ทุกความสำเร็จมีนั้นล้วนมีที่มา บางคนเหนื่อยยากลำบากแทบตายสู้ชีวิตจนสามารถกลายเป็นบุคคลสำคัญ ส่วนบางรายแค่อยู่เฉยๆ โชคก็หล่นทับแบบไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะได้มาด้วยวิธีไหนแต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ล้วนแต่ยิ่งใหญ่ในสาขาอาชีพทั้งนั้น
ไม่เว้นแม้แต่เจ้าของร้านอาหารที่เคยได้รางวัลมิชลินถึง 15 ดาว อย่าง กอร์ดอน แรมซี่ย์ ที่ใครต่อใครต่างยกย่องให้เป็นเชฟชื่อดังเบอร์ 1 ของโลก เจ้าของรายการทำอาหารที่โหดและดังที่สุด "Hell's Kitchen"
ไม่ว่าเขาจะทำอะไรดูเหมือนมันจะดีไปหมด ทั้งการตอบคอมเมนท์ในทวิตเตอร์ และใช้วาจาที่เฉือดเฉือนดุเดือดจนคนดูติดกันงอมแงม แต่นั่นแค่เรื่องหน้าฉากและจิ๊บจ๊อยมาก เมื่อคุณจะได้รู้ว่าแท้จริงแล้วปากของแรมซี่ย์ เปลี่ยนชีวิตเขาไปมากแค่ไหน
เฮ้ยจริงดิ!
ปี 1985 ทีม กลาสโกว์ เรนเจอร์ส หนึ่งในตำนานแชมป์แห่ง สก็อตติช พรีเมียร์ลีก มีฤดูกาลที่ยากลำบากพอสมควร พวกเขาถูกคู่แข่งร่วมเมืองอย่าง เซลติก ทิ้งไปไกลหลายแต้ม แต่ปัญหาใหญ่มันไม่ได้อยู่ที่ระยะห่าง แต่มันคือกำลังพลที่ร่อยหรอลงเพราะอาการบาดเจ็บตามเล่นงาน
ย้อนกลับไปตอนนั้น ฟุตบอลของ เรนเจอร์ส มีปัญหาค่อนข้างหนักหน่วง โดยเฉพาะของอาการบาดเจ็บของเหล่านักฟุตบอลตัวหลักจนทำให้ผลงานไม่ดี ดังนั้นจึงเลี่ยงไม่ได้ที่กุนซือ จ็อค วอลเลซ จะต้องดึงเอานักเตะจากทีมชุดเยาวชนขึ้นมาเสริมให้กับทีมชุดใหญ่
ความยอดเยี่ยมหนึ่งเดียวของ เรนเจอร์ส ในเวลานั้นคือดาวยิงตัวเก๋าอย่าง อัลลี่ แม็คคอยส์ ที่ยิงให้ เรนเจอร์ส ไปถึง 251 ประตูจากการลงเล่น 416 นัด ทำให้เขากลายเป็นตำนานของทีมในภายหลัง ทว่าตำนานจะไม่เป็นตำนานเลยหากไม่มีกองหลังดาวรุ่งวัย 19 ปี ผลผลิตจากเยาวชนที่สโมสรภาคภูมิใจ และคนๆ นั้นคือ กอร์ดอน แรมซี่ย์ คนที่เป็นเหมือนกำแพงเหล็กให้เหล่าเกมรุกเดินเกมบุกกันได้อย่างไม่ต้องพะวักหน้าพะวงหลัง
ขออนุญาตกรอหน้าไปอีกร่วม 20 ปี วันที่ แรมซี่ย์ มีชื่อเสียงโด่งดังแล้ว ซึ่งเขาจะเล่าเรื่องเก่าๆ ในวันที่เป็นนักเตะให้โลกรู้ ... เดือน มกราคมปี 2008 เป็นช่วงที่รายการดังซึ่งเขาเป็นพิธีกรอีกรายการอย่าง "The F Word" ตอนที่ 12 ของซีซั่น 4 มีคิวต้องไปถ่ายทำกันที่ ไอบร็อกซ์ สเตเดี้ยม รังเหย้าของ กลาสโกว์ เรนเจอร์ส แน่นอนว่ามันทำให้ กอร์ดอน แรมซี่ย์ ผู้มีบ้านเกิดอยู่ไม่ไกลจากเมืองกลาสโกว์ แถมยังเป็นแฟนของทีมๆ นี้เฝ้ารอมันเป็นพิเศษ
