอล ยูโรเปี้ยน คัพ หรือ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ปัจจุบัน
จากนั้น บัสบี้ ไม่ได้มองแค่การแข่งขันในประเทศอีกแล้ว เขาตั้งเป้าจะเป็นทีมจากอังกฤษที่เก่งที่สุดในยุโรป โดยในซีซั่น 1956-57 พวกเขาก้าวไปถึงรอบรองชนะเลิศก่อนจะแพ้ เรอัล มาดริด ที่คว้าแชมป์ในเวลาต่อมา ซึ่ง บ็อบบี้ ชาร์ลตัน เล่าว่า การแข่งขันในเวลานั้นเหมือนเป็นเกมอีกระดับ และเป็นฟุตบอลในแบบที่แตกต่าง มีนักเตะที่เก่งกาจอีกมากมายจากหลายประเทศรอพวกเขาอยู่ และการจะเป็นแชมป์รายการนี้ได้ แมนฯ ยูไนเต็ จำเป็นต้องแข็งแกร่งกว่านี้
น่าเสียดายที่ในขณะที่พวกเขากำลังสร้างทีมเพื่อไปถึงจุดนั้น ก็เกิดเหตุการณ์โศกนาฏกรรมขึ้นในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 1958 เมื่อเครื่องบินที่จะนำทีมบินกลับจากการเตะเกมยุโรปกับ เร้ดสตาร์ เบลเกรด ที่ยูโกสลาเวีย เกิดอุบัติเหตุขึ้นมาระหว่างการแวะจอดเติมน้ำมันขากลับที่เมืองมิวนิค ประเทศเยอรมนี มีคนเสียชีวิตจากเหตุการณ์นั้น 23 คน รวมถึงนักเตะ แมนฯ ยูไนเต็ด 8 คน หนึ่งในนั้นคือ ดันแคน เอ็ดเวิร์ดส์ ดาราประจำทีม
แม้แต่ตัวของ บัสบี้ เองก็เกือบไม่รอดจากเหตุการณ์นี้ เขาต้องพักฟื้นนานถึง 4 เดือน ก่อนจะกลับมาคุมทีมอีกครั้งด้วยกลุ่มนักเตะที่เหลืออยู่ ซึ่งแน่นอนว่ามี บ็อบบี้ ชาร์ลตัน ผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์นั้นเป็นแกนหลัก
และเมื่อ บัสบี้ ฟื้นตัว เขาตัดสินใจใช้ชีวิตแบบไม่เสียดาย และเลือกที่จะทุ่มเงินซื้อนักเตะที่เก่งที่สุดเข้ามาในทีมเพื่อกู้ความยิ่งใหญ่ส่วนหนึ่งที่หายไปจากเหตุการณ์เศร้ากลับมาให้ได้
กรอไปข้างหน้าแบบเร็ว ๆ ปี 1961 พวกเขาได้นักเตะที่ถูกเรียกว่า "เทพบุตรลูกหนัง" อย่าง จอร์จ เบสต์ มาจาก เบลฟาสต์ ไอร์แลนด์เหนือ นักเตะที่เลี้ยงสะบัดช่อ จนแมวมองต้องถาม บัสบี้ ว่า เราควรบอกเขาดีไหมว่าฟุตบอลเล่นเป็นทีม ... แต่ บัสบี้ มองด้วยสายตาระดับปรมาจารย์และบอกว่า "อย่าได้ไปยุ่งกับสไตล์ของเขาเชียว ปล่อยเขาเล่นตามธรรมชาติของเขาไป ...เพราะหมอนี่คือสิ่งที่พิเศษ" โดย เบสต์ เข้ามาอยู่ในอคาเดมี่นักเตะเยาวชน ก่อนขึ้นทีมชุดใหญ่ในปี 1963
และในปี 1962 บัสบี้ จัดการทุ่มเงินจำนวน 115,000 ปอนด์ คว้าตัวกองหน้าอย่าง เดนิส ลอว์ มาเสริมทัพจาก โตริโน่ ซึ่งเป็นสถิติค่าตัวแพงที่สุดของสโมสรในเวลานั้นด้วย
ทำไมต้องซื้อ ลอว์ น่ะหรือ ? นี่คือกองหน้าที่ยอดเยี่ยมที่สุด ไม่ใช่แค่เก่งแต่ในอังกฤษเท่านั้น เขาคือนักเตะที่ไปค้าแข้งในอิตาลี และได้เห็นโลกฟุตบอลมาแล้วมากมายหลายแบบ แถมยังเป็นนักเตะที่ เปเล่ ตำนานลูกหนังชาวบราซิลยังเคยเอ่ยปากบอกด้วยตัวเองว่า "เป็นนักเตะจากลีกอังกฤษคนเดียวที่สามารถเล่นให้ทีมชาติบราซิลได้"
