เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ เป็นนักเตะของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่แฟนบอลทีมอื่น ๆ ต่างก็ชื่นชอบในความเก่งกาจและการเป็นตัวจบสกอร์เบอร์ 1 ของโลก ณ ปัจจุบันเลยก็ว่าได้
ความเก่งกาจของเขามันไม่มีทีท่าว่าจะลดลง แต่กลับกลายเป็นว่า หลังจากเกมที่เขาเปิดโจทก์กับ อาร์เซน่อล ด้วยการพูดจาเชิงหยามเหยียดใส่ มิเกล อาร์เตต้า ว่า "เจียมตัวหน่อย" เรื่องราวแปลกประหลาดก็เกิดขึ้น
จากสัตว์ประหลาดที่ยิงแฮตทริกสบาย ๆ แทบทุกเกม ตอนนี้ ฮาลันด์ กระเสือกกระสนอย่างมากกว่าจะยิงได้แต่ละลูก และนับจากวันนั้น เขาเพิ่งยิงประตูได้แค่ลูกเดียวเท่านั้น
การเป็น ฮาลันด์ "สายซิ่ง" ที่ชนดะและใช้วาทะแสบสันต์ มีผลต่อฟอร์มของเขาหรือไม่ ? ถ้ามี มันส่งผลอย่างไร ? ติดตามกับ Main Stand
ลบภาพลักษณ์เครื่องจักรทิ้ง
จริง ๆ เรื่องนี้ไม่ใช่ของใหม่อะไร เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ เคยประสบพบเจอมันมาแล้วเมื่อ 4 ปีก่อน ในตอนที่เขาเล่นให้กับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ จากการแสดงท่าดีใจนั่งสมาธิหลังจากทำประตูใส่ ปารีส แซงต์ แชร์กแม็ง ในถ้วยแชมเปี้ยนส์ลีก หลังพาเสือเหลืองเอาชนะได้สำเร็จ 2-1 ในเกมรอบ 16 ทีม เลกแรก
ฝั่ง เปแอสเช เก็บความแค้นจากท่าดีใจกวนประสาทนี้ไว้ และใช้มันเล่นงานเขากลับหลังเกมเลกสอง ที่ เปแอสเช พลิกกลับมาเข้ารอบได้ด้วยชัยชนะที่ท่วมท้นกว่า และหลังเกม แข้ง เปแอสเช พร้อมใจกันทำท่าดีใจของ ฮาลันด์ ถ่ายรูปลงอินสตาแกรมกันอย่างสนุกสนาน เพื่อล้อเลียน ฮาลันด์ ในวัย 20 ปี คืนไปอย่างรวดเร็ว
ครั้งนั้นกระแสของโลกฟุตบอลเห็นใจ ฮาลันด์ เพราะว่าเขาไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการยิงประตูได้ แต่หลังจากนั้นผ่านไป 4 ปี ฮาลันด์ ที่ถูกจดจำในฐานะสัตว์ประหลาดจอมซื่อ เหมือนกับพระเอกการ์ตูนโชเน็น ที่มีพลังที่ร้ายกาจอยู่ในตัว แต่ใช้ชีวิตเรียบง่าย มีความสุขกับความฝันเล็ก ๆ เช่นการอยากมีฟาร์มวัวเป็นของตัวเอง การใช้เวลาปิดฤดูกาลไปกับการล่องแก่งเข้าแคมป์ ทำไร่นาในบ้านเกิด
ภาพลักษณ์ของเขาเป็นแบบนั้นมาตลอด และมีแฟนบอลน้อยคนมากที่จะเกลียดเขาจากคาแร็คเตอร์แบบนั้น ... จนกระทั่งในเกมพรีเมียร์ลีกกับ อาร์เซน่อล ในต้นซีซั่น 2024-25 ความเดือดดาลของเกมนั้นทำให้ทุก ๆ อย่างแปลกออกไป อะไรที่เราไม่เคยได้เห็น เราก็จะได้เห็น และถือเป็นเกมที่ทำให้ แมนฯ ซิตี้ กับ อาร์เซน่อล เป็นอริกันแบบชัด ๆ เลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะ ฮาลันด์ ที่สร้างปัญหานอกเกม ทั้งการโยนบอลใส่หัวของ กาเบรียล มาร์กัลเญส หลัง แมนฯ ซิตี้ ตีเสมอ อาร์เซน่อล ในนาทีสุดท้ายของช่วงทดเวลา
และหลังจากเกมจบไม่นาน มีการปะทะกันของนักเตะทั้งสองฝั่ง จนเลยเถิดถึงขั้นโค้ชฝั่ง อาร์เซน่อล อย่าง อาร์เตต้า ต้องเข้ามาห้าม กระทั่ง ฮาลันด์ ได้เอ่ยคำแตกหักออกมาว่า "เจียมตัวหน่อยเฮ้ย (Stay humble eh!)"