"คิดถึงจังบ้านจ๋า" คือประโยคแรกที่เขาพูด และส่งท้ายด้วยประโยคที่ชวนให้คนคิดตาม "ไม่มี ไอบร็อกซ์ สเตเดี้ยม วันนั้น ผมคงไม่ได้เป็นเชฟเหมือนในวันนี้"
แฟนๆ ของ เรนเจอร์ส รุ่นหลังถึงกับเป็นงงปนเซอร์ไพรส์ พวกเขาไม่เคยคิดว่าเชฟชื่อดังจะเคยเป็นนักเตะของทีมที่พวกเขารัก และถ้ามันเป็นเช่นนั้นจริง พวกเขาก็อยากรู้ว่า แรมซี่ย์ ได้ลงเล่นเกมไหนบ้าง และอยากได้ฟังประสบการณ์ที่แสนจะวิเศษนั้น ซึ่งแน่นอนว่า แรมซี่ย์ จัดให้เต็มๆ ไม่มีกั๊ก และไม่ใช่เพียงแค่ปากเปล่าเท่านั้น เขายังมีรูปถ่ายรวมทีมของ เรนเจอร์ส โดยมีนักเตะอีกหลายคนอยู่ในภาพนั้นด้วย ซึ่งหลักฐานชิ้นนี้มันชัดเจนว่าเขาอยู่ในทีมชุดนั้น และพร้อมจะลงแข่งขันเกมใดเกมหนึ่งในปี 1985 อย่างแท้จริง
กอร์ดอน ผู้น่าสงสาร
ฝีเท้าของ แรมซี่ย์ ถือว่าจัดจ้านมาก เขาคือเด็กที่ก้าวกระโดดโดยมีจุดเริ่มต้นจากการเป็นนักวิ่งมาก่อน และสปีดคือสิ่งที่เขามั่นใจในตัวเองมากว่า ถ้าไม่ใช่นักเตะ "ระดับโลก" ก็ยากที่จะผ่านเขาไปง่ายๆ แบบไร้รอยขีดข่วน
"ผมเรื่มจากเป็นนักวิ่ง และผมทำผลงานในระดับโรงเรียนได้ดีมาก จนโดนจับมาเล่นฟุตบอลในตำแหน่งแบ็คซ้าย ด้วยความที่เป็นนักวิ่ง 100 เมตรมาก่อน กับตำแหน่งนี้คุณอาจจะลากบอลผ่านผมได้สักครั้ง แต่ผมบอกเลยว่าครั้งที่ 2 ไม่มีทางเกิดขึ้นแน่ ถ้ามว่าผมเหมือนใคร ผมจะบอกให้ผมนี่แหละคือ สจ็วร์ต เพียร์ซ แห่ง เรนเจอร์ส ดีๆ นี่เอง"
ครอบครัวของ แรมซี่ย์ ย้ายกลับไปอยู่ที่ สก็อตแลนด์ อีกครั้ง และนั่นทำให้เขาได้มีโอกาสไปทดสอบฝีเท้ากับทีมชุดเยาวชน ซึ่งกลุ่มสตาฟฟ์โค้ชชอบใจในฝีไม้ลายมือของเขาแบบสุดๆ จนต้องมอบสัญญาอาชีพให้ทันทีไม่มีเงื่อนไขใดๆ เพราะหาก เรนเจอร์ส พลาดของดีราคาถูกนี้ไปพวกเขาจะต้องเสียใจแน่
กุนซือของทีมอย่าง จ็อค วอลเลซ เดินมาบอกกับ แรมซี่ย์ หลังจากซ้อมร่วมกับทีมชุดใหญ่ได้ไม่กี่วัน "แก เตรียมตัวให้พร้อม ฉันจะให้แกลงสนาม" เขาว่าเอาไว้เช่นนั้นและทำให้ แรมซี่ย์ ในวัย 18 ปี ตื่นเต้นถึงขีดสุด
