ครั้งหนึ่งสโมสรที่อยู่ในระดับกลางตารางพรีเมียร์ลีก อย่าง ฟูแล่ม เคยสร้างผลงานหักปากกาเซียน จนมีดีกรีรองแชมป์ยูโรป้าลีก ด้วยขุมกำลังผู้เล่นทั่ว ๆ ไป
ทีมที่ดูจะเป็นแค่ตัวประกอบของบอลยุโรป กลับได้เข้าชิงชนะเลิศด้วยการคว่ำทีมยักษ์ใหญ่และมีชื่อชั้นในเวลานั้น
ย้อนกลับไปดูเรื่องราวมนต์เสน่ห์ของทีมที่ขึ้นชื่อว่าเป็น "ม้ามืด" ได้กับพวกเรา Main Stand
ลุยยุโรปหลังฝ่านรก
ย้อนไปในปี 1997 โมฮัมเหม็ด อัล ฟาเยด มหาเศรษฐีชาวอียิปต์ เข้ามาเทคโอเวอร์สโมสรฟุตบอลฟูแล่ม ทีมในระดับ ดิวิชั่น 2 ด้วยมูลค่าเพียง 6 ล้านปอนด์ หรือราว ๆ 275 ล้านบาท และเข้ามาพัฒนาทีมจนพาทัพเจ้าสัวน้อย ขึ้นสู่ลีกสูงสุดของประเทศ พร้อมกับซื้อนักเตะมามากมาย หนึ่งในนั้นคือดีลสุดเซอร์ไพรซ์ ที่ เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ ผู้รักษาประตูดีกรีแชมป์ยุโรปชาวดัตช์ ย้ายจาก ยูเวนตุส มาร่วมทีมระหว่างปี 2001-2005
ข้ามมาถึงฤดูกาล 2007-08 รอย ฮอดจ์สัน ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจาก โมฮัมเหม็ด อัล ฟาเยด ให้รับหน้าที่เป็นผู้จัดการทีมพา ฟูแล่ม หนีอันตรายจากโซนตกชั้นแทนที่ของ ลอรี่ ซานเชซ อดีตกุนซือที่พาทัพเจ้าสัวน้อยลงมาสู่ห้วงลึกของตาราง ซึ่งโชคดีที่ชัยชนะสามเกมสุดท้ายในลีก มีส่วนช่วยให้ ปู่รอย พาทีมรอดจากเหวตกชั้นขึ้นมาที่อันดับ 17 ได้อย่างหวุดหวิด
ก่อนเปิดฤดูกาล 2008-09 ตลอดจนถึงระหว่างซีซั่น เจ้าของทีมอย่าง อัล ฟาเยด ลงเงินให้สโมสรได้ซื้อนักเตะหลายคน โดยหวังให้สโมสรไม่ต้องตกที่นั่งลำบากเหมือนฤดูกาลก่อน อาทิ มาร์ค ชวาร์เซอร์ นายทวารทีมชาติออสเตรเลียจาก มิดเดิ้ลส์โบรช์, โซลตัน เกร่า จอมทัพทีมชาติฮังการีจาก เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน, บ็อบบี้ ซาโมร่า ศูนย์หน้าชาวอังกฤษจาก เวสต์แฮม ยูไนเต็ด, เบรเด้ ฮันเกลันด์ กองหลังทีมชาตินอร์เวย์ จาก เอฟซี โคเปนเฮเก้น รวมถึงกองหลังดาวรุ่งอนาคตทีมชาติอังกฤษอย่าง คริส สมอลลิ่ง ที่ไปค้นเพชรในตมเจอจากทีมนอกลีกอย่าง เมดสโตน ยูไนเต็ด