มันไม่สามารถแปลงความหมายเป็นอื่นใด มันคือการบอก อาร์เตต้า และฝั่ง อาร์เซน่อล ว่า แมนฯ ซิตี้ ในยุคของเขาที่ประสบความสำเร็จทุกอย่าง และเพิ่งคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกแบบหักอก อาร์เซน่อล มา 2 ฤดูกาลติด (2022-23 และ 2023-24) คือทีมที่ยิ่งใหญ่กว่า และอาร์เซน่อลไม่ควรที่จะเอาตัวมาเทียบกับทีมเรือใบสีฟ้าในตอนนี้
ในแง่ของความเป็นจริง ฮาลันด์ ก็พูดถูก ไม่มีทีมไหนในอังกฤษผลงานดีเท่ากับ แมนฯ ซิตี้ อีกแล้วในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาทั้งในเวทีบอลลีก และบอลยุโรป เพียงแต่ว่าของแบบนี้มีไว้ให้คนอื่นพูดชื่นชมจะดีกว่า เมื่อใดที่คุณออกอาการโอ้อวดความสำเร็จและความยิ่งใหญ่เหล่านี้ด้วยตัวเอง รับรองได้ว่ามันจะต้องไปขัดหูใครสักคน ต่อให้สิ่งที่คุณพูดมันจะเป็นเรื่องจริงก็ตาม ซึ่ง อาร์เซน่อล ในฐานะผู้แพ้ในการดวล ย่อมรู้สึกว่านี่คือการเปิดโจทก์ของ ฮาลันด์ และกลายเป็นอริแบบผีไม่เผาเงาไม่เหยียบอย่างเต็มตัว
คุณอาจจะมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวและเป็นสีสัน แต่สำหรับนักวิเคราะห์หลายคนมองว่า การกระทำของ ฮาลันด์ ในวันนั้น เป็นการสร้างศัตรูและความกดดันให้ตัวเองแบบที่เขาไม่ทำมันจะดีเสียกว่า
"ฮาลันด์ ทำในสิ่งที่น่าสนใจมาก นักเตะที่น่าเหลือเชื่ออย่างเขาที่ทุกคนมองว่าเป็นเครื่องจักรยิงประตูที่แสนใสซื่อ ได้เปลี่ยนภาพลักษณ์ตัวเองไปแล้วอย่างสิ้นเชิงในเกมนี้" รอรี่ สมิธ นักข่าวของ The New York Times กล่าว
"ฮาลันด์ ไม่เคยทำให้ผมรู้สึกว่าเขาเป็นนักเตะที่หยิ่งยะโสโอ้อวด เขาทำงานหนักในสนาม และนอกสนามเขาไม่เคยให้สื่อมีเรื่องที่ต้องขยี้มากมายนัก ... ลงเล่น ยิงประตู จบเกม และทำซ้ำอีกครั้งในเกมหน้า ภาพลักษณ์ของ ฮาลันด์ เป็นแบบนี้มาตลอดในสายของผมและแฟนบอลส่วนใหญ่"
"แต่ตอนนี้เขาทิ้งภาพลักษณ์ที่สร้างไว้ไปหมดแล้ว ไม่ใช่แค่การขว้างบอลใส่หัวของ กาเบรียล เท่านั้น แน่นอนว่าแค่นี้ก็แย่แล้ว แต่เขายังมีปากเสียงกับ มิเกล อาร์เตต้า ด้วย นับเป็นครั้งแรกที่ ฮาลันด์ ทำแบบนี้ และมันไม่ใช่สิ่งที่ดีนัก มันคือการแสดงออกว่ามีบางสิ่งเกิดใหม่ขึ้นในการแสดงออกของเขา และมันแสดงให้เห็นถึงแง่มุมของความเกลียดชังที่เขาซ่อนเอาไว้มาตลอด" สมิธ ปิดท้าย
หลังจากเกมนั้น ฮาลันด์ ยิงประตูน้อยลงอย่างไม่น่าเชื่อ และแมนฯ ซิตี้ ก็แพ้ 5 เกมติดต่อกันแบบที่ไม่มีใครคิดฝัน ... บทตัวร้ายส่งผลกับเขาหรือเปล่า ?
