Feature

เมื่อเวลามีค่ายิ่งกว่าเงิน : สาเหตุที่ทีมอื่นอาจได้ "แค่ฝัน" ในการเขี่ย แมนฯ ซิตี้ ร่วงบัลลังก์ ? | Main Stand

"ผมเคยอยู่จุดนั้นตอนที่ แมนฯ ซิตี้ ทำได้ 100 แต้ม นี่คือสิ่งที่เราต้องทำ ไม่มีใครจำเป็นต้องอธิบายเรื่องของระดับการแข่งขัน"

 

มิเกล อาร์เตต้า กุนซือของ อาร์เซน่อล กล่าวยอมรับหลังการแข่งขันนัดสุดท้ายของ พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2023-24 สิ้นสุดลง ทั้ง ๆ ที่พวกเขามี 89 แต้ม แต่นั่นก็ยังไม่พอที่จะเขี่ย "เบอร์ 1 แห่งยุค" อย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ลงจากตำแหน่งแชมป์ลีกได้ 

ความห่างที่ แมนฯ ซิตี้ สร้าง ว่ากันว่าพวกเขาจะได้แชมป์ไปเรื่อย ๆ จนกว่า เป๊ป กวาร์ดิโอล่า จะเบื่อและเลิกไปเอง แต่คำถามคือ ทำไมถึงเก่งได้ขนาดนั้น และทำไมทีมอื่นจึงยากจะแซงหน้าได้ ?  

นี่คือเรื่องของการลงทุนที่เล่นกับกฎของเวลาได้อย่างลงตัว มันลงตัวถึงขั้นที่ว่าเกิด "ทฤษฎีสมคบคิด" ขึ้นมาว่า "ซิตี้ รู้กันกับ ยูฟ่า" 

เรื่องดังกล่าวเป็นอย่างไร ? ติดตามที่ Main Stand

 

การตัดสินใจทุ่ม ในวันที่คนอื่นไม่กล้า 

นับตั้งแต่กลุ่มทุนใหญ่จาก อาบูดาบี ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เข้ามาเทคโอเวอร์ แมนฯ ซิตี้ ในปี 2008 สโมสรแห่งนี้ทุ่มเงินมากมายแบบนับไม่ถ้วน เพื่อพัฒนาทุกภาคส่วนตั้งแต่เชิงโครงสร้างสโมสร รวมถึงเชิงปริมาณและคุณภาพในสนาม

แยกย่อยเพื่อให้เป็นภาพง่าย ๆ เราได้พบว่า นับตั้งแต่ซีซั่น 2008-09 เป็นต้นมา ซิตี้ ซื้อตัวนักเตะแต่ละซีซั่นด้วยเงินเฉลี่ยราว ๆ 150 ล้านปอนด์ โดยในฤดูกาล 2008-09 ขณะที่สโมสรอื่น ๆ ในพรีเมียร์ลีกซื้อตัวเฉลี่ยเพียงทีมละ 40 ล้านปอนด์ แต่ แมนฯ ซิตี้ ใช้เงินซื้อนักเตะมากถึง 160 ล้านปอนด์เพื่อเสริมทัพ มากกว่าค่าเฉลี่ยเกือบ ๆ 4 เท่า

และเมื่อเข้าถึงยุค เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ตั้งแต่ฤดูกาล 2016-17 พวกเขาเสริมทัพซื้อตัวนักเตะหมดเงินไปถึง 1.1 พันล้านปอนด์ นับตั้งแต่ปี 2018 ซึ่งถ้าหักลบกับจำนวนนักเตะที่ขายได้จะได้ตัวเลขการจ่าย (สุทธิ) อยู่ที่ 478 ล้านปอนด์ 

