Feature

อริคู่ใหม่ : การเปิดโจทย์แบบเต็มตัวของ แมนฯ ซิตี้ - อาร์เซน่อล | Main Stand

บิ๊กแมตช์ระหว่าง แมนฯ ซิตี้ กับ อาร์เซน่อล บอกให้เรารู้ว่า ณ ตอนนี้ อริเบอร์ 1 แห่งพรีเมียร์ลีกยุค 2020s ได้กลายเป็นการฟาดฟันกันระหว่างเรือใบสีฟ้าและปืนใหญ่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

ในเกมที่มีครบทุกอารมณ์พลิกไปพลิกมาแบบเดาตอนจบไม่ถูกและเกิดประเด็นมากมายให้พูดถึง นี่คือสิ่งที่ยืนยันว่า "อริคู่ใหม่" ถือกำเนิดอย่างเป็นทางการ

ไล่จากจุดเริ่มต้นของ แมนฯ ซิตี้ และ อาร์เซน่อล ไปจนถึงตอนจบของการพบกันครั้งแรกของฤดูกาล 2024-25 พร้อม ๆ กับ Main Stand ได้ที่นี่

 

จบเกมเป็นที่รู้กัน 

เมื่อเสียงนกหวีดหมดเวลาของเกมที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เสมอกับ อาร์เซนอล 2-2 แบบสุดมันดังขึ้น สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนขึ้นก็คือ ความเป็นคู่แข่งระหว่างแมนฯ ซิตี้ และอาร์เซนอลนั้นทวีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งเห็นได้ชัดเจนตลอด 90 นาทีที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม

บรรยากาศของเกมนั้นเกิดขึ้นในช่วง 4 วินาทีแรกของเกม ไค ฮาแวร์ตซ์ วิ่งเข้าใส่ โรดรี้ ทำให้กองกลางของแมนฯ ซิตี้เสียจังหวะและร่วงลงไปในทันที

จังหวะนั้นทำให้บรรยากาศของเกมเปลี่ยนและดำเนินไปด้วยความเข้มข้นตลอดทั้งเกม ทั้งสองทีมไม่ยอมถอยหลังแม้แต่น้อย และเห็นได้ชัดว่าความเป็นคู่แข่งของพวกเขานั้นทวีความรุนแรงมากขึ้น 

ทุกอย่างในเกมนี้เป็นการบอกเราว่า พวกเขามอบทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองมีเพื่อเกมนี้ มันเป็นความเข้มข้นระดับที่เกินปกติ และได้เห็นความตึงเครียดแผ่ซ่านออกมาตลอดทั้ง ลากยาวไปจนถึงตอนเกมจบที่ เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ และเพื่อนร่วมทีมของเขาทะเลาะกันอย่างดุเดือดกับนักเตะอาร์เซนอล ... ซึ่งภายหลังมีการถอดเสียงออกมา และจากประโยคที่หลุดออกมาในการปะทะคารมครั้งนั้น ดูเหมือนว่าความเป็นคู่แข่งของพวกเขาจะก้าวเข้าสู่ดินแดนแห่งใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่ว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ อาร์เซนอล เป็นคู่ต่อสู้กันเพื่อแชมป์พรีเมียร์ลีกสองสมัยติดต่อกัน มันค่อนข้างชัดว่าทั้งสองสโมสรมีความขัดแย้งกันอยู่แล้ว ความขัดแย้งนี้ทำให้ทั้งสองฝ่ายต้องต่อสู้กันมาตลอดสองฤดูกาลที่ผ่านมา สิ่งที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มี คือสิ่งที่ อาร์เซนอล ต้องการ และทีมของ มิเกล อาร์เตต้า ก็ดูเหมือนจะขยับเข้าใกล้ทีมของเจ้านายเก่ามากขึ้น ชนิดที่ว่าตอนนี้ความต่างนั้นแทบมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นแล้ว 

และไม่แปลกเลยที่นักเตะของ แมนฯ ซิตี้ จะมอง อาร์เซน่อล ด้วยท่าทีที่แข็งกร้าวกว่าที่เคย การให้สัมภาษณ์หลังเกมของทั้ง แบร์นาโด้ ซิลวา, จอห์น สโตนส์, ฮาลันด์ และ มานูเอล อาคานจี ... ทุกคนได้ให้สัมภาษณ์แบบที่เราเข้าใจด้วยธรรมชาติว่าพวกเขาใส่อารมณ์ และตั้งใจสะกิดไปยัง อาร์เซน่อล โดยตรง อาทิ แบร์นาโด้ ที่บอกว่า อาร์เซน่อล เป็นทีมที่ขี้ขลาด และไม่คู่ควรกับพวกเขา เหมือนสมัยที่ แมนฯ ซิตี้ ห้ำหั่นกับ ลิเวอร์พูล ในยุค เยอร์เก้น คล็อปป์ เป็นต้น 