ไม่ใช่เรื่องโกหก เพราะ วอลเลซ ส่ง แรมซี่ย์ ลงชิมลางในเกมกับ เซนต์ จอห์นสโตนส์ และ มอร์ตัน เกมละ 20 และ 10 นาทีตามลำดับ ให้เขาได้ซึมซับระบบการเล่นกับเพื่อนร่วมทีมไปก่อน เพื่อประโยชน์ของตัวเขาเองและกับทีมที่จะได้แบ็คซ้ายมาใช้งานในระยะยาว
"ผมลงเล่นเกมแรกกับ จอห์นสโตนส์ และ ตามด้วย มอร์ตัน ตอนนั้นการแข่งขันในทีมสูงมาก โดยเฉพาะเมื่อผมอายุแค่ 18 ปีเท่านั้น ตัวผมเปียกไปด้วยเหงื่อของความตื่นเต้น รู้สึกไร้แรงโน้มถ่วงเหมือนอยูบนดวงจันทร์ ผมเป็นกังวลพอสมควรเพราะฟุตบอลสมัยนั้นอัดกันหนักกว่าสมัยนี้หลายเท่านัก"
แม้จะเป็นกังวลแต่ทุกอย่างผ่านไปได้อย่างลุล่วง แรมซี่ย์ มีแววจะลงเล่นเป็น 11 ตัวจริงในเกมต่อไป และอาจจะกลายเป็นแบ็คซ้ายไดนาโมแบบถาวร เพราะ จ็อค วอลเลซ กุนซือของทีมยังชอบใจไม่หายกับสไตล์ของเขาใน 30 นาทีจาก 2 เกมแรกทีได้ชิมลางไปแล้ว
การซ้อมหนักยังคงดำเนินต่อไปในฤดูกาลที่เข้มข้น แรมซี่ย์ ได้บอลกระชากเข้าไปในกรอบเขตโทษ ก่อนจะหมุนตัวผิดจังหวะเพียงนิดเดียว ทว่านั่นคือโชคร้ายที่เปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาล เพราะเอ็นไขว้หน้าของเขาฉีกขาด และต้องใช้คำว่าโชคร้ายคูณสอง เมื่ออาการบาดเจ็บครั้งนี้รุนแรงจนทำให้เขาไม่อาจสานต่อฟอร์มฮ็อตให้กับเรนเจอร์สได้อีก แม้จะพยายามเร่งฟื้นฟูสภาพร่างกายและทำกายภาพบำบัดก็แล้ว ทว่ากุนซือ วอลเลซ ไม่อยากจะรออีกต่อไป เขามีแบ็คซ้ายคนใหม่มาแทนที่ และนั่นหมายความว่าสัญญาของ แรมซี่ย์ หมดลงเมื่อไหร่ เขาจะต้องออกจากทีมไปทันที
"จ็อค วอลเลซ เหมือน ไมค์ ไทสัน เวอร์ชั่นสก็อตติช เขาพร้อมจะฆ่าคุณทันทีถ้าไม่ถูกใจ เขาพร้อมจะจับคุณไปทรมานได้เลยทีเดียว"
"กอร์ดอน หมดเวลาของแกแล้ว เราตามความคืบหน้าของแกมานานมาก ถ้าแกหายดีแล้วอยากกลับมาก็โอเค แต่เราจะเลี้ยงคนที่แค่วิ่งเหยาะๆ ยังไม่ได้ให้อยู่กับทีมไปถึง 2 ปีไม่ได้" วอลเลซ ไม่อ้อมไม่ค้อม ใส่หมัดตรงน็อคเข้ากลางหัวใจแรมซี่ย์ทันที
"ไอ้ลูกหมาเอ้ย" นี่คือสิ่งที่ แรมซี่ย์ คิดในใจ ฝันของเขาพังสลาย การโดนบอกเลิกต่อหน้าแบบนี้ทำให้เขาร้องไห้หนักที่สุดตั้งแต่เกิดมา และเมื่อคิดว่าจะไปบอกพ่อที่ทำเพื่อเขามากมายกว่าเขาจะได้โอกาสเป็นนักเตะอาชีพแบบนี้ เขาก็ยิ่งร้องไห้จนน้ำตาแทบหมดบ่อ
"ผมเก็บซ่อนมันไว้ไม่ได้ ผมโคตรเสียใจ ผมด่าเขาตลอดทาง ไอ้นรกเอ้ย! และที่แย่ที่สุดคือการบอกพ่อที่จอดรถรอรับอยู่นอกสนาม และวันนั้นคือวันที่ใจผมแตกสลาย"
