Feature

Complete Life ของ แทร์ซิช : โค้ชหนุ่มที่ยกหัวใจให้ดอร์ทมุนด์ตั้งแต่เกิด | Main Stand

โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เข้าชิง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก กับ เรอัล มาดริด มีหลายเรื่องราวที่เป็นประเด็น ไม่ว่าจะเป็นเกมสุดท้ายของ มาร์โก รอยส์ และ โทนี่ โครส ในระดับสโมสร รวมถึงเรื่องอื่น ๆ มากมาย

 

อย่างไรก็ตาม มีอีกเรื่องที่พิเศษที่สุด นั่นคือเรื่องราวกุนซือของ ดอร์ทมุนด์ อย่าง เอดิน แทร์ซิช ที่ชีวิตของเขา "เกิดมาเพื่อสิ่งนี้" และเฝ้ารอวันนี้มาโดยตลอด

เรื่องราวของโค้ชหนุ่มคนนี้จะพิเศษแค่ไหน ติดตามได้ที่ Main Stand

 

ลืมตามาก็รักเลย 

เอดิน แทร์ซิช เกิดในปี 1982 ที่ เมนเดน เมืองเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างจากสนามเหย้าของ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ไม่มากนัก ... ไม่ต้องสงสัยว่าเขาจะเชียร์ทีมอะไร ระยะห่าง 5 กิโลเมตร จาก เวสฟาเล่นสตาดิโอน คือระยะทางที่เขาเดินไปให้กำลังใจทีมรักอย่าง ดอร์ทมุนด์ ทุกนัดตั้งแต่ยังเด็กเมื่อวันหยุดสุดสัปดาห์มาถึง เขา พ่อ และ แม่ จะใช้เวลาร่วมกันไปกับกิจกรรมนี้ ดังนั้น สำหรับ ดอร์ทมุนด์ ในความรู้สึกแรกของเขา แทร์ซิช จะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจาก "ทีมรัก" 

พ่อแม่ของเขาเป็นผู้อพยพชาวยูโกสลาเวีย ที่เข้ามาอยู่ในเยอรมนี และแน่นอนว่าต้องทำงานหนักเพื่อเริ่มก่อร่างสร้างชีวิตใหม่ นั่นทำให้ แทร์ซิช มีแนวคิดที่อยากจะทำงาน หรืออะไรสักอย่างที่ทั้งได้เงิน ได้ประสบการณ์ และได้เกี่ยวข้องกับฟุตบอลหรือสโมสรดอร์ทมุนด์ที่เขารัก ดังนั้นจะมีอะไรที่ตอบโจทย์ทั้ง 2 อย่างได้ดีกว่าการเป็นนักฟุตบอล

แทร์ซิช เริ่มเล่นฟุตบอลแต่เด็ก ทว่าเรื่องของพรสวรรค์ด้านนี้ดูจะไม่ใช่ทาง เขาเดบิวต์เกมระดับอาชีพครั้งแรกในปี 2003 หรือตอนที่เขาอายุ 21 ปี กับสโมสรในลีกระดับดิวิชั่น 4 ของประเทศออย่าง FC Iserlohn 46/49 มันค่อนข้างชัดเจนว่า มันเป็นการเริ่มที่ช้า และเป็นเริ่มจากจุดที่ลึกมาก หากเรามองว่า ดอร์ทมุนด์ คือความหวังที่เขาอยากจะไปถึง 

แม้ แทร์ซิช จะพยายามสู้แล้ว แต่ที่ไม่ได้คือไม่ได้ เขาใช้เวลาเป็นนักเตะอาชีพอยู่เพียง 10 ปีเท่านั้น ลงเล่นในสโมสรระดับ ดิวิชั่น 3 ดิวิชั่น 4 ไม่เคยดีเกินกว่านี้ จะให้พูดชื่อสโมสรก็เชื่อว่าแฟนบอลบ้านเราไม่เคยได้ยินชื่อแน่นอน อาทิ Westfalia Herne - SG Wattenscheid 09 - BV Cloppenburg และ Borussia Dröschede ... นี่แค่ตัวอย่างส่วนหนึ่งเท่านั้น 

