Feature

กลับสู่จุดเริ่มต้น : "หลัง 3" แท็คติกคืนชีพ พา เซาธ์เกต ลุ้นยศ "เซอร์" | Main Stand

อังกฤษ เข้าชิงแล้ว ...  

 

จากทีมที่เล่นได้ย่ำแย่ไม่สมราคาเต็งหนึ่ง ทำไปทำมา แกเร็ธ เซาธ์เกต เปิดการ์ดนางฟ้า ฝ่าทุกอุปสรรค เข้าชิง ยูโร 2024 ได้อย่างน่าชื่นชม 

แน่นอน มันไม่ใช่เรื่องของดวงหรือโชคชะตา ของแบบนี้มันมีที่มา และว่ากันว่ามันเกิดจากการที่เขากลับสู่จุดเริ่มต้นภายใต้ระบบ "หลัง 3" อีกครั้ง 

แผนนี้มันเปลี่ยนอังกฤษยังไง ? ติดตามที่ Main Stand

 

อังกฤษ 4 เกมแรก

ผลงานใน ยูโร 2024 รอบแบ่งกลุ่มของ อังกฤษ จบลงด้วยการมี 5 แต้ม จากการเอาชนะ เซอร์เบีย และเสมอ เดนมาร์ก กับ สโลวีเนีย ดูจากชื่อชั้นกระดูกมวยแล้ว 5 แต้มพร้อมแชมป์กลุ่มก็นับว่าไม่เลว แต่เรื่องรูปแบบการเล่น สอบตกแบบปฏิเสธไม่ได้ 

ทัวร์นาเมนต์นี้ อังกฤษ เล่นในระบบการเล่น 4-2-3-1 เหมือนกับที่ เซาธ์เกต ใช้งานระบบนี้ มาตั้งแต่ ยูโร 2020 และ ฟุตบอลโลก 2022 เพียงแต่ว่าการขาดนักเตะที่มีปัญหาอาการบาดเจ็บ หรือฟอร์มตกจนไม่ดีพอติดทีมรอบนี้หลาย ๆ คน ทำให้การเล่นของทีมที่เดิมเข้ารูปฟิตกระชับ กลายเป็นหลวมโพรก จะไปข้างหน้าก็ไม่สุด จะตั้งรับก็ไม่เหนียว 

แฮร์รี่ แม็คไกวร์ กับตำแหน่งหัวใจในแนวรับไม่พร้อมลงเล่น ลุค ชอว์ ผู้เป็นแบ็กซ้ายขวัญใจอันดับ 1 ของเซาธ์เกต ฟิตไม่พอลงสนาม และ คัลวิน ฟิลลิปส์ มิดฟิลด์ตัวรับที่ เซาธ์เกต มักจะใช้เป็นตัวร่วมตัดเกม เเละเคลื่อนเกมกับ ดีแคลน ไรซ์ ในตำแหน่ง 2 กองกลางก็ฟอร์มตก ซึ่งทุกตำแหน่งเป็นปัญหาที่จับต้องได้ทั้งหมด เพราะหาตัวแทนที่ลงล็อกไม่ได้ 

มาร์ค เกฮี อาจจะไม่มีข้อผิดพลาดอะไรมาก แต่การที่เขาจับคู่กับ จอห์น สโตนส์ ดูเหมือนจะไม่มีใครแบกใครได้ แนวรับขาดหัวเรือใหญ่คอยสั่งการ ... คุณอย่านึกภาพว่า แม็คไกวร์ เล่นดีหรือแย่แค่ไหนกับ แมนฯ ยูไนเต็ด เพราะกับ อังกฤษ เขาคือคนสำคัญเสมอ และไม่มีทัวร์นาเมนต์ใหญ่ครั้งไหนที่เขาเล่นไม่ดี 

แบ็กซ้ายธรรมชาติ เมื่อไร้ซึ่ง ลุค ชอว์ แถม เซาธ์เกต ก็ไม่เรียกแบ็กซ้ายอาชีพคนอื่นมาอีก ก็กลายเป็นแบ็กเฉพาะกิจอย่าง คีแรน ทริปเปียร์ ลงเล่นแทน และถ้าคุณได้ดูเกมของอังกฤษทุกนัด คุณก็น่าจะเข้าใจดีว่าคำว่า "เฉพาะกิจ" ที่เราพูดถึงมันหมายความว่าอย่างไร การเติมเกมรุกที่เป็นธรรมชาติหายไป และการหุบเข้ามาเล่นเป็นเหมือนเซ็นเตอร์แบ็กด้านกว้างเวลาที่ทีมเล่นเกมบุกก็ไม่แข็งแกร่งเท่า