มองแค่ตรงนี้อาจจะเป็นตัวเลือกที่เยอะมาก ๆ แต่จริงแล้วถ้าเทียบใน 6 ปีหลังสุด แมนฯ ซิตี้ คือทีมที่ซื้อนักเตะเป็นจำนวนสุทธิน้อยกว่าทีมอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด, เชลซี, อาร์เซน่อล, ลิเวอร์พูล, สเปอร์ส, แอสตัน วิลล่า, นิวคาวเซิล และ เวสต์แฮม (จ่ายสุทธิมากที่สุดคือ แมนฯ ยูไนเต็ด 835 ล้านปอนด์) 

นอกจากนี้ในปี 2014 พวกเขายังลงทุนกับ "ซิตี้ ฟุตบอล อคาเดมี่" ศูนย์ฝึกที่ดีที่สุดและใหญ่ที่สุดในอังกฤษ (ณ เวลานั้น) เป็นเงินกว่า 200 ล้านปอนด์ และขยายอาณาจักรฟุตบอล ด้วยการกว้านซื้อกิจการ เข้าดูแลสโมสรหลากหลายแห่งในแต่ละทวีป ภายใต้ชื่อ "ซิตี้ ฟุตบอล กรุ๊ป" ซึ่งตอนนี้มีสโมสรอยู่ในเครือถึง 13 สโมสร แต่ละปี ๆ ต้องใช้งบประมาณส่วนนี้เพื่อดูแลทีมเครือข่ายไม่น้อย

ณ เวลานั้นแทบทุกทีมชี้นิ้วไปที่พวกเขา และตราหน้าบอกว่ากำลัง "ใช้เงินซื้อความสำเร็จ" หรือ "ทำฟุตบอลพัง" อะไรก็ได้แล้วแต่จะคิด 

อย่างไรก็ตาม ชีค มานซูร์ และทีมบอร์ดบริหารของ แมนฯ ซิตี้ เดินหน้าทำแบบนั้นต่อไป เพราะนี่คือแผนการระยะยาวชนิดที่ว่า "จ่ายก่อน สบายก่อน"  ในวันที่ฟุตบอลอาจจะไม่ได้ทำเงินหรือสร้างรายรับมากเหมือนกับทุกวันนี้ พวกเขากล้าใช้เงินเพื่อพัฒนา และเพิ่มมูลค่าสโมสรแบบไม่กลัวเจ๊ง ซึ่งจุดนี้ต้องชมเรื่องแผนการบริหาร ที่ทำให้ทุกอย่างเป็นตามสเต็ป 

จนทุกวันนี้ ซิตี้ ถูกจัดอันดับให้เป็นทีมที่มีมูลค่าทางธุรกิจมากที่สุดในโลก โดยพุ่งทะยานไปถึง 1,299 ล้านปอนด์ และสองปีหลังสุด พวกเขาคือทีมที่ทำรายได้มากที่สุดในพรีเมียร์ลีกติดต่อกัน โดยในฤดูกาล 2022-23 ที่ผ่านมา พวกเขาเปิดบัญชีทั้งหมด ปรากฎว่าพวกเขาทำกำไรไปถึง 97 ล้านปอนด์ 

ที่เราอธิบายมาทั้งหมด เพื่อจะทำให้เห็นภาพชัด ๆ ว่าการลงทุนของ แมนฯ ซิตี้ นั้น คือแนวคิดเรื่องการลงทุนทันทีเมื่อมีแผนงานที่ชัดเจน ซิตี้ ซื้อแหลก สร้างแหลก ก็จริง แต่ทุกอย่างนั้นมีแบบแผน มันเป็นการซื้อและเป็นการสร้างที่จะทำให้ฐานของพวกเขาแน่น อุดรอยรั่วทางธุรกิจทุกอย่างในอนาคต (นั่นก็คือทุกวันนี้) 

ยกตัวอย่างเช่น ซิตี้ มีนักเตะจากอคาเดมี่ขึ้นมาเป็นตัวหลักของชุดใหญ่อย่าง ฟิล โฟเด้น และมีอีกหลายคนรอจ่อคิวให้ใช้งานหลากหลายตำแหน่ง ซึ่งตรงนี้ก็สามารถลดเรื่องการซื้อตัวนักเตะได้ก้อนใหญ่ได้ 