อย่างไรเสีย แม้จะเล่นบอลไม่เก่ง แต่อย่างน้อย เอดิน แทร์ซิช ก็มีคุณสมบัติของคนที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต 10 ปีในเวทีบอลอาชีพ มากพอที่จะทำให้เขากลับมาทบทวนและตกผลึกว่า "มันไม่ใช่ทาง" ดังนั้น เลิกเสียตั้งแต่อายุ 30 ปีกว่า ๆ คือเวลาอันสมควรแล้ว ต่อให้อยู่นานกว่านี้ ก็คงจะไม่ได้เล่นในระดับที่สูงขึ้นแน่ และมันคงดีกว่าถ้าใช้โอกาสนี้ "เลิกก่อนคนอื่น" ในฐานะนักฟุตบอล และ "เรียนรู้ก่อนคนอื่น" ในฐานะ "โค้ชฟุตบอล"
 
แทร์ซิช ประกาศแขวนสตั๊ดแบบที่โลกไม่ได้จดจำ แต่ถึงอย่างนั้นบทต่อไปของเขาต่างหาก ที่จะทำให้โลกทั้งใบจำชื่อของเขาได้ และแม้แต่สโมสรที่เขารักที่สุด ก็ไม่ใช่ฝันที่ใหญ่เกินจริงอีกต่อไป 

 

โตขึ้นในฐานะแฟนบอล - และโค้ชฟุตบอล 

แทร์ซิช เริ่มลงทะเบียนเรียนโค้ชกับทาง ยูฟ่า และในขณะเดียวกันก็ต้องทำงานไปด้วย โดยตัวของเขานั้นได้รับอิทธิพลจากพี่ชายที่ทำงานเป็นทีมแมวมองให้กับ ดอร์ทมุนด์ ซึ่งในช่วงเวลานั้น เขาก็ขอเข้าไปทำในตำแหน่งเด็กฝึกงานด้วย โดยจะมีรายได้ตอบแทนให้เล็กน้อยเท่านั้น 

ความล้มเหลวในการเป็นนักเตะ กลับตรงกันข้ามในสายอาชีพใหม่ แทร์ซิช ถือเป็นแมวมองที่มีสายตาแหลมคม และขยันในการเดินทางไปซุ่มดูฟอร์มนักเตะหนุ่มจากทั่วประเทศ โดยเพื่อนซี้รุ่นราวคราวเดียวกัน อย่าง ฮันเนส โวล์ฟ ซึ่งกำลังเรียนโค้ชระดับ เอ ไลเซ่นส์ ที่ ยูฟ่า (ในตอนนั้น โวล์ฟ เป็นโค้ช ดอร์ทมุนด์ ชุด ยู 19 ปัจจุบันคุม ทีมชาติเยอรมัน ชุด ยู 20) ชวนเขาเข้ามาทำงานกับ ดอร์ทมุนด์ อย่างเต็มตัวในปี 2010 

ช่วงเวลานั้น เยอร์เก้น คล็อปป์ เป็นกุนซือของ ดอร์ทมุนด์ และเริ่มพาทีมวิ่งชนความสำเร็จด้วยแชมป์บุนเดสลีกา 2 สมัยรวด ซึ่งเรียกได้ว่า ณ เวลานั้น วิธีการของคล็อปป์ กระแทกเข้าที่ใจของ แทร์ซิช อย่างจัง ไม่ว่าจะการปกครองทีม การควบคุมห้องแต่งตัว การบริหารจัดการคน และการวางแท็คติกที่เหมาะกับคุณสมบัติของนักเตะ แทร์ซิช จำตั้งแต่วันนั้นว่า หลักสูตรความสำเร็จของ คล็อปป์ คืออะไร  

แม้กระทั่งทุกวันนี้เขายังบอกเล่าเสมอว่า นักเตะขวัญใจของเขาคือกลุ่มนักเตะในยุคของ คล็อปป์ ไม่ว่าจะเป็น มาริโอ เกิตเซ่, โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ และ มัตส์ ฮุมเมิ่ลส์ ที่ปัจจุบันกลายเป็นลูกทีมของเขาไปแล้ว 