ฟูแล่ม ในฤดูกาล 2008-09 ภายใต้การคุมทัพของ รอย ฮอดจ์สัน ทำผลงานได้ยอดเยี่ยม มีชัยเหนือทีมยักษ์ใหญ่หลากหลายทีมในอังกฤษ เช่น ลิเวอร์พูล, ท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์, นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด หรือแม้กระทั่งแชมป์ประจำฤดูกาลนั้นอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ก็โดน ทัพเจ้าสัวน้อยทำแสบไว้เช่นเดียวกัน จนยึดอันดับ 7 ของตาราง พาเจ้าสัวน้อยสร้างสถิติจบอันดับสูงสุดในประวัติการณ์ของสโมสร พร้อมกับคว้าตั๋วลุยศึกยูโรปาลีก รอบคัดเลือกรอบ 3
สถิติของ ฟูแล่ม น่าสนใจพอสมควร โดยถ้าไม่นับท็อปสามของตารางในเวลานั้นอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, ลิเวอร์พูล และเชลซี ฟูแล่ม คือทีมที่เสียประตูน้อยที่สุดด้วยจำนวน 34 ประตู
ด้วยขุมกำลังและผลงาน พวกเขาค่อนข้างพร้อมกับฟุตบอลยุโรปที่จะใกล้จะมาถึง
หวุดหวิดรอบแบ่งกลุ่ม
ด้วยการที่ต้องเล่นรอบคัดเลือกยูโรป้าลีก ฤดูกาล 2009-10 ของ ฟูแล่ม จึงเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 30 กรกฎาคม 2009 ในรอบคัดเลือกรอบ 3 ซึ่งทัพเจ้าสัวน้อย ต้องบินไปที่ ลิทัวเนีย เพื่อดวลกับ เอฟเค เวทรา ก่อนพรีเมียร์ลีกฤดูกาลดังกล่าวจะเริ่มต้นขึ้นเพียง 15 วัน
3-0 คือสกอร์ที่เจ้าสัวน้อยถล่มคู่แข่งแบบขาดลอย ก่อนเกมเหย้าที่ คราเวน คอทเทจ จะจบไปด้วยสกอร์เดิม ทำให้ ฟูแล่ม ผ่านเข้ารอบด้วยสกอร์รวม 6-0
รอบเพลย์ออฟ หรือรอบคัดเลือกรอบสุดท้าย ก็ไม่ใช่เรื่องยากของ ฟูแล่ม พวกเขาต้อนรับทีมจากรัสเซียอย่าง อัมคาร์ เพิร์ม และผ่านเข้าสู่รอบถัดไปด้วยสกอร์รวมสองนัด 3-2 (ชนะ 3-1 ในบ้าน และ แพ้ 0-1 เกมเยือน)
4 เกมที่ผ่านมาในบอลยุโรปถือว่าไม่ใช่งานยากของ ฟูแล่ม เท่าไหร่เพราะชื่อชั้นของทั้งสองทีมที่พวกเขาเจอ ยังถือเป็นทีมระดับ "สมันน้อย" แต่ในรอบแบ่งกลุ่ม แตกต่างออกไป เพราะพวกเขาต้องเจอกับ โรม่า ทีมชั้นนำจาก อิตาลี ที่อยู่ร่วมขบวนกรุ๊ป E กับพวกเขา รวมถึง บาเซิ่ล จากสวิตเซอร์แลนด์ และ ซีเอสเคเอ โซเฟีย จากบัลแกเรีย
17 กันยายน 2009 ฟูแล่ม บุกไปเยือน ซีเอสเคเอ โซเฟีย ของบัลแกเรีย ในนัดแรกของรอบแบ่งกลุ่ม ซึ่ง รอย ฮอดจ์สัน เป็นคนที่ให้ความสำคัญกับทีมที่เขาจะต้องไปเยือนอยู่ในทุกแง่มุม แม้จะเป็นทีมไม่ได้โด่งดังแต่เขาก็อยากทำความรู้จักให้ได้มากที่สุด