บาดเจ็บฟ้าประทาน
เมื่อเป็นนักฟุตบอลไมได้ก็ไม่เป็นไร เขายังพอมีสิ่งที่ชื่นชอบอยู่บ้าง อาทิ การทำอาหาร หลังจากผ่านเรื่องร้ายไปไม่กี่เดือน
"ผมยังรักฟุตบอลอยู่และคิดว่าการทำอาหารก็เหมือนกับฟุตบอล มันไม่ใช่งานแต่มันคือแพชชั่น (ความหลงใหล) เมื่อคุณเก่งและเจอกับงานในฝัน เมื่อนั้นคุณจะไม่สนเรื่องเงินๆ ทองๆ เลย"
แรมซี่ย์ ทำงานกับหลายโรงเรียน หลายร้านอาหาร แต่ปัญหาคือพฤติกรรมของเขาเป็นพวกเกรี้ยวกราดหัวรุนแรง อีกทั้งยังเป็นคนแอบมีเสน่ห์ดึงดูดเพศตรงข้ามอีกด้วย เพราะครั้งหนึ่งสมัยเป็นเชฟฝึกหัด เขาเคยมีเรื่องชู้สาวกับภรรยาเจ้าของโรงแรมจนโดนไล่ออกมาแล้ว
การเป็นคนแบบนี้ทำให้ แรมซี่ย์ ทำงานเป็นลูกน้องใครได้ไม่นานนัก เขาอาจจะชอบด่าคนอื่น แต่ถ้าใครด่าเขาขึ้นมาเขาก็ไม่ยอมง่ายๆ แต่คนมันมีฝีมือ แม้จะไม่ชอบหน้าแต่ก็ต้องสนับสนุน นั่นคือเหตุผลที่ปี 1994 เจ้าตัวได้มีส่วนร่วมกับการเปิดร้านอาหารเป็นครั้งแรกชื่อว่า Aubergine โดยแรมซี่ย์ถือหุ้น 10% และเขารู้ดีว่าการจะทำร้านอาหารให้ปังได้ การมีสตอรี่ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะเรื่องฟุตบอลกีฬายอดฮิต จะทำให้แฟนบอลของ เรนเจอร์ส เข้ามากินอาหารในร้านของเขามากกว่าเดิม
สิ่งที่ได้กล่าวไปทั้งหมดเกี่ยวกับสถานการณ์ "ซีโร่ ทู ฮีโร่" ของ แรมซี่ย์ นั้น ถูกเล่าผ่านสื่ออีกครั้งและมันได้ผล เขาได้ประเด็นโปรโมตร้านและมีโอกาสลงสื่อต่างๆ นี่คือผลประโยชน์จากการเป็นอดีตนักฟุตบอลอาชีพอย่างแท้จริง ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องการเป็นอดีตแข้งอาชีพถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จใจการเปิดร้านอาหารสาขาแรก ก่อนจะขยายมาเป็นอีกสิบๆ สาขา และเข้ามาปรากฎหน้าสื่อใหญ่ กลายเป็นท็อปเชฟผู้ทรงอิทธิพลในทุกวันนี้
"ผมจะแลกความสำเร็จในการเป็นเชฟกับการประสบความสำเร็จในการเป็นนักฟุตบอลหรือเปล่า? ... แน่นอน ผมรู้สึกยอดเยี่ยมมากเมื่อได้ออกวิ่งบนสนามหญ้า มันตื่นเต้นที่ได้เล่นในสนามที่ใหญ่โต แต่ก็ต้องยอมรับอย่างนะ เพราะผมอาจจะไม่ได้เป็นสุดยอดนักเตะก็ได้หากถึงเวลานั้น แต่ที่แน่ๆ คือตอนนี้ผมคือเชฟที่โคตรจะยอดเยี่ยมตัวจริงเสียงจริง"
ยังไม่จบ...