ความอินของ แทร์ซิช กับทีมชุดนั้น เหมือนทำให้เขากลับมามีไฟในการดูฟุตบอลอีกครั้ง เขาไม่เคยพลาดเลยแม้แต่เกมเดียวโดยเฉพาะเกมเหย้า ขณะที่ในเกมนัดชิง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก กับ บาเยิร์น มิวนิค เมื่อปี 2013 แทร์ซิช ก็เข้าไปเชียร์ในสนามในฐานะแฟนบอลคนหนึ่งที่หาตั๋ว และต้องจองทุกอย่างเองทุกประการ ไม่มีสิทธิประโยชน์ในฐานะคนของสโมสรแต่อย่างใด ... ความรู้สึกของการเดินทางเข้านัดชิงยุโรป ยังคงเป็นรสชาติที่ติดใจเขาตลอดมา แม้วันนั้น ดอร์ทมุนด์ จะแพ้ แต่บรรยากาศและความขลัง ก็ยังเป็นสิ่งที่เขาหวังว่าจะมาถึงจุดนี้อีกสักครั้ง 

นอกจากนี้ แทร์ซิช ยังเล่าย้อนไปถึงเกมนัดชิงปี 1997 ที่ ดอร์ทมุนด์ เอาชนะ ยูเวนตุส ใน แชมเปี้ยนส์ ลีก นัดชิง ความรู้สึกของการได้เป็นผู้ชนะ มันทำให้ยิ่งเข้าใจว่าแฟน ๆ สโมสร และเมืองแห่งนี้ มีความเป็นหนึ่งเดียวกันมากแค่ไหน ในวันที่ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ได้สร้างความภาคภูมิใจให้กับพวกเขา  

"ตอนนั้นผมอายุ 14 ปี น่าเสียดายที่ผมไม่ได้อยู่ในมิวนิค [สนามแข่งรอบชิงชนะเลิศ] แต่ผมดูมันบนจอขนาดใหญ่ในบ้านเกิดของผม มันเป็นวันที่พิเศษมากสําหรับแฟนบอลดอร์ทมุนด์ทุกคน"

"เมืองและสโมสรมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด หากคุณถามใครก็ตามว่าสีอะไรที่เกี่ยวข้องกับเมืองนี้ คุณจะได้ยินคําตอบเสมอว่าสีเหลืองและสีดํา มันเป็นการตอบแทนซึ่งกันและกัน สโมสรเป็นตัวแทนของเมือง เมืองเป็นตัวแทนของสโมสร และนั่นคือสิ่งที่ทําให้ทั้งคู่มีความพิเศษเป็นอย่างมาก" 

เส้นทางของการเป็นแฟนบอลยังคงดำเนินต่อไปอย่างราบรื่นและไม่เปลี่ยนแปลงสำหรับ แทร์ซิช ทว่าเส้นทางของการเป็นโค้ชฟุตบอลของเขานั้นกำลังไต่ระดับไปยังจุดที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ จากการเป็นแมวมอง และทำงานร่วมกับสตาฟโค้ช ใครเลยจะรู้ว่าอนาคตของเขาเตรียมจะพุ่งทะลุกราฟความหวังที่เขาเคยตั้งไว้ให้กับชีวิตของตัวเองเสียอีก 

 

จากกองเชียร์ สู่ผู้นำทัพ 

แทร์ซิช ทำงานเป็นผู้ช่วยของ โวล์ฟ ในทีมชุดยู 19 ได้เพียง 2 ปี เขาก็ได้รับการติดต่อจาก สลาเวน บิลิช อดีตนักเตะทีมชาติโครเอเชีย ที่ผันตัวมาเป็นโค้ชทีมชาติ ว่ากันว่า ณ เวลานั้น บิลิช รู้จัก แทร์ซิช เป็นการส่วนตัวด้วยส่วนหนึ่ง และพอจะรู้ว่านิสัยช่างสังเกต และการเป็นโค้ชระดับทฤษฎีแน่น บิลิช จึงวางให้ แทร์ซิช เป็นคนจัดการเรื่องการวิเคราะห์เกม และวางหมากแก้ไขจุดอ่อนของทีมในแต่ละนัด ซึ่งส่วนใหญ่ แทร์ซิช จะได้จัดการเกมรับมากเป็นพิเศษ  และผลงานของ โครเอเชีย ในฟุตบอลยูโร 2012 รอบคัดเลือก นั้นก็สุดยอดมาก เพราะพวกเขาเสียเพียงแค่ 8 ลูกจาการลงเล่น 12 เกมเท่านั้น … เรียกได้ว่าช่วงเวลาที่อยู่กับ บิลิช เป็นช่วงเวลาการฉายความเก่งกาจของ แทร์ซิช อย่างแท้จริง