"ฉันมีรูปพวกเรานั่งอยู่ในเรือ และฉันให้เขาดูรูปโบสถ์ที่ฉันเคยไปใน โซเฟีย ให้เขาดู รอย สนใจมาก ซึ่งน่าเหลือเชื่อที่เขามีความรู้เรื่องแบบนี้เช่นกัน (ประวัติศาสตร์) เขาจะรู้เรื่องสโมสรหรือสถานที่และประวัติศาสตร์หลังสงคราม" ซาราห์ บรูคส์ หัวหน้าฝ่ายสื่อสารประจำสโมสร ฟูแล่ม เผย
เกมแรกที่ บัลแกเรีย จบ 1-1 ผลลัพธ์ไม่ได้ดีที่สุดแต่ก็ไม่ได้น่ากังวลเท่าไหร่นัก เพราะยังเหลืออีก 5 เกมให้ไปต่อ
1 ตุลาคม 2009 ฟูแล่ม ได้กลับมาเล่นที่ คราเวน คอทเทจ และมีชัยเหนือ บาเซิ่ล 1-0 คว้าสามแต้มแรกของการแข่งกันรอบแบ่งกลุ่ม จากลูกยิงของ แดนนี่ เมอร์ฟี่ กัปตันทีม
เกมถัดมา ฟูแล่ม เสมอ กับ โรม่า ในบ้าน 1-1 จากนั้นก็ต้องพบกับ โรม่า ติด ๆ กัน ซึ่งเกมเยือนของพวกเขา ไม่ดีสักเท่าไหร่ แพ้ต่อ ทัพหมาป่าแห่งกรุงโรม 2-1 ทำให้เส้นทางในการเข้ารอบของพวกเขาเริ่มยากขึ้นเรื่อย ๆ จากการลงเล่นรอบแบ่งกลุ่มไป 4 นัด มี 5 คะแนน
"ผมคิดว่าเราโชคไม่ดีกับกรรมการ (เควิน บลอม) ในวันนั้น ผมคิดว่าผลงานของทีมดีกว่าสกอร์ที่โชว์ออกมามาก ฟูแล่มขึ้นนำ 1-0 ก่อนที่ เอริค เนฟแลนด์ (แข้งฟูแล่ม) จะโดนใบแดงในช่วงครึ่งหลัง แล้วแพ้ 2-1" รอย ฮอดจ์สัน กล่าวหลังเกมที่แพ้ โรม่า ซึ่งเกมดังกล่าว พอล คอนเชสกี้ โดนไล่ออกไปอีกคน ทำให้ทัพเจ้าสัวน้อยจบแมตช์ด้วยนักเตะเพียง 9 คนในสนาม
สองเกมที่เหลือพวกเขาควรจะเก็บสามแต้มทั้งหมดเพื่อการันตีเข้ารอบต่อไป
เกมถัดมา ฟูแล่ม เปิดบ้านเฉือน ซีเอสเคเอ โซเฟีย 1-0 และทำให้เกมสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่ม กลายเป็นเกมที่จะวัดว่าใครจะอยู่หรือจะไป เมื่อทัพเจ้าสัวน้อยต้องบุกไปเยือน บาเซิ่ล ที่หวังถึงชัยชนะเพื่อเข้าเป็นอันดับสองของกลุ่มเช่นเดียวกัน (อันดับ 1 แทบจะเป็นโรม่าแน่นอนแล้ว)
17 ธันวาคม 2009 เกมนัดสำคัญระหว่าง บาเซิ่ล และ ฟูแล่ม ที่สนาม เซนต์ ยาค็อบ-ปาร์ค มาร์ค ชวาร์เซอร์ นายทวารตัวเก่งของทีมได้เล่าย้อนถึงวันนั้นไว้ว่า
"ก่อนเกม ผมพูดว่า 'ฟังนะ เราต้องคว้าช่วงเวลานี้ไว้ และมีโอกาสที่จะผ่านไปยังด่านต่อไป ฉันเคยเข้าชิงชนะเลิศ (กับมิดเดิ้ลสโบรช์ในยูฟ่าคัพในปี 2006) และฉันก็แพ้ไปแล้ว แต่ฉันจะพยายามทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อไปที่นั่นอีกครั้ง ฉันอยากจะไปที่นั่นและทำให้ถูกต้องในครั้งนี้ และมันจะเริ่มขึ้นในวันนี้'"