เกี่ยวกันไหม ?
ฮาลันด์ กับภาพลักษณ์ที่เปลี่ยนไปส่งผลมากแค่ไหนกันแน่ ? ... อันที่จริงเรื่องของการเป็นสายซิ่งหรือตัวเปิด ถือว่าไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับโลกฟุตบอล มีนักเตะหลายคนที่มักจะใช้คำพูด หรือแสดงออกนอกสนามในเชิงลบออกมา แต่พวกเขาก็สามารถรับมือกับมันได้ เพียงแต่ว่าเขาคนนั้นต้องเป็นคนที่มีสมาธิ และมีความมั่นใจในตัวเองสูงมาก
ซลาตัน อิบราฮิโมวิช เป็นคน ๆ นั้นแบบที่ยกตัวอย่างแล้วต้องร้องอ๋อทันที ซลาตัน มีปัญหากับคู่แข่งของเขาแทบทุกคน และมีคำพูดแสบ ๆ ออกจากเขาแทบทุกครั้งที่ไมโครโฟนจ่อปาก แต่ ซลาตัน ดูจะไม่สะทกสะท้านกับคำวิจารณ์หรือความกดดันที่ตามมานัก เหตุผลหลัก ๆ ก็เพราะเขาเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองสูง และสนุกกับการท้าทายสิ่งเหล่านั้น จนทำให้บางครั้งยิ่งโดน เขาก็ยิ่งเล่นได้ดี แต่ ฮาลันด์ เป็นแบบนั้นหรือเปล่า ?
ฮาลันด์ เป็นนักเตะที่มักออกมาเปิดเผยเรื่องเกี่ยวกับการหลีกเลี่ยงความเครียดและความกดดันมาตลอด เขามีวิธีการดูแลตัวเองมากมาย ตั้งแต่กาารกิน การนอน การเข้าคอร์สสุขภาพกายและสุขภาพจิต รวมถึงการใช้โซเชี่ยลมีเดียที่น้อยมาก และใช้เวลากับธรรมชาติมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าท่าทีที่สงบของเขามันเปลี่ยนไป ไม่เหมือนเดิมสักเท่าไร
เขากำลังขาดความมั่นใจ หลายคนรู้สึกแบบนั้น และมันก็สะท้อนจากฟอร์มการเล่นของเขาเอง หลังจากเกมกับ อาร์เซน่อล ที่เกิดเหตุครั้งนั้น เขาลงเล่นไปอีก 10 เกม และยิงได้ 5 ลูก ... มันอาจจะดูไม่แย่นักถ้าเป็นกองหน้าคนอื่น แต่นี่คือฮาลันด์ เครื่องจักรยิงประตู
และเมื่อแยกย่อยจะพบว่า 3 จาก 5 ลูกของเขาเกิดขึ้นในเกมเจอกับทีมรองบ่อนอย่าง สโลวาน บราติสลาว่า และ สปาร์ต้า ปราก ในเกมยุโรป ส่วนอีก 2 ลูกเกิดขึ้นในเกมกับ เซาธ์แฮมป์ตัน และ ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน ในเกมลีก
สิ่งที่เคยเป็นของง่ายกลายเป็นของยาก คุณอาจจะบอกว่านักเตะ แมนฯ ซิตี้ นั้นก็ขาดหายไปหลายคนจากอาการบาดเจ็บ ทำให้มาตรฐานการเล่นของ ฮาลันด์ ตกลงไป อาจจะเป็นเพราะเขาไร้ตัวป้อนบอลสวย ๆ ให้แบบที่เขาเคยเป็น ไม่ใช่เรื่องของความมั่นใจแบบที่เรากำลังพูดถึง แต่เราอยากให้คุณลองดูสถิติการเล่นผิดพลาดของเขาที่มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดประกอบไปด้วย