ความเป็นอรินี้เริ่มมีกลิ่นของความเกลียดชังโชยมาทีละนิด ... ไม่น่าเชื่อจริง ๆ ว่าภายในเวลา 5 ปี เราจะได้เห็นภาพนี้หากวัดจากจุดเริ่มต้นของชายผู้เปลี่ยนแปลง อาร์เซน่อล อย่าง มิเกล อาร์เตต้า 

 

2019 ... 5 ปีก่อน อาร์เซน่อล แค่ของหวาน 

ย้อนกลับไปในวันที่ อาร์เตต้า แยกตัวออกมาจาก เป๊ป ในการเป็นผู้ช่วยที่ แมนฯ ซิตี้ เพื่อมาคุม อาร์เซน่อล เต็มตัว ไม่มีใครคิดถึงแน่นอนว่าเขาจะพาทีมมาถึง ณ จุดนี้ได้ จุดสำคัญของเรื่องนี้มันอยู่ตรงที่การทำงานของฝั่ง อาร์เซน่อล ที่กว่าจะมาถึงจุดนี้ พวกเขาดิ้นทุรนทุราย ผ่านช่วงที่ทุกข์ทรมานที่สุด ซึ่งเหมือนกับเป็นการลอกคราบเพื่อมาเป็น อาร์เซน่อล ยุคใหม่ 

อาร์เตต้า เริ่มต้นอย่างยากลำบากในช่วงแรกแม้จะมีถ้วยแชมป์ เอฟเอ คัพ ฤดูกาล 2019-20 แต่หลังจากนั้นก็ทรุดหนักถึงขั้นเป็นบ๊วยของลีกก็เคยมาแล้ว ในช่วงเวลาที่ทุกคนบอกว่าเขาไม่ดีพอ แม้แต่แฟนอาร์เซน่อลยังมีกระแส #ArtetaOut มีเพียงไม่กี่คนที่ดูจะมั่นใจในตัวเขาไม่เปลี่ยนแปลง 

หนึ่งคือทีมหลังบ้านของ อาร์เซน่อล นำโดย เอดู ผู้เป็นผู้อำนวยการกีฬาที่ทำงานร่วมกันทุกวันจนมีความซี้เข้าขารู้ใจ เป็นคู่หู คู่คิด ของกันและกันมาเสมอจนทุกวันนี้ 

ส่วนอีกคนคือ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ลูกพี่เก่าที่ออกมาพูดตลอดว่า อาร์เตต้า คือคนที่ใช่ คือคนที่ต้องการเวลาเพื่อสร้างทีม ซึ่ง ณ ตอนนั้น หลายคนยังคิดว่า เป๊ป แค่เล่นเกมจิตวิทยา ทำเป็นแกล้งชมอยู่เลยด้วยซ้ำ ... ซึ่งภายหลังก็เป็นอย่างที่ เป๊ป บอก เมื่อ อาร์เตต้า ได้เวลาทำทีม และได้รับสิทธิ์ในการตัดสินใจอะไรหลาย ๆ อย่าง ทีม ๆ นี้ก็เปลี่ยนโฉมไปเป็นคนละเรื่อง 

อาร์เซน่อล และ อาร์เตต้า เดินทาบรอยเท้าของ เป๊ป และ แมนฯ ซิตี้ ทีละนิดทีละก้าว ... คำว่าตามรอยเท้าในที่นี้ไม่ได้หมายถึงแผนการเล่น วิธีการบุกหรือเรื่องในสนาม แต่มันคือการขับเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกันทั้งองค์กร โค้ช กับ ผอ.กีฬา ทำงานด้วยกันและมีสิทธิ์ตัดสินใจสำหรับเรื่องในสนามอย่างเต็มที่ 

ผู้บริหารมีหน้าที่แค่สนับสนุนเท่านั้น ไม่ได้ลงมาก้าวก่ายล้วงลูก จนทำให้ขุมกำลังของพวกเขา ณ ตอนนี้ โดยเฉพาะฝั่ง อาร์เซน่อล นั้น อาจจะไม่ได้ลึกในเชิงปริมาณ แต่เรื่องคุณภาพ พวกเขามีนักเตะที่ตรงสเป็กการทำทีมของโค้ช มีคาแร็คเตอร์ในแบบที่ทีมที่ต้องการแชมป์ต้องมี มีพละกำลังความฟิตที่จะเล่นและสับเปลี่ยนกันใช้งานตลอดทั้งซีซั่น 

