อย่างที่ทราบกันดี ในวันอาทิตย์ที่ 19 พฤษภาคม 2024 เยอร์เก้น คล็อปป์ จะทำหน้าที่ผู้จัดการทีม ลิเวอร์พูล เป็นเกมสุดท้าย ในการเปิดสนาม แอนฟิลด์ ต้อนรับการมาเยือน วูลฟ์แฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส กับเกมนัดปิดฤดูกาล 2023-24 ของศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ
ตลอดระยะเวลาการคุมทีม 9 ฤดูกาลของ คล็อปป์ เขาถูกยกย่องให้เป็น หนึ่งในนายใหญ่ที่ “ดีที่สุด” ตั้งแต่ ลิเวอร์พูล เคยมีมา หลังเข้ามาพลิกสถานการณ์ผลงานของทีม ทำให้ทัพหงส์แดงกลับมาเป็นสโมสรที่ยิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง
Main Stand ได้นำเหตุการณ์ในแต่ละฤดูกาล ที่อยู่ในความทรงจำของแฟนบอล “เดอะ ค็อป” มาให้ทุกคนได้รับชมกัน ติดตามไปพร้อมกันได้ที่นี่
[2015-16 : เข้าชิงฟุตบอลถ้วยตั้งแต่ปีแรกที่คุมทีม]
เยอร์เก้น คล็อปป์ เข้ามารับงานคุมทีม ลิเวอร์พูล ในช่วงกลางฤดูกาล 2015-16 ต่อจาก เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ที่ทำผลงานได้อย่างน่าผิดหวัง จนถูกตะเพิดออกไปจากถิ่น แอนฟิลด์
สภาพทีมของ ลิเวอร์พูล ในช่วงเวลาดังกล่าวถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่ค่อยสู้ดีมากนัก แต่ คล็อปป์ ก็ยังสามารถพาทัพ “หงส์แดง” ทะลุเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศ ยูโรป้า ลีก ฤดูกาลดังกล่าวได้สำเร็จ
แม้ว่าในนัดชิงชนะเลิศปีดังกล่าว ลิเวอร์พูล จะจบลงด้วยการเป็นแค่ “พระรอง” เท่านั้น แต่ทาง เยอร์เก้น คล็อปป์ ได้รับการชื่นชมเป็นอย่างมาก ถึงการพาทีมเข้ามาได้ถึงรอบชิงชนะเลิศ
[2016-17 : ปลูกฝังสไตล์การเล่น “เฮฟวี่ เมทัล”]
ก้าวเข้าสู่ปีที่สองในการคุมทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ผลงานของ ลิเวอร์พูล พัฒนามากขึ้นจากในยุคก่อน และเขาได้ปลูกฝังแนวทางการเล่นสไตล์ “เฮฟวี่ เมทัล” เข้าไปให้กับลูกทีม อาทิ “เกเก้นเพรสซิ่ง” เข้ากดดันคู่ต่อสู้อย่างไม่พักตั้งแต่แดนหน้า และทำงานอย่างหนักตลอด 90 นาที
ซึ่งการเล่นในแนวทางนี้ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ ลิเวอร์พูล กลายเป็นทีมที่มีแนวรุกทำประตูได้มากถึงแตะหลัก 90 ประตู รวมทุกรายการที่ลงทำการแข่งขัน
[2017-18 : ปลุกปั้น ซาลาห์, ฟีร์มิโน่, มาเน่ สู่ยอดสามประสาน]
ก่อนเปิดฤดูกาล 2017-18 ลิเวอร์พูล ตัดสินใจทุ่มงบประมาณราว 42 ล้านยูโร กระชากตัว โมฮาเหม็ด ซาลาห์ มาจาก อาแอส โรม่า ทีมดังในประเทศอิตาลี ซึ่งการคว้าตัว “บังโม” เข้ามาร่วมทีม เปรียบเสมือนจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายที่เข้ามาเติมเต็มให้กับผู้เล่นในแนวรุกของทัพ “หงส์แดง”
เยอร์เก้น คล็อปป์ เลือกหยิบใช้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ลงเล่นในแนวรุกพร้อมกับ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ และ ซาดิโอ มาเน่ ซึ่งทั้งสามคนตั้งเล่นกันได้อย่างเข้าขารู้ใจกัน จนถูกยกย่องให้เป็นสามประสานที่ดีที่สุดตั้งแต่ลิเวอร์พูลเคยมีมา
โดยในฤดูกาล 2017-18 โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ และ ซาดิโอ มาเน่ ต่างช่วยกัน ถลุงประตูรวมกันไปมากถึง 57 ประตู ซึ่งนับเป็น 67 เปอร์เซ็นต์ในการทำประตูของ ลิเวอร์พูล ในฤดูกาลดังกล่าว
[2018-19 : แชมป์แรกในการคุมทีมลิเวอร์พูล]