เพราะนอกเหนือจากการยิงได้แล้ว เรายังต้องไปมองความผิดพลาดของเขาด้วย ฮาลันด์ พลาดการยิงประตูมากมายในช่วง 10 เกมหลังจากดวลกับ อาร์เซน่อล และมีหลายเกมที่พลาดแบบเข้าตา พลาดโอกาสเหน่ง ๆ มากกว่า 3 ครั้งในเกมเดียว เช่นกับ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส และเกมกับ ฟูแล่ม ... นอกจากนี้ยังมีเกมที่เขามีโอกาสทำประตูมากกว่า 5 ครั้ง แต่ยิงไม่ได้สักลูก นั่นคือเกมที่เจอกับ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ซึ่งเสมอ 1-1 และ สปอร์ติ้ง ลิสบอน ที่สุดท้าย ซิตี้ แพ้ไปถึง 1-4 หนักที่สุดคือเกมกับ เซาธ์แฮมป์ตัน ที่ฮาลันด์ มีโอกาสยิงประตูถึง 8 ครั้ง แต่ยิงได้ลูกเดียว
เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เคยพูดเอาไว้เองว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดของกองหน้าคือความมั่นใจ ดังนั้นถ้าจะเทียบอ้างกับสิ่งที่เขาเคยยืนยัน เราก็พอจะบอกได้ว่าภายใต้ปัญหามากมายของ แมนฯ ซิตี้ ในเวลานี้ เราสามารถนับรวมเรื่องความมั่นใจของ ฮาลันด์ เป็นหนึ่งในปัญหาเหล่านั้นด้วยอย่างแท้จริง
ส่วนมันจะเกี่ยวข้องจากการที่เขาไปเปิดโจทก์ในเกมกับ อาร์เซน่อล จนทำให้ตัวเองเป็นคนที่ขายข่าวได้สำหรับสื่อ กระทั่งทุกวันนี้มีแต่เรื่องของเขาเต็มไปหมด เรื่องนี้มีแต่เขาเท่านั้นที่รู้อยู่แก่ใจ และเราในฐานะคนนอกคงไม่สามารถล่วงรู้ในสิ่งที่เขาไม่เคยพูดออกมาไม่ได้ เพียงแต่ในแง่ของเหตุผลที่เกิดขึ้นทั้งหมดดังที่กล่าวมา มันก็ชวนให้คิดไปในทางนั้นไม่น้อยเลยทีเดียว
ทางแก้เรื่องนี้ ?
แม้เราจะกล่าวมายืดยาวว่าเขากำลังประสบปัญหา แต่อันที่จริงเราต่างรู้ว่าไม่เร็วก็ช้า ด้วยศักยภาพที่ ฮาลันด์ มี บวกกับกลุ่มนักเตะแมนฯ ซิตี้ ตัวหลักที่ทยอยหายเจ็บกลับมาช่วยงานของเขา จะทำให้ประตูของ ฮาลันด์ กลับมาแบบไหลมาเทมาอีกครั้งแน่ ๆ
ฮาลันด์ เป็นคนที่จิตใจแข็งแกร่งระดับหนึ่งที่เคยสามารถผ่านเรื่องร้าย ๆ มาได้ ร้ายกว่าที่เขาทำในเกมกับ อาร์เซน่อล เขาก็เคยมาแล้ว ปี 2024 เขาเสียคุณยายที่สนิทมาก ๆ ไป และเขาก็ใช้เวลาตั้งหลักอยู่เกือบ 2 เดือนประตูของเขาก็ไหลมาเทมาอีกครั้ง ขณะที่ช่วงต้นซีซั่น 2024-25 ที่ผ่านมา เพื่อนของซี้ในวัยเด็กของเขา ที่ยังคบหาและให้กำลังใจกันอยู่ในปัจจุบันก็มาด่วนเสียชีวิตไปอีกคน แต่เขาก็ใช้เวลาไม่กี่สัปดาห์ กลับมาพร้อมลงเล่น และยิง 10 ประตูจาก 5 เกมแรก
และอย่างที่ได้กล่าวไปในข้างต้น ฮาลันด์ ใช้ชีวิตเหมือนกับมนุษย์ยุคหิน ห่างไกลโซเชี่ยล ใส่ใจเรื่องการพักผ่อน การออกกำลังกาย และการรักษาความฟิตของตัวเองเป็นอย่างดี ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้ทำให้เขายังมีต้นทุนที่ล้นเหลือ ยิ่งเมื่อบวกกับพรสวรรค์ในการจบสกอร์ที่ใครบนโลกนี้ก็เคยเห็นมาแล้วด้วยตาตัวเอง ก็ต้องนับว่าช่วงเวลาที่เกิดขึ้นกับฮาลันด์ในตอนนี้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับนักเตะทุกคน อยู่ที่ว่าใครจะผ่านมันไปได้เร็วหรือช้าแค่ไหนเท่านั้นเอง
