เสียงโห่ดังระงม และมีคนตะโกนหนึ่งคำออกมาว่า "ไอ้ปีศาจใคร่เด็ก !" ระหว่างการแข่งวอลเล่ย์บอลชายหาด โอลิมปิก ปารีส 2024 คู่ เนเธอร์แลนด์ กับ อิตาลี
เจ้าของคำด่าจากแฟน ๆ รอบสนามนี้คือ สตีเฟ่น ฟาน เดอ เฟลเด้อ ตัวแทนของชาวดัตช์ เหตุผลก็เพราะ เขาคนนี้เคยต้องโทษจำคุก คดีคุกคามทางเพศกับเยาวชนในประเทศอังกฤษเมื่อ 10 ปีก่อน และการมาแข่งขันโอลิมปิกครั้งนี้ของเขาถูกต่อต้านอย่างมากจากแฟนกีฬา คู่แข่ง หรือแม้แต่สื่อทั่วโลก
นี่คือเรื่องใหญ่ แต่ทำไมเขาถึงมาแข่งขันในกีฬาแห่งมนุษยชาติได้ ? เขากำลังคิดอะไรอยู่ และจากวันนั้นเมื่อ 10 ปีก่อน เขาเปลี่ยนแปลงอย่างไร
ติดตามที่ Main Stand
เรื่องราวเมื่อ 12 ปีก่อน
หลังจากเสียงโห่และก่นด่าดังต่อเนื่องมายาวนาน ในที่สุด ฟาน เดอ เฟลเด้อ ที่จับคู่กับ แมตธิว อิมเมอร์ส ก็เป็นฝ่ายแพ้ให้กับคู่ของ อเล็กซ์ รันกิเอรี และ อาเดรียน คารัมบูลา จาก อิตาลี ... เป็นที่ถูกใจแฟน ๆ เพราะแช่งสำเร็จ เป้าของพวกเขาอย่าง ฟาน เดอ เฟลเด้อ แพ้สมใจ
เขาเดินออกจากสนาม และสื่อถามเขาว่า "คิดยังไงกับเสียงโห่ที่เกิดขึ้น ?" ... เขาเดินหนี และปล่อยให้ อิมเมอร์ส คู่ของเขาเดินเข้าคุยกับสื่อว่า "เราผิดหวังที่เรื่องมันใหญ่โตมากขนาดนี้ เขาถูกตัดสินโทษไปแล้ว เขาขอโทษจากใจจริง และผ่านขั้นตอนมากมายเพื่อมาถึงจุดนี้อีกครั้ง เขาควรได้โอกาสครั้งที่สอง"
หากคุณฟังจากสิ่งที่ อิมเมอร์ส พูด คุณอาจจะพยักหน้าตาม เพราะทุกคนควรได้โอกาสแก้ตัว แต่ความผิดที่ ฟาน เดอ เฟลเด้อ เคยก่อนั้นรุนแรงและเป็นเรื่องที่อ่อนไหวมาก
ย้อนกลับไปในปี 2016 ฟาน เดอ เฟลเด้อ ถูกตัดสินจำคุก 4 ปี ระหว่างขึ้นศาล เขาสารภาพผิดทั้งหมดว่า ตนได้กระทำความผิดฐานข่มขืนเด็ก 3 กระทงในสหราชอาณาจักร
โดยจุดเริ่มต้นของเรื่องเกิดในปี 2012 เขาสารภาพทั้งหมดว่าเขาได้มีความสัมพันธ์กับเด็กสาวคนหนึ่งผ่านทางโซเชี่ยลมีเดีย ตอนนั้นเขาอายุ 19 ปี และเธอป็นฝ่ายเริ่มติดต่อหาเขา และเขาคิดว่าเธออายุ 16 ปีแล้ว ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ เธออายุแค่ 12 ปีเท่านั้น ... เรื่องดำเนินต่อไปไม่นาน ทั้งคู่ทำความรู้จักกัน และเขารู้ความจริงเรื่องอายุ แต่สุดท้าย ฟาน เดอ เฟลเด้อ ไม่ได้ตัดสัมพันธ์กับเธอ
เขาสารภาพหมดเปลือกว่า ในปี 2014 เขาเดินทางจาก เนเธอร์แลนด์ มายังที่ มิลตัน คีนส์ เมืองที่เธออยู่ และจากนั้นก็มีเพศสัมพันธ์กัน จนกระทั่งเธอมาให้การภายหลังว่า นั่นคือการข่มขืน "เขาข่มขืนและทำร้าย" นี่คือหนึ่งในข้อความของเธอในขั้นตอนสืบพยาน