ผลงานของ ลิเวอร์พูล ยกระดับขึ้นมายอดเยี่ยมในทุก ๆ ปี และท้ายที่สุด โทรฟี่ใบแรกของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ในฐานะการคุมทีม ลิเวอร์พูล ก็ได้เกิดขึ้น นั่นคือแชมป์ฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
โดยหนึ่งในนัดที่เหล่าสาวก “เดอะ ค็อป” ต่างยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำ คงหนีไม่พ้น เกมในรอบรองชนะเลิศ ที่พวกเขาต้องโคจรมาพบกับ “เจ้าบุญทุ่ม” บาร์เซโลน่า ยอดทีมดังแห่งประเทศสเปน
ในนัดแรก เป็นทางด้าน บาร์เซโลน่า ที่เปิดบ้านไล่ยำใหญ่ใส่ ลิเวอร์พูล ไปอย่างง่ายดาย ด้วยสกอร์ 3-0 จนทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ต่างมองว่า โอกาสที่ “หงส์แดง” จะผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศนั้นค่อนข้างริบหรี่
แต่ เยอร์เก้น คล็อปป์ และลูกทีม ได้สร้างปาฏิหาริย์ที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้นได้ในนัดเกมสอง ด้วยการพา ลิเวอร์พูล เปิดบ้สยพลิกกลับมาเอาชนะ บาร์เซโลน่า ไปได้อย่างสุดมันส์ ด้วยสกอร์ 4-0 (สกอร์รวม 4-3) ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ และเอาชนะ ท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ คว้าถ้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ไปได้ในท้ายที่สุด
นี่คือการได้ถ้วยใบใหญ่ของยุโรปครั้งแรกในรอบ 14 ปีของสโมสร และเป็นการคว้าแชมป์รายการนี้ 6 สมัย กลายเป็นสโมสรในประเทศอังกฤษ ที่ได้ถ้วยแชมเปี้ยนส์ลีกมากที่สุด
[2019-20 : แชมป์ลีก 30 ปีที่รอคอย]
ก้าวเข้าสู่ปีที่ 5 ของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ในการคุมทีม ลิเวอร์พูล นักเตะภายในทีมต่างเข้าขารู้ใจกันทุกตำแหน่ง และเข้าใจในแนวทางการเล่นของ คล็อปป์ เป็นอย่างดี จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผลงานของทีมจะอยู่มาตรฐานฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยม
ในฤดูกาล 2019-20 ต้องยอมรับเลยว่าผลงานของ ลิเวอร์พูล อยู่ในมาตรฐานที่ยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก ถึงขั้นทำสถิติไม่แพ้ใครติดต่อกันยาวนานถึง 27 นัด และชนะต่อเนื่องถึง 18 นัด
ส่งผลให้ ลิเวอร์พูล เข้าป้ายด้วยการจบในอันดับที่ 1 ของตาราง พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2019-20 กลับมาคว้าแชมป์ลีกได้อีกครั้งในรอบ 30 ปี และเพิ่มทำเนียบแชมป์ลีกสูงสุดเป็น 19 สมัย ไล่จี้ทัพ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เหลือเพียงสมัยเดียวเท่านั้น
[2020-21 : พลิกฟอร์มแย่ สู่การติดท็อป 4]
ฟอร์มการเล่นในฤดูกาล 2020-21 ของ ลิเวอร์พูล ตกลงไปจากเดิมพอมากสมควร ถึงขั้นมีช่วงเวลาหนึ่งทัพหงส์แดง ตกลงไปอยู่ถึงอันดับที่ 8 ของตาราง
สาเหตุปัจจัยหลักที่ทำให้ฟอร์มการเล่นของ ลิเวอร์พูล เปลี่ยนไปจากที่ผ่านมา เกิดจากขุมกำลังนักเตะภายในทีมที่ต่างพากันทยอยได้รับอาการบาดเจ็บกันอย่างไม่ซ้ำหน้า โดยเฉพาะ นักเตะในตำแหน่งเซนเตอร์แบ็กของทีม
แต่ท้ายที่สุด ต้องยอมรับฝีมือและหัวใจในความเป็นนักสู้ของกุนซือชาวเยอรมัน ที่แม้ว่าจะต้องเจอกับอุปสรรคตลอดทั้งฤดูกาล แต่เขาก็ยังพาทีมฝ่าวิกฤติดังกล่าวไปได้ โดยผลงานในช่วง ปลายฤดูกาลของ ลิเวอร์พูล กลับมาอยู่ในมาตรฐานที่ยอดเยี่ยมอีกครั้ง ไม่แพ้ติดต่อกันยาวนานถึง 10 นัด และเก็บชัยชนะไปได้ถึง 8 จาก 10 นัดดังกล่าว
ส่งผลให้พวกเขาทำคะแนนแซงทั้ง เชลซี และ เลสเตอร์ ซิตี้ จบในอันดับที่ 3 ของตาราง คว้าตั๋วไปลุยฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้อย่างไม่น่าเชื่อ