แม้จะไม่ใช่ยุคโซเชี่ยลเต็มรูปแบบ แต่นักสืบก็ซ่อนตัวอยู่ทั่วทุกมุมโลก และเรื่องราวของแรมซี่ย์ ที่เขาโพนทะนาไปไกล กลับไม่ค่อยเข้าหูแฟนเรนเจอร์สพันธุ์แท้เท่าไรนัก
พวกเขาเหล่านี้เข้าชมเกมทุกนัดเป็นสิบๆ ปีติดต่อกันโดยไม่พลาดเลย และเกิดอาการเอะใจมากว่าเขาพลาดตรงไหนไปบ้าง เหตุใดจึงไม่คุ้นกับเรื่องที่ แรมซี่ย์ เล่ามาเลยแม้แต่น้อย
โรเบิร์ต แม็คเอลรอย แฟนรุ่นเก๋าที่เชียร์ทีม เรนเจอร์ส มาตั้งแต่ 1972 คือคนที่แฟนเรนเจอร์ส รุ่นหลังอยากฟังทรรศนะจากเขามากที่สุด และมื่อถามคุณตาโรเบิร์ต เขาบอกได้เพียงคำเดียวว่า "ไร้สาระ"
"มันขนาดนั้นเลยเหรอ ถ้าเขาเก่งขนาดนั้นจริง เขาได้สัญญาอาชีพไปแล้ว แต่ดูทรงแล้วเขาแทบไม่เคยมีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยนะ แบบนี้แหละเรื่องจริง เขาไม่มีทางได้สัญญาอาชีพหรอก"
ขณะที่ จ็อค วอลเลซ กุนซือที่โดนกล่าวอ้างว่าเป็น ไมค์ ไทสัน รวมถึงผู้ช่วยโค้ชอย่าง อาร์ชี่ น็อกซ์ เมื่อได้เห็นบทสัมภาษณ์ที่แสนใหญ่โตก็อดไม่ไหวที่จะค้านเหมือนกัน เพราะพวกเขาคือคนที่ถูกกล่าวอ้างเต็มๆ แรมซี่ย์ เคยบอกว่าถูก วอลเลซ เรียกตัวเข้าไปในออฟฟิศเพื่อเซ็นสัญญาเล่นให้ทีมชุดใหญ่ แต่ความจริงแล้วทั้งสามคนร่วมกันผสานเสียงจนออกมาเป็นเสียงดังฟังชัดว่า "ไร้สาระ" ... งานนี้เลี่ยงไม่ได้เลยที่ แรมซี่ย์ จะถูกแหกหน้าสำหรับความภูมิใจในครั้งนี้ของเขา
"เอาตรงๆ นะ ผมจำไม่ได้เลยซักนิด ไอ้หมอนี่มันมาเล่นให้เรนเจอร์สเมื่อไหร่กัน?" มิสเตอร์ น็อกซ์ เปิดหัวแบบไม่ไว้หน้าเชฟดังระดับโลก เขาปล่อยหมัดฮุกทันที
"ครั้งแรกที่ผมรู้จักเขาก็ปี 1996 ที่เขาเปิดร้านแล้วเขียนอัตชีวประวัติของตัวเองนี่แหละ เขาไม่รู้จักผมหรอก เพราะเราไม่เคยเจอหน้ากันเลยแม้แต่หนเดียว"
จะว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องหน้าแตกก็พูดได้เต็มปาก มันทำให้ทีมโฆษกหรือผู้จัดการของ แรมซี่ย์ ออกมาแก้ต่างว่า มีรูปยืนยันที่ แรมซี่ย์ ถ่ายรูปรวมทีม แถมยังมีรูปคู่กับ อัลลี่ แม็คคอยส์ อีกด้วย เอาล่ะ พวกเขากำลังจะบอกว่าพวกเขามีหลักฐานชิ้นเอกมาค้านและเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับ แรมซี่ย์ ได้ คดีกำลังจะพลิก! จนกระทั่งเบิกพยานปากสุดท้ายออกมาและพยานคนนี้จบทุกข้อสงสัยอย่างชัดเจน