ซ้ำร้ายกว่านั้น ฟาน เดอ เฟลเด้อ บังคับให้เธอกินยาคุมฉุกเฉินเพราะไม่ได้ป้องกันเลย ทันทีที่เขากลับเนเธอร์แลนด์ เหยื่อเข้าไปที่คลินิกวางแผนครอบครัว จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ต้องแจ้งเรื่องนี้ให้ผู้ปกครองของเธอทราบ
ในระหว่างการพิจารณาคดี ฟรานซิส เชอริแดน ผู้พิพากษาคดีนี้ต่อว่า ฟาน เดอ เฟลเด้อ อย่างรุนแรงถึงสิ่งที่เขาได้ทำ โดยผู้พิพากษากล่าวกับสื่ออย่าง The Athletic ในภายหลังว่า "เด็กคนนี้ได้รับความเสียหายทางจิตใจอย่างมหาศาลเมื่อเธอโตขึ้น เธอจะต้องตระหนักว่าคุณไม่ใช่ผู้ชายที่ดีอย่างที่เธอคิดและหวังว่าคุณจะเป็น" ... เขาถูกจำคุก แต่หลายคนยังคิดว่านั่นไม่มากพอ
เขาควรโดนมากกว่านี้ ?
ความผิดฐานข่มขืนและโทษจำคุก นั่นคือความผิดของเขา และเจ้าตัวก็ต้องโทษจำคุกในอังกฤษ 12 เดือน และถูกส่งตัวไปจำคุกที่เนเธอร์แลนด์อีก 1 เดือน ตามกฎส่งตัวผู้ต้องหาข้ามแดน
เรื่องนี้มีอยู่ว่า เมื่อมาถึงที่เนเธอร์แลนด์ปัญหาเกิด สื่ออย่าง The Sporting News ระบุว่า ที่เนเธอร์แลนด์ เขาได้รับการลดโทษลงเนื่องจากกฎหมายเกี่ยวกับประเด็นทางเพศของประเทศนี้ไม่เข้มงวดนัก เขาติดคุกที่บ้านเกิดแค่เดือนเดียวเท่านั้น นั่นคือสิ่งที่สื่อและคนอังกฤษไม่พอใจ
เพราะเรื่องเพศและความรุนแรง โดยเฉพาะเรื่องนี้เกี่ยวกับเกี่ยวเด็กและเยาวชนด้วยแล้วถือเป็นเรื่องใหญ่มาก และผู้กระทำความผิดไม่ใช่แค่รับโทษจากศาลเท่านั้น แต่พวกเขายังต้องรับโทษจากสังคมด้วย ยกตัวอย่างเช่น เมสัน กรีนวู้ด อดีตนักเตะของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ทำร้ายและข่มขู่แฟนสาว ยังไม่สามารถเล่นฟุตบอลในประเทศอังกฤษต่อได้ ทั้ง ๆ ที่ ณ ตอนนี้คดีจบลงไปแล้ว และเขากับแฟนสาวก็กลับมาคืนดีกัน มีลูกกันเรียบร้อย สิ่งที่เขาทำยังเป็นบาปติดตัว และเขาเสียโอกาสมากมายในชีวิต
ตัดกลับมาที่เรื่องของ ฟาน เดอ เฟลเด้อ อีกครั้ง เรื่องความอ่อนทางกฎหมายของเนเธอร์แลนด์ที่ฝั่งอังกฤษกล่าวอ้างนั้นไม่รู้ว่าตื้นลึกหนาบางเท่าไรนัก แต่สิ่งที่ทุกคนไม่พอใจยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เขาติดคุกน้อยเกินไป จากโทษ 4 ปี เหลือเพียงแค่ 13 เดือนเท่านั้น
ครั้งหนึ่งเขาเปิดใจกับสื่อดัตช์ และยอมรับผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขารู้สึกผิดจากใจจริง
"ผมตัดสินใจฉับพลัน" เขากล่าว "ผมจองตั๋วในตอนเช้าและบินออกไปในตอนบ่าย ใช่แล้ว และอย่างที่คุณรู้ เหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้น เรามีเซ็กส์กัน และผมกลับมาในวันรุ่งขึ้น ผมไม่สามารถหลีกเลี่ยงเรื่องนี้ได้ ผมยังคงโทษตัวเองเป็นแสนครั้งสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและวิธีที่มันเกิดขึ้น"