ไหนจะการสร้างศูนย์ฝึก และอัพเกรดระบบแมวมองในการดึงนักเตะดาวรุ่งฝีเท้าดี ที่ว่ากันว่าใช้งบไป 200 ล้านปอนด์ พอมาถึงตอนนี้ นอกจาก ซิตี้ จะได้เด็กเยาวชนคนคุณภาพดีไว้ใช้เอง หากตัวไหนที่ยังไม่มีที่เล่น และไม่ดีพอสำหรับทีมชุดใหญ่ พวกเขาก็ขายทำเงินได้มากมาย หากนับเอาแต่ราคาของนักเตะที่อคาเดมี่ที่พวกเขาขายออกไป ณ ตอนนี้ ซิตี้ ได้เงินจากส่วนนี้มากกว่า 200 ล้านปอนด์ไปแล้ว  

ทุกอย่างจากลบกลายเป็นบวกไปหมดแล้วในตอนนี้ นี่คือแนวคิดการลงทุน ซึ่งสามารถอธิบายโดยแนวคิดของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่ว่า "จงโลภในยามที่ทุกคนกลัว" กล่าวคือ ขณะที่ทีมอื่นกลัวว่าจะขาดทุน และไม่อยากจะใช้จ่ายเกินตัว แมนฯ ซิตี้ ฉวยโอกาสในฐานะผู้มาทีหลัง อัดเงินไม่ยั้ง ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขามีสิทธิ์จะทำแบบนั้นโดยชอบธรรม เพราะมันไม่มีกฎการเงิน (FFP) มาบังคับใช้ 

และเมื่อถึงวันที่กฎ FFP บังคับใช้ บวกกับเกิดวิกฤติ COVID-19 เล่นงานทุกทีม ทุกลีก ยิ่งไปกว่านั้น กฎการเงินของในพรีเมียร์ลีกยังเข้มข้นขึ้นกว่าเดิม ภายใต้ชื่อกฎ PSR ซึ่งกฎฉบับใหม่ที่จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ฤดูกาล 2025-26 อนุญาตให้แต่ละสโมสรสามารถใช้เงินสำหรับจ่ายค่าตัวและค่าเหนื่อยนักเตะได้สูงสุด 70% (ทีมที่ไม่ได้เล่นฟุตบอลสโมสรยุโรป) หรือ 85% (ทีมที่ได้เล่นฟุตบอลสโมสรยุโรป) ของรายรับ แมนฯ ซิตี้ กลายเป็นทีมที่ไม่มีปัญหาอะไรเลย เนื่องจากรายรับของพวกเขามีมากมายหลายทาง อีกทั้งการลงทุนเชิงโครงสร้างก็จบไปนานแล้วมีทั้งสนามซ้อม, ศูนย์ฝึก และ สโมสรเครือข่ายทั่วโลก ตั้งแต่กฎยังไม่บังคับใช้ 

พวกเขาขายดาวรุ่งเพื่อเอาเงินมาซื้อนักเตะเกรด A มาเติมความแข็งแกร่งให้ทีมได้สบาย ๆ นึกภาพง่าย ๆ แค่ โคล พาลเมอร์ นักเตะที่ขายไปแบบไม่คิดอะไรและไม่กระทบกับภาพรวมของทีมชุดใหญ่ พวกเขายังทำเงินได้ถึง 40 ล้านปอนด์ ... ขณะที่ทีมอื่น ๆ ต้องดีดลูกคิดนอนก่ายหน้าผากว่าจะใช้เงินอย่างไรให้สมส่วน ไม่เกินกว่าที่กฎ PSR ห้ามไว้ 