ส่วน ฟิลลิปส์ นั้นชัดเจนที่สุด เพราะ เซาธ์เกต พูดเองว่า "ขาดตัวแทนที่เล่นได้เป็นธรรมชาติเหมือนเขา" เพราะทีมต้องเล่นเกมรับเยอะ จนทำให้ ไรซ์ ต้องแบกเกมรับคนเดียว ไม่ว่า เซาธ์เกต จะเปลี่ยนใครมายืนคู่ ทั้ง เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์ดโนลด์, คอเนอร์ กัลลาเกอร์ หรือ ค็อบบี้ เมนู ก็ตาม 

เมื่อต้องพะวงหลังที่ตัวหลักอยู่ไม่ครอบ และกองกลางที่ไม่กลมกล่อม มันเป็นเหมือนกับจุดยุทธศาสตร์ที่สร้างความกังวลให้กับ เซาธ์เกต และส่งผลให้เกิดเป็นการเล่นแบบ "ปลอดภัยไว้ก่อน" นักเตะทุกคนในแนวรุกล้วนมีจังหวะที่ต้องถอยลึกมาช่วยกันเคลียร์บอลจังหวะหน้าประตูทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้แต่ แฮร์รี่ เคน กองหน้าตัวเป้า ที่มีหน้าที่หลักคือยิงประตู 

เรื่องนี้ไม่ใช่แค่มองได้ด้วยตาเปล่า เพราะในรอบแบ่งกลุ่ม อังกฤษเป็นทีมที่มีค่า xG หรือโอกาสที่ควรเป็นประตูน้อยที่สุดเป็นอันดับ 2 ของทัวร์นาเมนต์ เฉลี่ยแล้วอยู่ที่เกมละ 0.7 เท่านั้น มีเพียง สก็อตแลนด์ เพื่อนบ้านขี้เมาที่ตกรอบแรกเท่านั้นที่ทำได้แย่กว่า 

4 เกมแรกของ อังกฤษ (3 นัดในรอบแบ่งกลุ่ม) และ 1 นัดในรอบ 16 ทีมสุดท้ายกับ สโลวาเกีย คือทีมที่กูรูทุกคนวิจารณ์ตรงกันหมดว่าเป็นทีมที่เล่นได้อย่างน่าเบื่อ ตั้งรับมากเกินไป และใช้ความสามารถเฉพาะตัวของนักเตะเกมรุกในการตัดสินประตูและชัยชนะ ... ซึ่งจากสถิติ และสิ่งที่ได้เห็นคงไม่มีใครเถียงได้ แม้แต่ตัวของ แกเร็ธ เซาธ์เกต เอง ที่พบว่าทีมของเขาไม่เข้าที่เข้าทางเอาเสียเลย จนเขาต้องลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงบางสิ่งในรอบ 8 ทีมสุดท้าย 

 

กลับสู่จุดเริ่มต้น 

ก่อนเกมรอบ 8 ทีมสุดท้ายกับ สวิตเซอร์แลนด์ จะเริ่มขึ้น มีข่าวหลุดออกมาว่า อังกฤษ จะกลับมาใช้ระบบการเล่นแบบ 3 เซ็นเตอร์แบ็ก ซึ่งในตอนแรกหลายคนอาจนึกภาพไม่ออกว่ามันจะประมาณไหน และคิดว่าจะจริงเหรอกับข่าวที่หลุดมานี้ เพราะ เซาธ์เกต เองก็ไม่ใช่คนที่เปลี่ยนใจอะไรง่าย ๆ ทว่าสุดท้าย เขาก็ทำแบบนั้นจริง ๆ 

นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่เลย แม้ว่า ยูโร 2020 และ ฟุตบอลโลก 2022 อังกฤษจะเล่นหลัง 4 มาตลอด แต่ข้อจำกัดที่เกิดขึ้นและวิธีการที่ย่ำแย่ใน 4 เกมแรกของ ยูโร 2024 ต่อให้ผลลัพธ์ยังดี เขาก็รู้ว่าต้องมีการเปลี่ยนแปลง เซาธ์เกต กลับไปใช้ระบบการเล่น 3-4-3 ซึ่งแผนนี้ต้องย้อนกลับไป 6 ปีก่อน ตอนที่เขาพาอังกฤษเล่นทัวร์นาเมนต์ใหญ่ครั้งแรกในยุคของเขากับ ฟุตบอลโลก 2018

ตอนนั้น อังกฤษ ไม่ได้มีใครมองเป็นตัวเต็ง เซาธ์เกต จึงไม่มีสิ่งเร้าหรือกดดันจากรอบข้างมานักอย่างในตอนนี้ และด้วยลูกทีมที่ดูไม่มีแต้มต่อ พวกเขาสามารถเล่นแบบปลอดภัยไว้ก่อนได้แบบไม่มีใครว่า ระบบการเล่น 3-5-2 ที่แทบไม่เคยเห็นอังกฤษชุดไหนใช้ จึงถูกขุดออกมาใช้ 

โดยครั้งนั้น เซาธ์เกต เลือกใช้กองหลัง 3 คนอย่าง ไคล์ วอล์คเกอร์, แฮร์รี่ แม็คไกวร์ และ จอห์น สโตนส์ (จากขวาไปซ้าย) โดยมีวิงแบ็กขวาเป็น คีแรน ทริปเปียร์ วิงแบ็กฝั่งซ้ายเป็น แอชลี่ย์ ยัง แดนกลาง 3 ตัวเป็น จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, เจสซี่ ลินการ์ด และ เดเล่ อัลลี ส่วนกองหน้าใช้ แฮร์รี่ เคน จับคู่กับ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง

โดย FourFourTwo วิเคราะห์ใน ฟุตบอลโลก 2018 ว่า ข้อดีของระบบหลัง 3 ที่ อังกฤษ ใช้ในรอบน็อกเอาต์ ทำให้แนวรับ อังกฤษ แข็งแกร่งมาก พวกเขาสามารถฝ่าด่านตั้งแต่รอบ 16 ทีมไปจนถึงรอบรองชนะเลิศ แต่ก็พลาดแพ้ให้กับ โครเอเชีย ในช่วงต่อเวลาพิเศษ

ทว่าหากมองเรื่องเกมรับ อังกฤษ เป็นทีมที่เสียค่า xG ให้คู่แข่งน้อยที่สุดในทัวร์นาเมนต์ดังกล่าว นั่นอาจจะเป็นเหตุผลว่า ทำไม เซาธ์เกต ถึงต้องการนำแผนนี้กลับมาใช้อีกครั้งใน ยูโร 2024 ที่กองหลังพวกเขาก็ไม่ค่อยดีนัก

อย่างไรก็ตาม มันย่อมมีข้อเสีย อังกฤษ ชุด ฟุตบอลโลก 2018 ที่ซื้อเกมรับเป็นหลัก ก็ทำให้พวกเขาเสียเกมรุกไป ความสร้างสรรค์และความเร็วในเกมน้อยมาก จนทำให้โดนวิจารณ์ว่าน่าเบื่อ และยิ่งมาเทียบกับตัวรุกในชุดปัจจุบันจะเห็นว่ามีแต่ตัวที่เข้ม ๆ มีประสิทธิภาพทั้งนั้น ดังนั้นการถอดตัวรุกออก 1 ตัวและใส่ตัวรับเพิ่ม อาจยิ่งทำให้เกมรุกที่ยิงยากอยู่แล้ว ทำประตูได้ยากขึ้น

ท้ายที่สุดแล้ว ใน ฟุตบอลโลก 2018 ก็ซื้อเกมรับ และพวกเขาก็ใช้การทำประตูแบบฉาบฉวย โดยเฉพาะลูกเซตพีซ ไม่ว่าจะเตะมุมหรือฟรีคิก ที่สุดท้ายพวกเขาเป็นทีมที่ได้ประตูจากลูกตั้งเตะมากที่สุด … ไม่มีใครด่า มีแต่คำชมเกิดขึ้นในทัวร์นาเมนต์นั้น เพราะอังกฤษมาไกลเกินคาด เรียกว่ามาทั้งวิธีการและผลลัพธ์ ดังนั้น เขาจึงเอาระบบนี้กลับมาใช้อีกครั้ง เพียงแต่ดัดแปลงนิดหน่อยให้เหมาะกับขุมกำลังที่มี จนกลายเป็นขุมพลังแบบใหม่ที่ดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด 