"เอดิน เป็นเหมือนกับน้องชายของ สลาเวน บิลิช เลยในตอนนั้น หลังจาก แทร์ซิช ทำผลงานได้ดีมาก บิลิช จึงติดต่อไปยัง มิชาเอล ซอร์ก (ผู้อำนวยการฟุตบอล ของ ดอร์ทมุนด์) เพื่อขอยืมตัวโค้ชหนุ่มของทีมมาใช้งานสัก 2-3 ปี แต่กลับกลายเป็นว่าการทำงานมันสอดคล้องกันดีมากเสียจนที่สุดแล้ว แทร์ซิช ทำงานในฐานะมือขวา บิลิช นานถึง 5 ปี" เคนเนธ อัสเกซ เอเย่นต์ของ สลาเวน บิลิช ว่าไว้

"สิ่งที่ผมเห็นในตัวของ แทร์ซิช ณ เวลานั้นคือการเป็นโค้ชที่ยืนอยู่บนพื้นฐานความเป็นมนุษย์ มีความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจ เขาสังเกตเรื่องอาการและความรู้สึกของนักเตะในทีมตลอด เช่นเดียวกันกับนักเตะบางคนที่พยายามจะออกนอกกรอบ เขาก็พร้อมที่จะใช้วินัยอย่างเข้มงวดในการจัดการให้ทุกคนอยู่ด้วยกันเป็นส่วนรวมให้ได้" เขาว่าต่อ 

คนที่กำลังเรียนโค้ช ทฤษฎีเต็มหัวอย่าง แทร์ซิซ (เขาเรียนจบระดับ โปร ไลเซ่นส์ ที่อังกฤษ โดยมี แกรห์ม พอตเตอร์, นิคกี้ บัตต์ และ เนมานย่า วิดิช เป็นเพื่อนร่วมรุ่น) ถูกจับมาอยู่กับโค้ชอย่าง บิลิช ที่ให้โอกาสการทำงานแบบเต็มที่ ให้ประสบการณ์แบบที่ห้องเรียนโค้ชทำไม่ได้ ทำให้ แทร์ซิช โตไวมากในวงการนี้ เขาขยับตัวเองจนถึงขั้นขึ้นมาป็นมือขวาประจำตัว บิลิช ตามติดไปทำงานกับสโมสร เบซิคตัส และ เวสต์แฮม มาถึงจุดหนึ่งที่ทำงานครบ 5 ปี ก็คงต้องใช้คำว่าสุกงอมแล้ว สัญญายืมตัวที่ บิลิช ตกลงไว้กับ ดอร์ทมุนด์ หมดลง ก็ประจวบเหมาะพอดีกันกับช่วงเวลาที่ ดอร์ทมุนด์ ต้องการใครสักคนที่มี DNA ของสโมสร กลับมาช่วยงาน ชื่อของ แทร์ซิช จึงปรากฎขึ้นเพียงแต่เริ่มในฐานะของมือขวาไปก่น