ดังนั้นเรื่องการตามล่า ของทีมที่ตามหลังและพยายามจะเขี่ย แมนฯ ซิตี้ ให้ร่วงจากบัลลังก์มันจึงเป็นเรื่องยาก ทางเดียวที่จะลดช่องว่าง คือการเสริมทัพเติมคุณภาพ ทำให้ขุมกำลังหมุนเวียนแข็งแกร่งพอจะเล่นชิงทั้ง 4 ถ้วยตลอดทั้งฤดูกาล ทว่าด้วยกฎ PSR รูปแบบใหม่ แทบจะไม่มีทีมไหนสามารถใช้จ่ายได้ปีละ 200-300 ล้านปอนด์ โดยไม่คิดหน้าคิดหลังได้อีกแล้ว 

ณ ตอนนี้ ซิตี้ มีพร้อมทุกอย่าง ชนิดที่ว่าต่อให้พวกเขาอยู่เฉย ๆ ไม่ต้องเสริมทัพเลยสักตำแหน่ง พวกเขาก็ยังเป็นทีมมีศักยภาพมากพอที่จะเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกมากที่สุดในซีซั่นหน้าอย่างแน่นอน ทั้งหมดต้องยกเครดิตให้เรื่องการวางแผนการใช้เงินที่สามารถทำให้พวกเขาเก็บเกี่ยวในระยะยาวได้จนทุกวันนี้ เรียกได้ว่าเจ็บแต่จบอย่างแท้จริง 

 

ไม่ใช้วันนี้ พรุ่งนี้ต้องหาเพิ่ม 

นอกจากการลงทุนที่กล้าได้กล้าเสียแล้ว แมนฯ ซิตี้ ยังทำถูกตามหลักการเงินอีกหนึ่งอย่าง ว่าด้วยการใช้เงินกับสิ่งที่จำเป็น ในเวลาที่เหมาะสม เพราะเวลามีมูลค่าของมัน และบางครั้งเวลาอาจจะมีค่ามากกว่าเงินอีกด้วยซ้ำ 

ในโลกของการเงิน มันมีเรื่องที่เป็นเศรษฐศาสตร์พื้นฐาน นั่นคือคำว่า "เงินเฟ้อ" กล่าวแบบเข้าใจง่าย ๆ คือยิ่งเวลาผ่านไปเงินจะยิ่งมีมูลค่าน้อยลง

เช่น ถ้าย้อนกลับไป 20 ปีก่อน คุณอาจจะใช้เงินซื้อข้าวผัดกะเพราตามร้านอาหารตามสั่งได้ที่จานละ 25-30 บาท ชนิดว่าที่ไหนก็มีขายรายราคานี้ แต่ตัดมาทุกวันนี้ถ้าผัดกะเพราตามร้านอาหารตามสั่งแทบทุกร้าน ส่วนใหญ่จะไม่เหลือราคาต่ำกว่า 40 บาทแล้ว ขณะที่หลาย ๆ ร้านอาจจะต้องใช้เงินถึง 60-70 บาทเลยทีเดียว สำหรับกะเพราแบบเดียวกันกับเมื่อ 20 ปีที่แล้ว 

การลงทุนกับฟุตบอลก็เหมือนกัน ถ้าคุณมีเงิน วางแผนมาดี คุณต้องมีความกล้าที่จะใช้ ยกตัวอย่างเช่น ศูนย์ฝึกของ แมนฯ ซิตี้ ที่พวกเขาลงทุนในปี 2014 ด้วยราคา 200 ล้านปอนด์ ถ้าทีมไหนอยากจะเดินตามโมเดลของพวกเขาและมาสร้างเอาในตอนนี้ พวกเขาจะต้องใช้เงินในจำนวนที่มากกว่าเมื่อปี 2014 แน่นอน และอาจจะเยอะกว่าระดับเป็นเท่าตัวเลยก็ได้ 

ถามว่ายืนยันได้จากอะไร เอาง่าย ๆ ที่สุดคือ ณ ปี 2023 ค่าเงินปอนด์ร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 37 ปี เมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งนี่เป็นข้อมูลที่เปิดเผยโดยธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) เอง แน่นอนว่าย่อมเชื่อถือได้ในระดับหนึ่ง 