 

3-4-3 พาถึงรอบชิง

ในเกมกับ สวิตเซอร์แลนด์ อังกฤษใช้ระบบการเล่น 3-4-3 เซ็นเตอร์แบ็กเป็น ไคล์ วอล์คเกอร์, จอห์น สโตนส์ และ เอซรี่ คอนซ่า (ลงแทน มาร์ค เกฮี ที่ติดโทษแบน) วิงแบ็กขวา บูกาโย ซาก้า, แบ็กซ้าย ทริปเปียร์ คู่กลางเป็น ไรซ์ และ เมนู 2 ตัวรุกหลังกองหน้าเป็น จู๊ด เบลลิงแฮม และ ฟิล โฟเด้น โดยมี เคน เป็นกองหน้าตัวเป้า 

ตัวนักเตะแทบจะเดิม ๆ ไม่ต่างอะไรจาก 4 เกมแรก แต่วิธีการยืนและระบบเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน เซนเตอร์แบ็ก 3 คน แก้ปัญหากองหลังที่อ่อนแอในการจับคู่กันระหว่าง เกฮี และ สโตนส์ ได้ทันที วอล์คเกอร์ หุบเข้ามาช่วยยืนเป็น 3 เซ็นเตอร์แบ็ก ทำให้แต่ละคนมีพื้นที่ในการรับผิดชอบน้อยลง กองหลังก็กระชับขึ้น และเมื่อกองหลังดี ไม่มีมีปัญหา สิ่งที่จะได้ประโยชน์ตามกันมาก็คือกองกลาง 

ดีแคลน ไรซ์ ไม่ต้องแบกเกมรับคนเดียวมากนัก เพราะมีทริปเปียร์ ยืนใกล้ ๆ ที่ฝั่งซ้าย มี เมนู ประกบข้างแบบหากันเจอตลอด แถมบางครั้งยังมี จู๊ด และ โฟเดน ถอยลงมารับบอล โดยมี ซาก้า เป็นตัวเล่นหลักเวลาต้องบุกทางริมเส้น และ เคน ไม่ต้องลงมาช่วยต่ำมากนัก เพราะกลางค่อนข้างมีความแน่นกระชับมากขึ้นแล้ว 

การที่เกมรับดี กองกลางมีความแน่นกระชับ เป็นสิ่งที่ดีขึ้นทันตาเห็น บอลของอังกฤษมีการเคลื่อนที่ในแดนกลางกันมากขึ้น ไม่มีอาการหลวม และหลุดแบบน่าเขกกระโหลกให้เห็นบ่อยนัก ซึ่งในทัวร์นาเมนต์อย่างนี้ ไม่ต้องสงสัยว่าเกมรับนั้นสำคัญขนาดไหน การที่ เซาธ์เกต เปลี่ยนแปลงและแก้ไขให้ดีขึ้นได้ถือว่ามาถูกทาง

ถึงตอนนี้อังกฤษเป็นทีมที่มีเกมรับดีที่สุดเป็นอันดับ 3 ในทัวร์นาเมนต์จนกระทั่งถึงตอนนี้ เป็นรองเพียงแค่ เยอรมนี และ ฝรั่งเศส เท่า นั้น ซึ่งทั้งคู่ตกรอบไปแล้ว โดยเฉลี่ยต่อเกม อังกฤษ เสียค่า xG ให้คู่แข่งพียง 0.57 เท่านั้น (ฝรั่งเศส 0.50 เยอรมนี 0.55) 