นั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ คณะกรรมการโอลิมปิกเนเธอร์แลนด์ บอกว่า เขามีสิทธิ์ที่จะกลับมาแข่งขันในโอลิมปิก 2024 ที่ ปารีส เขาสำนึกผิดแล้วกับสิ่งที่ทำ เขาควรได้โอกาสที่สอง แถมยังได้สิทธิ์พิเศษในการพักนอกหมู่บ้านนักกีฬา และไม่ต้องสัมภาษณ์กับสื่อด้วย นั่นเป็นเหตุผลที่ อิมเมอร์ส ต้องรับหน้าแทนเขา
ทำอย่างไรกับความผิดที่โลกไม่ให้อภัย ?
"เราตระหนักดีว่าการที่กระแสข่าวเกี่ยวกับ ฟาน เดอ เฟลเด้อ ถูกพูดถึงอีกครั้งนั้นสร้างความรู้สึกมากมาย ซึ่งเราเข้าใจดี เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นร้ายแรงมาก" แถลงการณ์ของ คณะกรรมการโอลิมปิกเนเธอร์แลนด์ ระบุ
"มีเหตุการณ์มากมายเกิดขึ้นตั้งแต่นั้นมา สตีเฟ่น รับโทษจนครบกำหนด และเข้ารับการบำบัดฟื้นฟูอย่างเข้มข้นร่วมกับผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง รวมถึงหน่วยงานคุมประพฤติ ผู้เชี่ยวชาญสรุปว่าไม่มีความเสี่ยงที่จะเกิดการกระทำผิดซ้ำ"
แถลงการณ์ยังระบุด้วยว่า ฟาน เดอ เฟลเด้อ สมควรได้รับโอกาสครั้งที่สอง เนื่องจากเขา "เติบโตขึ้นและเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาไปในทางที่ดีขึ้น"
ในขณะเดียวกัน คณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) ก็โยนเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องของแต่ละประเทศ การตัดสินใจของคณะกรรมการโอลิมปิกแต่ละชาติ ถือเป็นสิทธิ์เด็ดขาดที่ IOC แทรกแซงไม่ได้ นั่นแหละคือสิ่งที่เกิดขึ้น
ในขณะที่บางคนเชื่อว่าคนเราควรได้โอกาสครั้งที่ 2 และคนจำนวนไม่น้อยก็บอกว่า ในเมื่อเขาผ่านขั้นตอนการบำบัดและรับโทษแล้ว โอกาสควรเป็นของเขา
แน่นอนมันเป็นแบบนั้น เขาไม่ได้มีความผิดติดตัวแล้ว แต่สังคมยังคงตราหน้าเขาไม่เปลี่ยนแปลง ... ซึ่งเรื่องนี้จะโทษใครได้ ในเมื่อกรรม หรือการกระทำของมนุษย์คนหนึ่ง เขาคนนั้นล้วนต้องรับผิดชอบในกรรมของตัวเอง
หน้าที่ของ ฟาน เดอ เฟลเด้อ ดูเหมือนจะไม่มีอะไรมากไปกว่าการทำหน้าที่ของตัวเองในฐานะนักกีฬา ส่วนในฐานะความเป็นมนุษย์นั้น โลกใบนี้มีคนเห็นไม่ตรงกับคุณเสมอ และเรื่องราวของเขาก็เป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่รับไม่ได้