อีกเรื่องที่ ซิตี้ ใช้ประโยชน์จากเรื่อง "เวลามีค่ามากกว่าเงิน" ได้อีกเรื่องก็คือ หลังจากคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรกในปี 2012 รากฐานความยิ่งใหญ่จริง ๆ ของทีมสร้างขึ้นหลังจากนั้นไม่กี่เดือนต่อมา เมื่อพวกเขาจ้าง เฟร์ราน โซเรียโน่ เข้ามาเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร พวกเขาลงทุนสร้างแบรนด์ตั้งแต่ ณ ตอนนั้น เพราะรู้ว่า แค่แชมป์อย่างเดียวไม่พอ

ย้อนกลับไปปี 2012 หลายคนยังไม่มอง แมนฯ ซิตี้ ด้วยความชื่นชมจากความยิ่งใหญ่ได้แบบนี้ ขณะที่มูลค่าทางการตลาดในฐานะแบรนด์ก็เทียบทีมอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด, ลิเวอร์พูล, เชลซี และ อาร์เซน่อล ที่เป็น Big 4 ของยุคนั้นไม่ติด 

โซเรียโน่ จึงเป็นหัวหอกในการสร้างแบรนด์ของ แมนฯ ซิตี้ ขึ้นมาผ่านแนวคิดที่เขาเคยบอกว่าสโมสรฟุตบอลควรมองตัวเองเป็นบริษัทข้ามสัญชาติแบบ Disney และทำให้ตัวเองกลายเป็นแฟรนไชส์ ซึ่งเขาได้ทำจริง ๆ กับ ซิตี้ สร้างเครือข่ายของทีมรอบโลกทั้งใน อุรุกวัย, สหรัฐอเมริกา, อินเดีย, ญี่ปุ่น, ออสเตรเลีย, ฝรั่งเศส, เบลเยียม, สเปน และ บราซิล 

ณ ตอนนี้ ซิตี้ ฟุตบอล กรุ๊ป หรือ CFG ได้ประกาศว่า แม้สโมสรใหญ่ที่สุดในมืออย่าง แมนฯ ซิตี้ จะทำรายได้เป็นกอบเป็นกำ แต่กับสโมสรอื่น ๆ อีก 13 ทีมนั้น พวกเขายังขาดทุนรวมกว่า 110 ล้านปอนด์ สำหรับการเอางนมาบริหารทีมเหล่านี้ 

แต่อย่างไรก็ตาม CFG ยันยืนเหมือนเดิมว่า พวกเขาจะเล่นเกมยาวเหมือนกับที่สร้าง แมนฯ ซิตี้ ณ เวลานี้พวกเขาจะเปลี่ยนทีมต่าง ๆ ที่ซื้อให้แข็งแกร่งขึ้นจากรากฐาน และสามารถทำเงินได้มากขึ้นในอนาคตตามโมเดลเดียวกับ แมนฯ ซิตี้ 

ซึ่งที่ตอนนี้ก็เห็นภาพชัด ๆ คือ จีโรน่า ที่กำลังจะได้เงินก้อนใหญ่จากการทำอันดับได้ไปเล่นฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในซีซั่นหน้า และนี่ยังไม่รวมถึงการขายนักเตะในทีม จีโรน่า ที่ฟอร์มดีหลายคน โดย ณ ตอนนี้ก็มีหลายทีมมาพัวพันกับนักเตะพวกเขาเรียบร้อย 

ลองนึกภาพดูว่าหาก ณ จุดหนึ่ง จีโรน่า ก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์ใหญ่ของลีกสเปนได้เต็มตัว สามารถไปเล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้ทุกซีซั่น พวกเขาจะทำเงินให้ ซิตี้ ฟุตบอล กรุ๊ป ในระยะยาวได้มากแค่ไหน ? ไหนจะทีมอย่าง ปาแลร์โม่ และ ทรัวส์ ที่มีแนวโน้มทิศทางดีขึ้น