ในช่วงเวลา 5 ปี ที่ แทร์ซิช ไปอยู่กับ บิลิช ดอร์ทมุนด์ ก็เปลี่ยนแปลงไปเยอะ เยอร์เก้น คล็อปป์ จากไปนานแล้ว โทมัส ทูเคิ่ล ก็ก้าวต่อไปในอาชีพ ปีเตอร์ บอสซ์ โดนไล่ออกตั้งแต่ 6 เดือนแรก สิ่งนี้ทำให้ ซอร์ค มองว่า คงจะดีหากได้ แทร์ซิช ที่มี DNA ของทีมเข้ามาทำงานในตอนนี้ โดยเริ่มจากมือขวาของ ลูเซียน ฟาร์ฟ ไปก่อน เพื่อเป็นการ "กรูมมิ่ง" สู่บันไดขั้นสุดท้าย นั่นคือการเป็นกุนซือใหญ่ในอนาคต ... และเรื่องนี้ เยอร์เก้น คล็อปป์ คือคนที่เสนอความคิดนี้ให้กับบอร์ดบริหารของ ดอร์ทมุนด์ อีกด้วย 

แต่ความท้าทายมาเร็วมาก หลังจากกลางซีซั่น 2020-21 ฟาร์ฟ โดนไล่ออกจากตำแหน่ง และในตอนนั้นยังไม่มีโค้ชใหญ่คนไหนที่เหมาะสมกับตำแหน่งและว่างงาน สโมสรจึงดัน แทร์ซิช คุมทีมในฐานะรักษาการ ก่อนผลงานจะออกมาดีในระดับหนึ่งด้วยการพาทีมคว้าแชมป์ เดเอฟเบ โพคาล แม้ผลงานในลีกอาจจะไม่ได้ดีมากนัก แต่มันเป็นเครื่องหมายการันตีได้ว่า หากเก็บชั่วโมงบินอีกนิด สิ่งที่ทีมรอคอยจาก แทร์ซิช จะต้องเกิดขึ้นแน่ 

และโอกาสนั้นก็มาถึงเร็วมากกว่าที่คิดอีกครั้ง เมื่อคนที่เข้ามารับงานในฤดูกาล 2021-22 อย่าง มาร์โก โรส นั้นทำงานล้มเหลวจบซีซั่นด้วยมือเปล่า หนนี้ทุกฝ่ายลงมติกันชัดเจน เอดิน แทร์ซิช พร้อมแล้วที่จะรับตำแหน่งนี้ เขาได้เรียนรู้จากทุกภาคส่วนและทุกบทบาทในสโมสรจนครบตั้งแต่การเป็นแฟนบอล แมวมอง ผู้ช่วยโค้ชเยาวชน ทีมงานสตาฟโค้ชชุดใหญ่ ผู้ช่วยผู้จัดการทีม เหลือเพียงตำแหน่งเดียวเท่านั้นคือ "เฮดโค้ช" ซึ่งสุดท้าย แทร์ซิช ก็รับตำแหน่งนี้อย่างเป็นทางการในปี 2022 และพาทีมมาถึงรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2023-24 ได้สำเร็จในเวลานี้ 

"ถึงตอนนี้ผมเชื่อมั่นเหลือเกินว่า ทุกคนคงรู้ถึงความหมายของสโมสรแห่งนี้ว่ามันมีความสำคัญต่อชีวิตของผมแค่ไหน ... ผมสัญญาว่าผมจะทุกเทอย่างทุก และทำมันซ้ำ ๆ ในทุก ๆ วันเพื่อนำความสำเร็จมาให้ทีมของพวกเราทุกคนให้ได้" แทร์ซิช กล่าวในวันเปิดตัว และตอนนี้เขากำลังเข้าใกล้สิ่งนั้นอีกครั้งแล้ว 

นอกเหนือจากเรื่องแพชชั่นที่มีต่อทีม แทร์ซิช เรียนรู้อยู่เสมอเช่นกัน ตลอดอาชีพการฝึกสอนของเขา เขาได้จัดทำเอกสารที่เต็มไปด้วยแนวคิด ปรัชญา และวิธีการ ซึ่งปัจจุบันมีความยาวเกือบ 400 หน้า เขามีนิสัยแบบนั้นมานานแล้ว .. โดยในปีที่ผ่านมาเขาเพิ่งได้เขียนแนวคิดที่เขาไม่เคยเจอกับตัวมาก่อนนั่นคือหัวข้อ "ความเจ็บปวด" 