"รอย อยู่ตรงนั้นกับผม และผมจำได้ว่าผมมองดู รอย ทันทีหลังจากที่พูดไป ศีรษะของเขาโค้งลงและเริ่มสั่นศีรษะเล็กน้อย พร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา"
ในคืนที่หนาวเหน็บในสวิตเซอร์แลนด์ ทั้งสองทีมลงดวลแข้งกันอย่างมันส์หยด และสองประตูของ บ็อบบี้ ซาโมร่า คือความแตกต่างที่เกิดขึ้น
ฟูแล่ม ชนะ บาเซิ่ล อย่างสุดมันส์ ด้วยสกอร์ 3-2 จากการเหมาสองลูกของ บ็อบบี้ ซาโมร่า และประตูของ โซลตัน เกร่า ปิดท้าย ส่งผลงให้พวกเขาเข้ารอบในฐานะอันดับสองกลุ่ม E
"ผมรู้สึกอยู่เสมอว่าคำวิจารณ์บางอย่างต่อ บ็อบบี้ ในฤดูกาลแรกนั้นไม่ยุติธรรม(ฤดูกาล 2008-09 ลงเล่น 35 นัด ทำ 2 ประตู) เขาอาจจะยิงประตูได้ไม่มากเท่าที่ผู้คนคาดหวัง แต่การมีส่วนร่วมโดยรวม การเชื่อมบอลของเขา และรูปแบบการโจมตีของเราที่ส่งผ่านเขานั้นมีความสำคัญ เขาแข็งแกร่งเหมือนกับวัวเลยแหละ" อารอน ฮิวจ์ส แนวรับ ฟูแล่ม ชม บ็อบบี้ ซาโมร่า ผู้ทำประตูในเกม บาเซิ่ล
"เกมนั้นเป็นครั้งแรกที่ผมคิดว่า 'เราอาจจะมีโอกาสเข้ารอบที่นี่' พวกเขามีสถิติที่ยอดเยี่ยมในบ้าน และเราชนะ 3-2 ในคืนที่โคตรหนาวเลย" แดนนี่ เมอร์ฟี่ กัปตันทีม ฟูแล่ม เล่าเอาไว้
ดวลกับแชมป์เก่า
รอบ 32 ทีมสุดท้าย ฟูแล่ม จับสลากพบ ชัคตาร์ โดเนตสก์ แชมป์เก่า โดยก่อนเกมแรกที่จะดวลกันที่บ้าน ฟูแล่ม มีข่าวสุดแปลกประหลาดเกิดขึ้น เมื่อทางห้าง แฮร์รอดส์ ที่มีประธานสโมสรอย่าง โมฮัมเหม็ด อัล ฟาเยด เป็นเจ้าของ ดันไม่ให้ ทีมของ ชัคตาร์ เข้าไปเดินเที่ยวในห้างเสียอย่างงั้น โดยอ้างว่ามันเกี่ยวข้องกับเรื่องของ "ความปลอดภัย"
แหม่ เจ้าของทีมก็ทำลงไปได้
"โมฮาเหม็ด อัล ฟาเยด และ แฮร์รอดส์ ไม่ปฏิเสธใครก็ตามที่พวกเขาคิดว่าจะมาเสียเงินที่นี่หรอก แต่คงจะเป็นเรื่องว่า พวกเขารู้สึกว่าผู้ชายกลุ่มใหญ่ที่เดินไปมาในห้าง แฮร์รอดส์ จะมีปัญหากับลูกค้าคนอื่น ๆ" ซาราห์ บรูคส์ หัวหน้าฝ่ายสื่อสารประจำสโมสรเผย
การเจอกับแชมป์เก่า ไม่ใช่เรื่องง่าย และดูจะมีสไตล์ฟุตบอลที่แตกต่างเอาเรื่อง ส่งผลให้ รอย ฮอดจ์สัน ต้องประชุมทีมแบบเป็นจริงเป็นจัง และศึกษายุทธวิธีของอีกฝ่ายเพื่อรับมือ