เมื่อคุณมีกองกลางเชิงสูงอย่าง ชาร์ลตัน, มีปีกที่เลี้ยงผ่านได้ทุกคนที่ขวางหน้าอย่าง เบสต์ และมีกองหน้าที่ยิงประตูได้จากทุกระยะและทุกท่าทางอย่าง ลอว์ ยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรแห่งนี้ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมาอย่างเต็มตัว
รันวงการ
ยูไนเต็ด เป็นสโมสรที่มีวันสำคัญทางประวัติศาสตร์ของพวกเขามากมาย และในวันที่ 18 มกราคม 1964 ก็ควรถูกนับเป็นหนึ่งในนั้นด้วย เพราะมันคือวันที่ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน, เดนิส ลอว์ และ จอร์จ เบสต์ ได้ลงสนามพร้อมกันทั้ง 3 คนในฐานะตัวจริงเป็นครั้งแรก
บัสบี้ ตัดสินใจส่งสามประสานลงเล่นในแมตช์เยือน เวสต์บรอมวิช ... ในเกมนั้นแฟนบอลทั้งหมด 25,000 คนที่ เดอะ ฮอว์ธอร์น ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าพวกเขาได้เห็นยุคสมัยใหม่ของฟุตบอลอังกฤษ และเป็น 3 ประสานที่ดีที่สุดตลอดกาลด้วยตาตัวเองก่อนใครในโลก
แมนฯ ยูไนเต็ด บุกมาชนะ 4-1 ... ชาร์ลตัน ยิงประตูแรก, เบสต์ ยิงประตูที่สอง ก่อนที่ ลอว์ จะซัดไป 2 ประตูปิดท้าย นี่คือครั้งแรกที่คำว่า "ทรินิตี้" ถูกสบถออกมาจากปากแฟนบอลปีศาจแดงในวันนั้น และมันก็ถูกเริ่มใช้บนหน้าสื่อมากขึ้น เพราะนี่คือกลุ่มนักเตะที่ยอดเยี่ยมที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
หลังจากเกมกับ เวสต์บรอมฯ ไม่มีใครหยุดพวกเขาได้อีกแล้ว หากจะให้อธิบายบทบาทหน้าที่ของพวกเขาในเวลานั้นก็ต้องบอกว่า ชาร์ลตัน เป็นพี่ใหญ่ที่นอกจากจะเป็นอัจฉริยะในสนามแล้ว ก็ยังเป็นคนที่มีคาแร็คเตอร์เป็นผู้นำ เป็นคนที่สร้างขวัญกำลังในห้องแต่งตัว และเป็นนักเตะที่ปฏิบัติตัวนอกสนามสมกับคำว่า "นักเตะอาชีพ" อย่างแท้จริง ซึ่งหาไม่ได้ง่าย ๆ ในยุคนั้น
"บ็อบบี้ คือนักเตะที่ยอดเยี่ยมพอ ๆ กับการที่เขาเป็นคนที่เยี่ยมยอด ... เขาคือนักเตะที่ดีที่สุดตลอดกาล สิ่งที่เขาสร้างขึ้นมาและทุกความสำเร็จที่เขามีส่วนร่วมมันคือสิ่งที่คู่ควรกับเขาโดยที่ไม่มีคำว่าโชคหรือแค่บังเอิญ" เดนิส ลอว์ ยืนยันถึงพี่ใหญ่ของกลุ่ม ทรินิตี้
ซึ่งก็ไม่ต้องเทียบกับใครมาก เพราะน้องเล็กอย่าง เบสต์ ที่มีอายุแค่ 17 ปีในวันประเดิมสนาม คือคนที่เกิดมาเพื่อเป็นอัจฉริยะ นักฟุตบอลที่เลี้ยงบอลได้ติดเท้าที่สุด มีความห้าวมุทะลุดุดัน เชื่อมั่นในความสามารถของตัวเองถึงขีดสุด และแน่นอนว่าเขาเป็นแบดบอย ใช้ชีวิตเยี่ยงสตาร์เมื่ออยู่นอกสนาม ... แต่ไม่ว่าจะกินหรือดื่มหนักขนาดไหน วันต่อมาเขาจะมีแรงเลี้ยงหลบคู่แค่ 3-4 คน และเข้าไปยิงประตูเสมอ