ด้วยมาตรฐานที่สร้างมาตลอดอาชีพค้าแข้ง ทำให้ ฮาลันด์ ต้องเจอกับความกดดันอยู่ตลอด แค่วันไหนที่เขาไม่ยิงประตู เขาก็พร้อมจะที่ถูกมองว่าฟอร์มตกแล้ว ดังนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ก็ไม่ต่างจากเดิมนัก เขาเคยผ่านมันมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง และในแม้กระทั่งในวันที่เขาถูกชี้นิ้วว่าฟอร์มตก เขาก็ยังคงเป็นนักเตะที่ยิงประตูได้มากที่สุดในพรีเมียร์ลีก ณ ตอนนี้อยู่ดี
นี่คือความรับผิดชอบที่มาพร้อมกับความสามารถที่ล้นเหลือ มีแต่นักเตะระดับแถวหน้าของโลกเท่านั้นที่จะถูกจับตาทุกฝีก้าวแบบนี้ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอีกบททดสอบที่ ฮาลันด์ จะต้องผ่านมันไปให้ได้
ส่วนเรื่องคาแร็คเตอร์ใหม่ที่เขาสร้างขึ้นในฐานะสายซิ่ง ตัวเปิด หรืออะไรก็ตามที่คุณจะเรียกเขา เป็นเพียง 1 ในบทบาทที่เขาได้รับเท่านั้น ปัญหานี้จะโดนมองข้ามไปไม่ยากนัก หากการยิงประตูของเขากลับมาสู่จุดที่เรียกว่า "อุดปาก" ทุกเสียงวิจารณ์ที่มีได้สนิทแบบที่เขาเคยทำเป็นประจำ
แต่ความท้าทายของเขาในตอนนี้ก็คือ ทำอย่างไรให้ความมั่นใจนั้นกลับมา กลับมาเป็น เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ ปีศาจนักสังหารที่ยิงประตูได้ทุกรูปแบบในกรอบเขตโทษ และเป็นคนที่อยู่ตรงนั้นเสมอเวลาที่ทีมต้องการประตู ... ถ้าเขาผ่านความท้าทายนี้ไปได้อีก ก็แทบจะนึกไม่ออกแล้วว่าจะมีอะไรมาหยุดนักเตะอย่างเขาคนนี้ได้อีก ...
แหล่งอ้างอิง
https://www.goal.com/en/lists/pep-guardiola-explains-how-man-city-taking-care-of-erling-haaland/
https://www.bbc.com/sport/football/articles/cx257j78z1lo
https://www.goal.com/en/lists/erling-haaland-jumps-to-defence-man-city-form-insists-pep-guardiola-s-men-can-make-up-ground-liverpool/
https://www.fourfourtwo.com/features/manchester-city-why-critics-are-wrong-that-erling-haaland-is-a-big-game-bottler
https://www.dailymail.co.uk/health/article-13772743/Manchester-City-Erling-Haaland-health-routine-red-light-therapy.html
https://www.goal.com/en/lists/erling-haaland-misfiring-defenders-injuries-man-city-dark-place-pep-guardiola/
https://www.transfermarkt.com/erling-haaland/leistungsdaten/spieler/418560