"ในการประชุมทีม ประโยคแรกของ รอย เป็นอะไรบางอย่างที่เหมือนกับว่า 'เอาล่ะ หนุ่ม ๆ ฟังนะ ฉันกำลังบอกคุณตอนนี้ว่าคุณต้องเตรียมพร้อมที่จะถูกทำให้ดูโง่ในระหว่างเกมนี้ในบางครั้ง' ผมกำลังคิดว่า อะไรวะเนี่ย ? นี่เหมือนกับว่าเรากำลังจะได้เล่นกับ บาร์เซโลน่า และ เมสซี่ จากนั้นเขาก็เปิดคลิปให้เราเห็น และเราก็พูดว่า 'พระเจ้า มันดูดี' " ไซม่อน เดวี่ส์ แข้งฟูแล่ม พูดถึงการศึกษาเกมของ ชัคตาร์ ที่ รอย ฮอดจ์สัน ให้ลูกทีมดู
19 กุมภาพันธ์ 2010 ฟูแล่ม ต้องเจอฟุตบอลขนานใหม่ที่ไม่คุ้นเคยนัก การให้บอลจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง และจังหวะที่รวดเร็ว ของ ชัคตาร์ โดเนตสก์ ท่ามกลางแฟนบอลในสนาม คราเวน คอทเทจ ทำให้แข้งของ ฟูแล่ม ต้องทึ่งในการเล่นของอีกฝ่าย
"20 นาทีแรก ที่ คราเวน คอทเทจ น่าทึ่งมาก พวกเขาเหลือเชื่อมาก การครอบครอง การเคลื่อนไหว ความเข้าใจ ทักษะ พวกเขา (ชัคตาร์) อยู่ในอีกระดับหนึ่ง ผมไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้เลย" มาร์ค ชวาร์เซอร์ ว่าเอาไว้
อย่างไรก็ดี โซลตัน เกร่า ของ ฟูแล่ม ก็เป็นคนประเดิมประตูแรกให้ทีมอย่างรวดเร็วในนาทีที่ 3 ก่อนที่พวกเขาจะถูก ชัคตาร์ โดเนตสก์ ตีเสมอ และแทบจะไม่ได้ครองบอลในครึ่งแรกอีกเลย
"มันเป็นหนึ่งในเกมเหล่านั้นที่คุณคิดว่า 'ดี' ประตูช่วงต้นเกม มันจะพาเราเข้าสู่เกม' แล้วเราก็แทบจะไม่ได้สัมผัสบอลเลยในช่วงที่เหลือของครึ่งแรก ฉันจำได้ว่าเข้ามาในช่วงพักครึ่งแรก และทุกคนก็มองหน้ากันว่า 'เราเพิ่งเจออะไรมาเนี่ย ?' มันเหมือนกับการเล่นกับบาร์เซโลนา" อารอน ฮิวส์ แนวรับของฟูแล่มเล่าไว้แบบนั้น
และในช่วงครึ่งหลัง คนที่เปลี่ยนเกมในสนามก็เป็นกองหน้า คนเดิมอย่าง บ็อบบี้ ซาโมร่า ที่ทำประตูสุดสวยใส่แชมป์เก่า 2-1 จากการโฉบไปรับบอลที่ โซลตัน เกร่า จ่ายมาให้และซัดลูกบอลเช็คคาน เข้าไป ซึ่งก็ต้องให้เครดิตทุกคนที่เล่นเกมรับกันแบบใจเย็น
"ความหายนะของพวกเขาคือแนวรับ โชคดีสำหรับผม พวกเขามีนักเตะอเมริกาใต้ทั้งหมดในตำแหน่งกองกลางหรือแนวรุก แต่แบ็คโฟร์มาจากรัสเซียหรือยูเครน และผู้รักษาประตูก็เช่นกัน คุณภาพของแนวรับเลยดรอปลงไป ผมสามารถใช้โอกาสของผมได้ การโจมตีอันยอดเยี่ยมที่พุ่งเข้าใต้คาน ผมไม่คิดว่าจะมีใครคิดว่าผมจะยิงเข้า" บ็อบบี้ ซาโมรา กล่าว