หลังบ้านแข็งแกร่งขนาดไหน รังสีความเข้ม ความโหดก็แผ่ไปถึงหน้าบ้านเร็วเท่านั้น อาร์เซน่อล ของ อาร์เตต้า ที่แต่ก่อนเป็นเหมือน "หมู" ในการเล่นเกมระดับบิ๊กแมตช์เจอทีมใหญ่ มักจะแพ้เป็นประจำด้วยเหตุผลต่าง ๆ นานา ไม่ว่าจะพลาดเล็กน้อย ๆ หรือแพ้เละเทะตั้งแต่ต้นจนจบ โดยเฉพาะการเล่นกับ แมนฯ ซิตี้ ของ เป๊ป ก่อนหน้านี้ห่างชั้นแบบสุด ๆ ไม่ว่าจะเล่นที่ไหน นอกบ้าน - ในบ้าน อาร์เซน่อล แพ้ แมนฯ ซิตี้ ขาดลอย 2 - 3 - 4 หรือแม้กระทั่ง 5 ลูกก็เคยแพ้มาแล้วในยุคของ อาร์เตต้า

ในความรู้สึกของนักเตะ แมนฯ ซิตี้ พวกเขาไม่เคยรู้สึกว่า อาร์เซน่อล เป็นคู่แข่งที่น่ากลัวมาก่อนหน้านี้ เพราะพวกเขาโฟกัสไปที่ ลิเวอร์พูล มากกว่า แต่ใครจะคิดล่ะว่า วันหนึ่ง ในวันที่ คล็อปป์ เดินลงจากตำแหน่ง พวกเขาจะต้องเจอกับอดีตทีมที่เป็นเหมือนลูกไล่ขึ้นมาท้าชิง  

มันเป็นความรู้สึกที่ว่าคนที่เคยต่ำต้อยกว่ามาตลอด กำลังขึ้นมาทาบ มาตีตัวเสมอ แถมยังมาด้วยท่าทีที่หยิ่งทรนงองอาจในศักด์ศรีอีกต่างหาก มันทำให้เกิดความหมั่นไส้แบบสถานการณ์ นักเตะของ แมนฯ ซิตี้ ก็เก็บไว้ไม่ไหว

 

ด่าทอ ดูถูก นอกเกม ใส่เกิน 100%

แน่นอนว่าเราไม่ได้คิดไปเอง ว่านักเตะ แมนฯ ซิตี้ มีชุดความคิดที่มอง อาร์เซน่อล ด้วยความหมั่นไส้พร้อมกับการเป็นคู่แข่งพวกเขาอย่างเต็มตัว 

เริ่มจากหลังจบซีซั่น 2023-24 โรดรี้ ก็ประกาศผ่านสื่อว่า แมนฯ ซิตี้ กับ อาร์เซร่อล คือทีมละคนระดับ เพราะ แมนฯ ซิตี้ ต้องการชัยชนะทุกนัดที่ลงสนาม ส่วนอาร์เซน่อลขาดความกล้า เล่นและดีใจกับผลเสมอเท่านั้น (เจ้าตัวอ้างอิงเกมที่ อาร์เซน่อล บุกเสมอ ซิตี้ 0-0 ที่ เอติฮัด เมื่อปลายซีซั่นนั้น) 

อากัปกิริยาของ เออร์ลิง ฮาลันด์ หลังเกมบอกทุกอย่างได้เป็นอย่างดี เขาเอาบอลปาใส่หัว กาเบรียล มาร์กัลเญส ในวินาทีสุดท้ายของเกมที่ ซิตี้ ยิงประตูได้ อีกทั้งเขายังบอกกับ มิเกล อาร์เต้ตา ว่า "Stay humble eh" (เจียมตัวหน่อยเห้ย) แถมยังไปพูดกับ ไมล์ ลูอิส สเกลลี่ นักเตะดาวรุ่งอาร์เซน่อล ในจังหวะชุลมุนท้ายเกมกันว่า "ไอ้นี่มันใครวะ" (Who the f**k is that) และปิดท้ายด้วยการไล่ กาเบรียล เชซุส ให้ไปไกลด้วยคำว่า "มึงออกไปเลย กูไม่คุยกับพวกตัวตลก"  