แทร์ซิช เจ็บช้ำมาเยอะในฤดูกาล 2022-23 ที่เสียแชมป์บุนเดสลีกาให้กับ บาเยิร์น มิวนิค ในเกมสุดท้ายของซีซั่น เขากอดคอกับนักเตะ ร้องไห้แบบเสียน้ำตาให้แฟนบอลของตัวเองเห็น เขารับผิดเรื่องนี้แต่เพียงผู้เดียวต่อหน้าทุกคน ขอโทษที่ทำให้ทุกคนผิดหวัง .... แต่สิ่งที่ทุกคนตอบกลับมา คือเหตุผลที่ว่าทำไม ดอร์ทมุนด์ จึงล้มและลุกไวขนาดนั้น เพียงปีเดียวพวกเขากลับมาท้าทายอีกครั้งในรายการที่ใหญ่ยิ่งกว่าเดิม 

"เอดิน คือคนของเรา เขาเป็นแฟนบอล พวกเราทุกคนไม่โทษ และไม่มีข้อสงสัยอะไรในตัวเขาทั้งนั้น เรารู้ว่าเขาเป็นคนที่พยายามจะเดินไปถึงเป้าหมายด้วยตัวเอง เขารักและรู้จักทีม ๆ นี้เป็นอย่างดี ว่าสามารถเดินไปทางไปถึงจุดไหนได้ ... แพชชั่นที่เข้มข้นของของเขา บอกให้พวกเรารู้เสมอว่า เราต้องสนับสนุนเขา" คาร์สเทน ครามเมอร์ ผู้อำนวยการฝ่ายการค้าของ ดอร์ทมุนด์ ว่าแบบนั้น 

กำลังใจจาก "พวกเดียวกัน" ทำให้ แทร์ซิช เดินต่อ และมาถึงจนตอนนี้ ไม่ว่าเรื่องราวตอนสุดท้ายจะจบลงแบบไหน แต่เรื่องราวทั้งหมดของเขายังคงทรงเสน่ห์อย่างที่สุด จากแฟนบอลไต่ขึ้นมาจนเป็นนายใหญ่ของทีม จะมีอะไรพิเศษกว่านี้ ?

แน่นอนว่าการเอาชนะ เรอัล มาดริด เจ้าของฉายา "ราชายุโรป" ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ คือสโมสรที่มักจะทำในสิ่งที่เรียกว่า “ล้มยักษ์” ได้เสมอในวันที่ทุก ๆ ส่วนของสโมสรรวมกันเป็นหนึ่ง ... สิ่งที่เราลืมบอกเกี่ยวกับเขาคือ แทร์ซิช เป็นคนที่โรแมนติก ดังนั้นเขาจึงพาลูกทีมลงเล่นเกมนี้ด้วยหัวใจที่ใหญ่กว่าเดิม และมั่นใจว่าต่อให้เป็นรอง พวกเขาก็จะเอาชนะให้ได้

"บนโลกนี้อะไรก็เป็นไปได้ ถ้าถามว่าใครจะยืนยันเรื่องนี้ให้ทราบ ผมจะตอบว่าพวกเราเองนี่แหละ บอสด่านสุดท้ายยืนรอพวกเราอยู่ ทีมที่มีสถิติชนะในรอบชิงชนะเลิศมา 8 เกมรวด จะต้องจบลง ... ด้วยน้ำมือของพวกเรานี่แหละ" แทร์ซิช พูดแบบนั้นก่อนเกม ก่อนจะทิ้งท้ายว่า นี่คือความมั่นใจที่เขาพูดในฐาะนะแฟนบอลของ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ คนหนึ่ง

 

แหล่งอ้างอิง

https://www.goal.com/en/lists/edin-terzic-fan-yellow-wall-borussia-dortmund-champions-league-final/bltbcae445b394ed54c#cs7b1b8578631d1c21
https://www.bundesliga.com/en/bundesliga/news/edin-terzic-5-things-on-borussia-dortmunds-new-head-coach-13917
https://www.nytimes.com/athletic/5520606/2024/05/28/edin-terzic-borussia-dortmund/

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Photo

วัชพงษ์ ดวงแปง

Main Stand's Backroom staff

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