เกมถัดไป ฟูแล่ม บุกไป เสมอ ชัคตาร์ โดเนตสก์ ด้วยสกอร์ 1-1 โดย ชัคตาร์ รุกใส่อย่างเต็มขบวน แต่ฟูแล่มก็เล่นรับกันเต็มสูบเช่นกัน และกลายเป็นผู้เข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย จากผลรวม 3-2
"บางครั้งคุณต้องคิดว่าอะไรอยู่ในหัวของทีมอื่น ผมคิดว่าพวกเขาหงุดหงิดเพราะพวกเขาได้บอล พวกเขามีตำแหน่งในการยืน แต่พวกเขาไม่สามารถเล่นผ่านพวกเราได้" โซลตัน เกร่า กล่าวรายละเอียดในเกม
คว่ำ ยูเวนตุส
รอบ 16 ทีมสุดท้าย ทัพเจ้าสัวน้อยพบกับหนึ่งในยอดทีมจาก อิตาลี อย่าง ยูเวนตุส ซึ่งทัพ ม้าลาย ในตอนนั้นก็มีดีกรีเป็นถึงรองแชมป์ กัลโช เซเรีย อา ปีก่อนหน้า โดยมีขุมกำลังอย่าง ฟาบิโอ คันนาวาโร่, ฮาซาน ซาลิฮามิดซิซ, ดาวิด เทรเซเก้ต์ หรือแม้แต่ อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่
ซึ่งการไปเยือนเกมแรกก็ไม่ผิดคาด เมื่อทีมชื่อชั้นรองกว่า ของ รอย ฮอดจ์สัน พ่ายแพ้ที่เมืองตูริน 1-3 ส่งผลให้กุนซือของทัพ ฟูแล่ม ทิ้งประโยคไว้หลังเกมว่า
"ใคร ๆ ก็พูดว่าสิ่งที่เราทำนั้นอยู่เกินความฝันของพวกเราไปแล้ว แต่ผมคิดว่าพวกคุณต้องเป็นนักฝันตั้งแต่แรกถึงจะข้ามความฝันได้ แต่ผมไม่เคยเป็นคนช่างฝัน และถ้าเป็นเช่นนั้น ผมก็จะไม่ยอมรับมัน" รอย ฮอดจ์สัน กล่าว
อย่างที่ ปู่รอย ว่าไว้นั้นแหละ ให้ทีมกลับมาอาบพลังแห่งธารน้ำเทมส์ แล้วลุกมาสู้ต่อที่บ้านให้มันรู้แล้วรู้รอดไปจะดีกว่า
ณ ขณะนั้น แข้งในทีม ฟูแล่ม บางส่วนมองว่าการเข้ารอบต่อไปเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก แต่กระนั้นทุกคนก็พร้อมที่จะดวลกับยอดทีมแห่งตูรินในชนิดที่ภาษากะเทยเขาให้กำลังใจกันว่า "สู้เขาสิวะ อีหญิง"
19 มีนาคม 2010 ฟูแล่ม ก็ทำได้จริง ๆ ด้วยการยิงถล่มผู้มาเยือนอย่าง ยูเวนตุส 4-1 จากลูกยิงของ โซลตัน เกร่า ที่เหมาคนเดียวสองประตู ร่วมกับ บ็อบบี้ ซาโมร่า และ คลิ้นท์ เดมป์ซี่ย์ คนละ 1 ตุง พาทีมม้ามืดอย่าง ฟูแล่ม ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย ชนิดที่ใครก็ไม่อยากเชื่อ
"คุณคงรู้สึกได้ว่า 'เราจะเอาชนะพวกเขา' เราอยู่ร่วมกันกับแฟน ๆ ทุกคนรู้สึกว่ามีบางสิ่งที่พิเศษกำลังสร้างขึ้น แทบจะเรียกได้ว่า มันถูกเขียนบทไว้" เบรเด้ ฮันเกลันด์ ว่าเอาไว้