"เมื่อได้บอลแล้วผมไม่อยากส่งฟุตบอลให้ใครอีก เพราะผมเล่นแบบนี้มาตั้งแต่เป็นเยาวชนแล้ว ในขณะที่เพื่อนร่วมทีมของบอล ผมจะเป็นคนที่พยายามเอาชนะคู่แข่งไม่ว่าพวกเขาจะพยายามปิดตายผมกี่คนก็ตาม ... นั่นแหละผมในวันนั้นล่ะ" จอร์จ เบสต์ กล่าวในอัตชีวประวัติของตัวเอง
นักเตะอย่าง เบสต์ คงไม่ฟังใครง่าย ๆ แต่เมื่อเขาอยู่ในทีมชุดนี้ เขามี ชาร์ลตัน เป็นพี่ใหญ่ที่คอยทำให้เขาได้เข้าใจฟุตบอลในอีกแบบ มันจึงทำให้เขากล้าเชื่อใจผู้เล่นคนอื่นในทีม และส่งบอลให้เพื่อนร่วมทีมตามจังหวะที่สมควรมากขึ้น และแน่นอนว่ามันเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ เบสต์ ยกระดับตัวเองจากนักเตะพ่อเลี้ยง กลายเป็นอัจฉริยะแห่งการทำลายแนวรับอย่างแท้จริง
ขณะที่ ลอว์ ถูกยกย่องและเล่าเรื่องโดย เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ว่า เป็นบุคคลที่สง่างาม มีเสน่ห์ และกล้าหาญ เป็นนักฟุตบอลที่สมบูรณ์แบบและเป็นที่ชื่นชอบของเพื่อนร่วมทีม ด้วยคาแร็คเตอร์ที่แตกต่างออกไปเมื่อลงสนาม กล่าวคือเมื่อการแข่งขันมาถึง ลอว์ จะเป็นคนมีความก้าวร้าวไม่กลัวใคร มีทักษะการยิงประตูที่แม่นยำทั้งการยิงและการโหม่ง รวมถึงมีจิตสังหารแบบกองหน้าแท้ ๆ แถมยังไม่เห็นแก่ตัว เล่นฟุตบอลอย่างรู้จังหวะที่สุด
พวกเขาทั้ง 3 คนถูกมิกซ์ให้เข้ากันอย่างกลมกล่อมโดยยอดคนอย่าง บัสบี้ ... และจากวันนั้นในปี 1964 สามประสาน เบส์ ลอว์ และ ชาร์ลตัน ทำในสิ่งที่พวกเขาเชี่ยวชาญมาเสมอ นั่นคือการพาทีมเอาชนะคู่แข่ง และฝากลวดลายที่เหนือชั้นไว้ จนกลายเป็นที่เลื่องลือไปทั่วเกาะอังกฤษ เรียกได้ว่าถ้าเปรียบกับฟุตบอลสมัยนี้ก็เหมือนกับการที่เหล่าซูเปอร์สตาร์ระดับโลก เดินทางไปแข่งตามจังหวัดต่าง ๆ ซึ่งการมาของพวกเขาก็ทำให้แฟนบอลเข้ามารอชมความมหัศจรรย์ของกลุ่มทรินิตี้ด้วยตาตัวเองเต็มความจุของสนามร่ำไป
"พวกเขาคือนักเตะที่มีเคมีเข้ากันที่สุด และคุณสามารถเห็นสิ่งนั้นได้ด้วยตาเปล่า ... กลุ่มยอดนักเตะที่รู้วิธีเล่นร่วมกันในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าเกมจะเดือด อึดอัด และยากแค่ไหน คุณสามารถรู้ได้ว่า บ็อบบี้ ชาร์ลตัน จะสามารถยิงประตูจากจุดไหนก็ได้ในสนาม, เดนิส ลอว์ จะทำอะไรสักอย่างจากความว่างเปล่าในกรอบเขตโทษ และ จอร์จ เบสต์ จะสร้างสิ่งมหัศจรรย์ด้วยเท้าทั้งสองข้างของเขาในทุกชั่วขณะที่คุณกระพริบตา ... นี่แหละคือความยอดเยี่ยมที่ผมจะอธิบายถึงพวกเขา" แพ็ดดี้ ครีแลนด์ อดีตนักเตะของ แมนฯ ยูไนเต็ด อธิบายได้อย่างเห็นภาพที่สุด