ทั้งนั้นยังไม่พอ หลังจบเกมนักเตะของ แมนฯ ซิตี้ ออกโรงสัมภาษณ์กันแบบเรียงตัว และเป็นคำสัมภาษณ์ที่ภาษาจิ๊กโก๋ก็ต้องเรียกว่า "ซื้อเรื่อง" (อาการพร้อมสร้างโจทก์ พร้อมมีเรื่องทันที หรือเมื่อไหร่ก็ได้) เลยทีเดียว

แบร์นาโด้ ซิลวา เทียบ อาร์เซน่อล ว่าแตกต่างกับ ลิเวอร์พูล ในยุคที่เคยห้ำหั่นกันก่อนหน้านี้ว่า "วันนี้มีแค่ทีมเดียวที่ลงสนามไปเพื่อพยายามเล่นฟุตบอล ลิเวอร์พูล เผชิญหน้าเราเพื่อพยายามคว้าชัยชนะเสมอ จากมุมมองนี้ การเจอ อาร์เซน่อล จึงไม่เหมือนเกมที่เราเจอ ลิเวอร์พูล ดังนั้นใช่เลย เราคงเป็นคู่แข่งกันในแบบที่ต่างออกไป" 

ขณะที่ จอห์น สโตนส์ คนทำประตูตีเสมอก็หยันส่งท้ายว่า "คุณสามารถเรียกมันว่าเป็นการเล่นที่ฉลาด หรือการเล่นที่สกปรกก็ได้" 

คุณเคยเห็นนักเตะ ซิตี้ ให้สัมภาษณ์ใส่นักเตะทีมอื่นแนวนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ? ... บอกตรง ๆ ไม่แปลกที่คุณคิดนาน เพราะเราก็นึกภาพไม่ออกเหมือนกัน 

พวกเขาเป็นราชาของฟุตบอลอังกฤษยุคนี้ตัวจริง ชัยชนะ ถ้วยแชมป์ ทำให้ศักดิ์ศรีและบารมีของพวกเขาใหญ่โตขึ้นทุกวัน นักเตะของ แมนฯ ซิตี้ ลงเล่นด้วยความรู้สึกราวกับว่าเป็นผู้ไร้เทียมทานไม่ว่าเจอใครพวกเขาก็ปราบได้ไม่ยาก ... 19 ทีมในลีก ใครก็ได้ พวกเขาพร้อมจะเอาชนะเสมอ

เพียงแต่ว่าบรรยากาศในตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้ว อาร์เซน่อล เติบโตขึ้นมาในทุก ๆ วันและหายใจรดต้นคอพวกเขาแบบที่ไม่เคยคาดคิด นั่นจึงเป็นสาเหตุที่เราได้เห็นผู้นำเริ่มแสดงตัวตนแบบชัด ๆ เพื่อแสดงออกว่า "ใครเป็นเบอร์ 1 ตัวจริงกันแน่" เพื่อบอกให้ผู้ที่กำลังเดินตาม โดยเฉพาะ อาร์เซน่อล รู้ตัว 

แต่หารู้ไม่ว่า คำพูดเหล่านี้ได้จุดไฟแค้นให้ทั้งสองทีมกลายเป็นอริแบบเต็มตัวแล้ว และแน่นอน นี่เป็นเรื่องที่ดีและเป็นกำไรของคนดู เพราะถ้ามีการแข่งขันที่เข้มข้นในสนาม แถมเติมชูรสด้วยวาทะแสบ ๆ นอกสนามแบบนี้ มันสามารถการันตีได้เลยว่า เราจะได้เห็นเกมสนุก ๆ และการฟาดฟันที่เต็มไปด้วยรสชาติไปอีกยาว ๆ

ไม่ว่าคุณจะชอบ ซิตี้ หรือชอบ อาร์เซน่อล หรือแม้กระทั่งเชียร์ทีมอื่น แต่เชื่อเถอะว่า ศึกนอกสนามและการเป็นอริแบบสุดแค้นแสนรักของทั้งคู่ จะทำให้คุณไม่อยากพลาดการแข่งขันของพวกเขายามต้องเจอกันเองแม้แต่วินาทีเดียว

 

แหล่งอ้างอิง

https://sports.yahoo.com/manchester-city-arsenal-rivalry-now-063300416.html
https://www.nbcsports.com/soccer/news/akanji-hits-out-at-arsenal-as-rivalry-grows-theyre-always-looking-for-drama
https://www.cbssports.com/soccer/news/manchester-city-vs-arsenal-rivalry-born-in-premier-league-classic-that-had-everything-you-would-want/

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Photo

วัชพงษ์ ดวงแปง

Main Stand's Backroom staff

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