ไม่ใช่เขาเองที่ลำบาก แม้แต่คนที่ออกมาพูดสนับสนุนเขาก็ยังโดนทัวร์ลงไปด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น พอลล่า แรดคลิฟฟ์ อดีตยอดนักวิ่งระยะไกลที่ผันตัวมาเป็นนักพากย์โอลิมปิกครั้งนี้ ที่บอกว่าควรให้โอกาส ฟาน เดอ เฟลเด้อ และขอให้เขาโชคดีกับชีวิตข้างหน้า ... ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานเธอก็โดนกระแสโจมตี จนต้องออกมากลับคำและขอโทษผ่าน X เพื่อบอกว่าเธอไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้น และขอถอนคำพูดทั้งหมดที่เคยพูดถึง ฟาน เดอ เฟลเด้อ
ณ ตอนนี้มันเป็นเรื่องของกระแสสังคมและความผิดที่เกิดจากศาลเตี้ย ซึ่ง ฟาน เดอ เฟลเด้อ ไม่ควรจะโกรธกระแสเหล่านี้เลยด้วยซ้ำ เพราะสิ่งที่เขาทำ เขาย่อมรู้ดีจากการสารภาพ เรื่องราวในอดีตรุนแรงและเป็นเรื่องที่หลายยอมรับไม่ได้ที่เห็นเขาอยู่ในฐานะนักกีฬาโอลิมปิกที่ถือเป็นกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติ
เขาทำอะไรไม่ได้สำหรับเรื่องนี้ นอกจากอยู่กับความเป็นจริง และทิ้งอดีตไว้ข้างหลังเพราะมันไม่สามารถแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว จากนี้มันเป็นเรื่องของปัจจุบันเท่านั้น ถ้าเขาลงแข่งขันต่อไป เขาจะต้องโดนโห่ และตะโกนด่าต่อไปไม่หยุด เพียงแต่ว่ามันขึ้นอยู่กับเขาแล้วว่าเขาจะทำปัจจุบัน และในอนาคตให้ดีเพื่อชดเชยความผิดพลาดในอดีต .... บาปนี้จะไม่ถูกอภัยง่าย ๆ เพียงแต่เขาต้องรู้ว่าชีวิตต้องไปต่อตราบใดที่ยังมีลมหายใจ
ถ้าเขารู้สึกผิดจริง ๆ และตั้งใจที่ทำอะไรสักอย่างเพื่อเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ ... บางทีชีวิตนักกีฬา หรือในฐานะมนุษย์คนหนึ่งของเขาอาจจะง่ายขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่ามันจะต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ ?
แน่นอนว่าเขาไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว เรื่องนี้เขารู้ดีที่สุด มูฟออน และเป็นคนที่ดีขึ้นต่อตัวเองและส่วนรวม คือทางสายเดียวที่เขาสามารถเลือกเดินได้ ... ผูกเองต้องแก้เอง นี่คือสัจธรรมของชีวิตมนุษย์อย่างแท้จริง
แหล่งอ้างอิง
https://www.nytimes.com/athletic/5663866/2024/07/28/steven-van-de-velde-child-rapist-olympics-beach-volleyball/
https://www.volleybal.nl/support-for-steven-van-de-velde-who-realizes-past-cannot-be-erased
https://www.sportingnews.com/us/olympics/news/steven-van-de-velde-dutch-volleyball-player-rapist-2024-olympics/0687523ccb0ffb0820090486
https://www.theguardian.com/sport/article/2024/jul/28/dutch-child-rapist-steven-van-de-velde-boos-paris-olympics