ถ้าทีมเหล่านี้บรรลุเป้าหมาย ซิตี้ ฟุตบอล กรุ๊ป จะมีเงินเข้ามาหลากหลายทาง มีกำไรหลั่งไหลจากหลายที่ และแน่นอนว่า แมนฯ ซิตี้ ที่เป็นเพชรยอดมงกุฎ ก็จะได้รับผลประโยชน์ไปเต็ม ๆ ชนิดที่ว่ากฎการเงินก็ห้ามพวกเขาไม่อยู่ แม้อาจทำให้พวกเขาต้องขายหุ้นสโมสรออกไปบางส่วน เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหากับสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป หรือ ยูฟ่า ก็ตาม

ในส่วนนี้เป็นเพียงการคาดคะเนเท่านั้น แต่ในเมื่อพวกเขาทำให้เห็นมาก่อนแล้วว่า การลงทุนของพวกเขาแต่ละครั้งมาจากความกล้า การวางแผนที่ดี และการมีเป้าหมายแต่ระยะ ๆ ให้เห็นชัด มันก็มีโอกาสไม่น้อยที่ตัวเลขในบัญชีของ ซิตี้ จะเขียวขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งนั่นหมายความว่าพวกเขาจะแข็งแกร่งในฐานะทีมฟุตบอลมากขึ้นยิ่งกว่านี้ ยากที่ทีมอื่นจะไล่ตาม 

 

เป๊ะเกินไปไหม ? 

ทุกอย่างด้านการบริหารและการวางแผนระยะยาวของ แมนฯ ซิตี้ นั้นดูดีไปหมด จนใกล้เคียงคำว่า "สมบูรณ์แบบจนดูเหลือเชื่อ" นี้ ทำให้เกิดทฤษฎีสมคบคิด (Conspiracy theory) หรือความหมายแบบเข้าใจง่าย ๆ คือ ทฤษฎีที่มีหลักฐานในการยืนยันความถูกต้องของข้อมูลน้อยมาก แต่คนจำนวนไม่น้อยก็พร้อมจะปักใจเชื่อโดยไม่สงสัยหรือตั้งคำถามที่ว่า "แมนฯ ซิตี้ รู้กันกับ ยูฟ่า" 

โดยกระทู้ใน Reddit หรือเว็บบอร์ดที่มีสมาชิกทั่วโลก (คล้าย ๆ กับ Pantip ในระดับสากล) มีการพูดถึงว่า แมนฯ ซิตี้ รู้กันกับ ยูฟ่า โดยให้เหตุผลว่า ทำไม ซิตี้ จึงลงทุนมหาศาลในทุก ๆ เรื่องไม่ว่าจะสนาม ศูนย์ฝึก เครือข่าย และการซื้อผู้เล่นแบบจัดเต็มอัดหมดแม็กซ์ ในช่วงเวลาที่กฎทางการเงินยังไม่ถูกบังคับใช้ ? 

และทำไมในวันที่ แมนฯ ซิตี้ มีพร้อมทุกอย่างและเริ่มดีดตัวหนีทีมอื่น ๆ ออกไปไกล ทำไมกฎทางการเงินจึงเข้มนักราวกับว่า ยูฟ่า ไม่ต้องการให้สโมสรอื่น ๆ ตามหลัง แมนฯ ซิตี้ ทัน ... ย้ำอีกทีว่านี่คือแนวคิดของคนส่วนน้อย ที่มีโอกาสจะไม่จริงสูงมากเพราะไม่มีหลักฐานใด ๆ อ้างอิง มีแต่คำกล่าวขึ้นมาลอย ๆ เท่านั้น 