[2021-22 : ลุ้นแชมป์ทุกรายการที่ลงทำการแข่งขัน]
ฤดูกาล 2020-21 เปรียบเสมือนบทเรียนครั้งสำคัญให้กับทาง เยอร์เก้น คล็อปป์ ได้กลับไปคิดทบทวนถึงสภาพทีมในฤดูกาลที่ผ่านมา
เห็นได้ชัดเลยว่าหนึ่งปัจจัยที่ทางกุนซือรายนี้ เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมนั่นคือรูปแบบสไตล์การเล่นของทีม จากเดิมที่นักเตะจะวิ่งไล่บดคู่แข่งตลอดทั้งเกม ซึ่งส่วนหนึ่งที่ทำให้นักเตะภายในทีมต่างพากันได้รับบาดเจ็บในฤดูกาลที่ผ่านมา สู่การผ่อนหนักและเบาคอยสลับเป็นช่วง ๆ ตลอด 90 นาที
ด้วยสภาพทีม ที่องค์ประกอบลงตัวส่งผลให้ ลิเวอร์พูล กลับมาอยู่ในมาตรฐานฟอร์มการเล่นที่ร้อนแรงอีกครั้ง จนมีลุ้นแชมป์ถึง 4 รายการติดต่อกัน ประกอบไปด้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, พรีเมียร์ลีก, เอฟเอ คัพ และ คาราบาว คัพ
แม้ว่าในท้ายที่สุดแล้ว ลิเวอร์พูล จะเข้าป้ายด้วยการเป็นแชมป์เพียง 2 รายการเท่านั้น คือ เอฟเอ คัพ และ คาราบาว คัพ แต่อย่างไรก็ตาม เยอร์เก้น คล็อปป์ และลูกทีม ต่างได้รับคำชมเป็นอย่างมากในฤดูกาลดังกล่าว ถึงขั้นถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในสโมสร ที่มีผลงานฟอร์มการเล่นเป็นอันดับต้น ๆ ของยุโรปในช่วงเวลานั้น
[2022-23 : 7-0]
ฤดูกาล 2022-23 เป็นอีกหนึ่งฤดูกาลที่ทาง ลิเวอร์พูล มีผลงานฟอร์มการเล่นที่ตกลงไปจากเดิมพอสมควร ด้วยเหตุผลที่นักเตะตัวหลักภายในทีมเริ่มอายุเข้าวัยแตะหลัก 30 ปี จึงส่งผลให้นักเตะบางคนภายในทีมมีมาตรฐานที่ตกลงไปจากเดิม และเป็นที่มาให้ผลงานของ ทัพ “หงส์แดง” ในช่วงเวลาหนึ่งตกลงไปอยู่ถึงอันดับ 7 ของตาราง
เมื่อเทียบกับผลงานของคู่แค้นอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พวกเขามีมาตรฐาน ฟอร์มการเล่นที่ดีขึ้นจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด และเมื่อถึงในวันที่ทั้งคู่ต้องโคจรมาเจอกันใน “ศึกแดงเดือด” ผู้คนส่วนใหญ่ต่างมองว่าทางด้าน “ปีศาจแดง” ค่อนข้างมีภาษีที่ดีกว่าในการชนะทาง “หงส์แดง”
ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น แต่มันเกิดขึ้นแล้ว เมื่อลูกทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ ไล่ถล่มแหลกใส่คู่ปรับตลอดกาลไปอย่างขาดลอย 7-0 กลายเป็นชัยชนะใน “ศึกแดงเดือด” ที่ขาดลอยมากที่สุด ตั้งแต่แข่งขันกันมา 128 ปี
[2023-24 : ถึงวันอำลา “เดอะ นอร์มอล วัน”]
ฤดูกาล 2023-24 แฟนบอล ลิเวอร์พูล รวมไปถึงแฟนบอลทั่วโลก ไม่คาดคิดว่า เยอร์เก้น คล็อปป์ จะตัดสินใจประกาศอำลาสโมสรแบบช็อกโลก
แม้น่าตกใจ แต่เมื่อฟังเหตุผลจากปากกุนซือสมญานาม “เดอะ นอร์มอล วัน” ก็เข้าใจได้ เพราะ คล็อปป์ เผยเองว่า เหนื่อยล้ากับการคุมทีมอย่างต่อเนื่อง และคงถึงเวลาต้องพัก ก่อนพิจารณาโอกาสในกาลต่อไป
เยอร์เก้น คล็อปป์ ได้รับการยกย่องจากเหล่าแฟนบอล “เดอะค็อป” ให้เป็นหนึ่งในกุนซือที่มีผลงาน ดีที่สุดสโมสรตั้งแต่เคยมีมา โดยตลอดระยะเวลา 9 ปี เยอร์เก้น คล็อปป์ คว้าแชมป์ให้ ลิเวอร์พูล ได้ ทั้งหมด 8 รายการ
โดยแบ่งเป็น แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 1 สมัย, แชมป์ ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ 1 สมัย, แชมป์ พรีเมียร์ลีก 1 สมัย, แชมป์ เอฟเอคัพ 1 สมัย, แชมป์ คาราบาวคัพ 2 สมัย, แชมป์ คอมมูนิตี้ ชิลด์ 1 สมัย และแชมป์ ฟีฟ่า คลับ เวิลด์คัพ 1 สมัย