อย่างไรก็ตาม เกมรุกยังคงมีปัญหาเหมือนเดิมหากเทียบกับ เยอรมัน ฝรั่งเศส หรือ สเปน คู่ชิงพวกเขา เกมรุกของอังกฤษ ยังถือว่าเข้าทำช้า และไม่ต่อเนื่องเท่า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น อังกฤษ ก็มีการเข้าทำในแบบของตัวเอง ซึ่งจะบอกว่าเป็นการเข้าทำแบบประมาณตัวก็คงไม่ผิดนัก เพราะพวกเขายังคงเป็นทีมที่เล่นแบบปลอดภัยไว้ก่อน และหวังพึ่งจังหวะเซตพีซ ไม่ว่าจะจากลูกฟรีคิก เตะมุม หรือแม้กระทั่งจุดโทษ 

ว่ากันตามตรง เมื่อได้เห็นเกมตั้งแต่รอบ 8 ทีมสุดท้ายเป็นต้นมา มันชวนให้คิดว่าอังกฤษซื้อเกมรับอย่างเต็มที่ พวกเขาเลือกจะไม่เสียประตูไว้ก่อน ถ้าได้ประตูก่อนก็จะเข้าทางได้เล่นวิธีที่ถนัด และถ้าเสียประตูก่อน พวกเขาก็มีจังหวะ "เร่งขึ้น" เหมือนที่ยิงตีเสมอ สวิตเซอร์แลนด์ ในช่วงท้ายเกม หลังการโดนนำไม่กี่นาที เช่นเดียวกับรอบรองชนะเลิศ ที่ตีเสมอ เนเธอร์แลนด์ ภายใน 5 นาทีเท่านั้น เรียกได้ว่าถ้าต้องให้บุก ให้เปิดหน้า ทีเด็ดทีขาดก็ยังมีให้เห็น แม้ว่าจะมาจากความสามารถเฉพาะตัวของนักเตะมากกว่า การเข้าทำที่เป็นระบบระเบียบก็ตาม 

ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งหนึ่งที่ทำให้อังกฤษกลับมาเลือกซื้อความเหนียวแน่น ก็คงเป็นเรื่องของความมั่นใจในกาดวลจุดโทษ ซึ่งท้วร์นาเมนต์นี้พวกเขาเตรียมตัวมาพร้อมมาก ตั้งเรื่องของการเตรียมสภาพจิตใจ การเลือกคนยิง การหาข้อมูลวิเคราะห์การเซฟ และการมีนักเตะที่เป็นมือ 1 ที่ยิงจุดโทษให้ต้นสังกัดอยู่หลายคน

จุดโทษของอังกฤษจึงเฉียบคมมาก แต่ละคนซัดไปที่มุมหน้าต่าง หรือไม่ก็มีวิธีการยิงที่ยากต่อการคาดเดา ดังนั้นอังกฤษไม่แคร์ว่าพวกเขาจะต้องเหนื่อยเล่นกัน 120 นาที เพราะถ้าพวกเขามีการเตรียมพร้อมเรื่องนี้มาอย่างดี 

สถานการณ์ในนัดชิงชนะเลิศที่จะเจอกับ สเปน มองดูแล้วว่ารูปแบบวิธีการและฟอร์มการเล่นอังกฤษเป็นรองทุกมุม แต่สิ่งที่อังกฤษมีคือความอดทน และการเล่นแบบชวนทะเลาะ ยิ่งเมื่อพวกเขารู้ว่าตัวเองเป็นรองสเปน ภายใต้การเล่น 3 เซ็นเตอร์แบ็ก แน่น ๆ ชัวร์ ๆ แบบนี้ เชื่อได้เล่นว่าพวกเขาเตรียมทุกอย่างมาพร้อม และจะไม่เป็นงานง่ายของทัพกระทิงดุแน่นอน 

 

แหล่งอ้างอิง

https://www.theguardian.com/football/article/2024/jun/25/england-slovenia-euro-2024-match-report
https://metro.co.uk/2024/07/06/england-changing-formation-team-switzerland-21175590/
https://news.sky.com/story/euro-2024-semi-final-how-bad-are-england-playing-really-and-does-it-matter-when-it-comes-to-winning-13175770
https://www.bbc.com/sport/football/articles/cd19x2d9pxno

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Photo

วัชพงษ์ ดวงแปง

Main Stand's Backroom staff

Graphic

อภิสิทธิ์ โชติพิบูลย์ทรัพย์

Art Director ผู้รับเหมางานภาพกราฟิกหน้าปกบทความทุกชิ้น