ไม่ใช่แค่แฟนบอลทีมอื่น ๆ เท่านั้นที่อยากเห็นความมหัศจรรย์ดังที่ว่า เพราะแม้กระทั่งสนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด ก็ยังเล็กเกินไปจนต้องต่อเติมเพิ่มเพื่อให้เพียงพอต่อการต้อนรับผู้ชมที่ต้องการเข้ามาดูโชว์ของ แมนฯ ยูไนเต็ด ยุคนั้นที่นำโดย 3 ทหารเสือที่เก่งกาจที่สุด พวกเขาพาทีมคว้าแชมป์ต่าง ๆ มากมายเกินกว่าจะนับ แต่เอาเป็นว่า ยูไนเต็ด ในยุคที่มีสามคนนี้ พวกเขาคว้าครบทุกแชมป์ที่พวกเขาร่วมแข่งขัน
และความยอดเยี่ยมของพวกเขาถูการันตีด้วยรางวัลบัลลงดอร์คนละ 1 สมัย โดยเริ่มจาก เดนิส ลอว์ ที่คว้าได้ในปี 1964, ชาร์ลตัน ในปี 1966 และ จอร์จ เบสต์ ในปี 1968 ... ไม่มีข้อสงสัยใด ๆ สำหรับพวกเขาอีกต่อไป พวกเขาคือนักเตะที่เก่งที่สุดในโลกที่ลงสนามร่วมกันโดยมีรางวัลที่ใหญ่ที่สุดในโลกการันตี เท่านี้ก็พอจะอธิบายถึงความยอดเยี่ยมของ "เดอะ โฮลี่ ทรินิตี้" ได้เป็นอย่างดี
สิ่งสำคัญก็คือพวกเขาไม่ได้สร้างความสำเร็จในแง่ถ้วยรางวัลอย่างเดียวเท่านั้น พวกเขาถือเป็นหน้าประวัติศาสตร์ใหม่ของสโมสร และเป็นยุคที่สโมสรใช้ความสำเร็จในสนาม ณ เวลานั้นต่อยอดไปยังสิ่งอื่น ๆ อีกมากมาย ทั้งการต่อเติมสร้างสนาม การให้ความสำคัญและการสร้างนักเตะท้องถิ่น และแน่นอนว่าพวกเขาเริ่มเข้าใจว่าฟุตบอลนั้นคือความสำเร็จที่ทำเงินได้มหาศาล เพราะ แมนฯ ยูไนเต็ด เริ่มใส่ใจกับเรื่องของการตลาด และการบริหารภายในสโมสรเพื่อต่อยอดความยิ่งใหญ่ตั้งแต่วันนั้น ... จนกระทั่งพวกเขากลายเป็นสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอังกฤษเช่นทุกวันนี้
นั่นคือเหตุผลว่าทำไมสโมสรแห่งนี้มีนักเตะที่พาทีมคว้าแชมป์มากมาย แต่ "เดอะ โฮลี่ ทรินิตี้" เป็นนักเตะเพียง 3 คนเท่านั้นที่มีรูปปั้นอยู่หน้าสนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด ... เพราะความยิ่งใหญ่ของสโมสรแห่งนี้ ส่วนหนึ่งเริ่มต้นจากยุคสมัยของพวกเขานั่นเอง
แหล่งอ้างอิง
https://en.wikipedia.org/wiki/United_Trinity
https://en.wikipedia.org/wiki/George_Best
https://en.wikipedia.org/wiki/Denis_Law
https://en.wikipedia.org/wiki/Bobby_Charlton
https://www.manutd.com/en/news/detail/on-this-day-1964-united-trinity-play-together-for-first-time
https://www.sportingnews.com/us/soccer/manchester-united/news/united-trinity-denis-law-george-best-bobby-charlton-era-munich/adf77afa08243960ea9be149
https://www.bbc.com/sport/football/articles/c4gpdg15892o