อลัน แคร์น คือคนที่ถ่ายภาพใบนั้น และไขความจริงด้วยปากของเขาเองว่าเรื่องนักเตะอาชีพ "มั่วล้านเปอร์เซ็นต์" เพราะภาพที่เขาเป็นคนลั่นชัตเตอร์ซึ่งมี แรมซี่ย์ ในนั้น คือภาพเกมระดับกระชับมิตรเท่านั้น แถมเป็นเกมกระชับมิตรแบบเทสติโมเนียลแมตช์ ซึ่งเกณฑ์เอาเด็กนักเรียนที่มาเรียนฟุตบอลกับสโมสรในช่วงปิดเทอมอีกด้วย โดย แรมซี่ย์ ก็เป็นแค่นักเรียนที่มาร่วมโครงการนั้นด้วยเท่านั้น ทีมเรนเจอร์สยืนยันด้วยว่า เชฟคนดังผู้นี้ได้เล่นร่วมกับทีมในฐานะ "นักเตะทดสอบฝีเท้า" ก่อนที่จะเกิดอาการบาดเจ็บระหว่างการฝึกซ้อมจนความฝันต้องปลิดปลิว
เสือร้ายสิ้นท่า ที่สุดแล้วเรื่องราวแบ็คซ้ายความไวปีศาจที่เก่งพอๆ กับ สจ็วร์ต เพียร์ซ ก็เป็นแค่เรื่องที่คิดไปเองของ แรมซี่ย์ ทั้งนั้น จริงอยู่ อาจจะมีข้อมูลบางส่วนที่เกิดขึ้นจริงบ้างแต่ก็ไม่ถึง 10% เลยด้วยซ้ำไป เขาจัดการตีไข่ใส่สี เสริมเรื่องนี้ให้มันยาวขึ้นและเว่อร์ขึ้นกว่าเดิมเยอะเลยทีเดียว ... ซึ่งในตอนจบ เมื่อไม่สามารถไปได้แบบน้ำขุ่นๆ อีกแล้ว เขาก็ออกลูกตีมึนทันที และบอกว่าตัวเขาเองนั้นอาจจะสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นไปหน่อย เพราะเวลามันผ่านไปนานแล้วจึงทำให้ความทรงจำเลือนลางไปตามกาลเวลา
เรื่องนี้อาจจะไม่เปลี่ยนชีวิตของ กอร์ดอน แรมซี่ย์ ไปมากมายอะไร เพราะความจริงเปิดเผยในวันที่เขายิ่งใหญ่และมีชื่อเสียง เรื่องนักฟุตบอลอาชีพแบบหลอกๆ จึงกลายเป็นแค่เรื่องที่ผ่านมาและผ่านไปตามแบบฉบับข่าวกอสซิบทั่วไป
หลายคนลืม แต่ที่แน่ๆ มีบางคนที่จำฝังใจแน่ ... ความเขินปนหน้าแหกครั้งนี้จะเป็นบทเรียนที่เขาต้องจดจำไปตลอดชีวิต และเขาได้รู้แล้วว่าความจริงคือสิ่งที่ไม่ตาย โกหกไว้อย่างไรสักวันหนึ่งสิ่งนี้มันจะปรากฎตัวออกมาแน่ เหลือแค่ว่าจะเป็นเวลาช้า-เร็วเท่าไรแค่นั้นเอง
... เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้
แหล่งอ้างอิง
https://www.dailymail.co.uk/tvshowbiz/article-1158283/How-Gordon-Ramsay-lied-football-career-raise-celebrity-profile.html
https://uk.reuters.com/article/uk-britain-ramsay-life-idUKTRE5212KI20090302
https://www.theguardian.com/observer/osm/story/0,,708139,00.html
https://www.theguardian.com/sport/blog/2009/mar/08/gordonramsay-rangers
https://www.telegraph.co.uk/news/celebritynews/4903118/Gordon-Ramsay-admits-claims-about-his-Rangers-career-may-be-inaccurate.html