และถ้าถามว่า แล้วจะยกมาพูดถึงทำไมถ้ามันไม่มีมูล ? คำตอบคือ เราพยายามสื่อให้เห็นว่าความสำเร็จที่เกิดขึ้นแบบมีแบบแผน และสามารถเก็บกินได้ในระยะยาวหลังจากนี้ของ แมนฯ ซิตี้ มันทำยอดเยี่ยม จนทำให้คนอดสงสัยว่าพวกเขารู้อะไรก่อน หรือที่เรียกกันว่ามีวงในหรือเปล่าเลยทีเดียว 

อย่างไรก็ตาม เราก็จะปัดตกเรื่องนี้ทิ้งไม่ได้เสียทีเดียว เพราะเราก็ต้องไม่ลืมว่า แมนฯ ซิตี้ "อาจจะ" มีด้านมืดทียังไม่มีใครรู้ซ่อนอยู่เบื้องหลังความสำเร็จจริง ๆ แบบที่มีการมโนกันเกิดขึ้นก็ได้ 

เพราะล่าสุดมีการเปิดเผยจาก ทาริค ปานจา นักข่าวของ นิวยอร์ค ไทม์ส ระบุว่าในเดือนตุลาคม 2024 นี้ ศาลจะพิจารณาคดีความเรื่องการผิดกฎการเงินของ แมนฯ ซิตี้ ทีมีกว่า 115 คดี ซึ่งจะออกหัวหรือก้อย ก็ยังไม่มีใครรู้ 

ถ้าออกหัว ก็เท่ากับว่าพวกเขาจะต้องรับการลงโทษจากการเล่นนอกเกมที่เกิดขึ้น แต่ถ้าพวกเขาไม่โดน หรืออย่างแย่ที่สุดคือการโดนปรับเงินซึ่งพวกเขามีอยู่มากมายมหาศาลในเวลานี้ล่ะ อะไรจะเกิดขึ้น ? 

อาณาจักร ซิตี้ ฟุตบอล กรุ๊ป จะเดินหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง เพราะตอนนี้พวกเขาแทบจะจบกระบวนการปลูกสร้างและหว่านเมล็ดไปเรียบร้อย และเริ่มเข้าสู่กระบวนการเก็บเกี่ยวอย่างเดียวแล้ว ซึ่งถ้าพวกเขาไม่โดนลงโทษ หรืออาจจะโดนลงโทษสถานเบา มันคงเป็นเรื่องยากเข้าไปอีกสำหรับทีมที่พยายามจะไล่ตามและเขี่ยพวกเขาลงจากบัลลังก์ได้ 

 

แหล่งอ้างอิง 

https://www.theguardian.com/football/2020/jan/22/manchester-city-financial-fair-play-breaches-2012-13-accounting-sponsorships-uefa-champions-league
https://www.transfermarkt.com/pep-guardiola/spielertransfers/trainer/5672/station_id/128184/plus/1
https://www.pptvhd36.com/sport/news/188702
https://www.pptvhd36.com/sport/news/210389
https://thestandard.co/pound-fall/
https://www.sportspromedia.com/news/city-football-group-financial-report-manchester-city-2023/
https://www.theeconomyjournal.eu/texto-diario/mostrar/1644023/city-football-group-the-business-model-that-is-taking-over-football
https://metro.co.uk/2023/05/18/how-much-has-pep-guardiola-spent-at-man-city-since-becoming-manager-18805307/
https://www.reddit.com/r/PremierLeague/comments/1cfez6z/are_man_city_cheats/
https://www.reddit.com/r/PremierLeague/comments/1bxka03/why_are_man_city_hated/
https://www.reddit.com/r/PremierLeague/comments/1bluhhh/man_city_turn_115_ffp_charges_into_a_premier/

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Photo

วัชพงษ์ ดวงแปง

Main Stand's Backroom staff

Graphic

อภิสิทธิ์ โชติพิบูลย์ทรัพย์

Art Director ผู้รับเหมางานภาพกราฟิกหน้าปกบทความทุกชิ้น