เกมนั้น ประธานสโมสรอย่าง อัล ฟาเยด ก็ติดตามในสนามอย่างใกล้ชิด
"คุณ อัล ฟาเยด มาถึงก่อนเกม และเราอยู่ในห้องของเขา และเขาหันหน้ามาที่ผมซึ่งตรงข้ามกับจอทีวี" ผมเห็น ยูเวนตุส ทำประตูได้ เราตามหลัง 1-0 และผมต้องบอกเขา ทันใดนั้น คุณอัล ฟาเยด ก็พูดว่า 'เราออกไปดูข้างนอกหน่อยมั้ย' ผมตอบไปว่า 'ไปกันเถอะ' จากนั้นผมก็ช่วยเขาสวมเสื้อโค้ท และเขาพูดกับผมว่า 'คุณเป็น CEO ที่ยอดเยี่ยม แต่เป็นพ่อบ้านที่ห่วย'" อลิสแตร์ แมคคินทอช CEO ของฟูแล่มกล่าวถึงเกมวันนั้น
ความใจสู้ของทีมรองอย่าง ฟูแล่ม ไม่ได้เกิดขึ้นด้วยแรงฮึดที่คิดเอาเองเออเอง แต่เกิดจากความเข้าใจในทีมและการวางระบบ 4-4-1-1 ที่วางหน้าเป้าอย่าง บ็อบบี้ ซาโมร่า ที่มีความครบเครื่องเรื่องทำประตู, โซลตัน เกร่า จอมทัพในเกมรุก, เบรเด้ ฮันเกลันด์ คุมแนวรับ และกัปตันทีมมากประสบการณ์อย่าง แดนนี่ เมอร์ฟี่ ที่บัญชาเกมกลางสนาม
"ผมจำได้ ทุกคนรวมถึงนักเตะทำกับว่ามันเป็นนัดชิงชนะเลิศ ผมรู้สึกแปลกใจในความปรารถนาและความจริงจังของ ฟูแล่ม ทุกคนวิ่งเข้าหาบอลและก็ลงเอยด้วยผลการแข่งขันที่สมบูรณ์แบบ" โมฮัมเหม็ด ซิสโซโก้ กองกลาง ยูเวนตุส ว่าไว้
ในลีกประคอง บอลถ้วยใส่เต็ม
โวล์ฟสบวร์ก ดีกรีแชมป์ บุนเดสลีกา ฤดูกาล 2008-09 คือทีมที่จะเป็นคู่ประมือกับ ฟูแล่ม ในรอบ 8 ทีม หรือที่เราเรียกว่ารอบก่อนรองชนะเลิศ
มาจนถึงป่านนี้ คงมีคนอยากทราบความเป็นอยู่ของ ฟูแล่ม ในลีกพอสมควร ช่วงท้ายฤดูกาล ทัพเจ้าสัวน้อยอยู่ในอันดับ 12 ของตาราง และเพิ่งแพ้ ฮัลล์ ซิตี้ 0-2 ก่อนที่จะดวลกับ โวล์ฟสบวร์ก ที่ คราเวน คอทเทจ
ดังนั้นในลีกก็ไม่ต้องไปใส่ใจอะไรมาก ประคองตัวเองให้รอด และให้ความสำคัญกับบอลถ้วยแลจะดีกว่าเห็น ๆ
2 เมษายน 2010 ฟูแล่ม เก็บชัยชนะได้ตามเป้า ด้วยการ เฉือน โวล์ฟสบวร์ก 2-1 จาก บ็อบบี้ ซาโมร่า และ เดเมี่ยน ดัฟฟ์ ที่เพิ่งย้ายมาในฤดูกาลนี้จาก นิวคาสเซิล
ชัยชนะนัดนี้ เริ่มทำให้คนทั้งทีมมองถึงนัดชิงชนะเลิศ รวมถึง เบรเด้ ฮันเกลันด์ ที่เชื่อว่าทีมของตนมีดีพอที่จะไปได้ไกลยิ่งขึ้น
"ตอนนี้ รอบชิงชนะเลิศ คือเป้าหมายเราแล้ว เราเป็นทีมที่ดี ต้องเป็นทีมที่ใครก็ต่างกลัวเมื่อเผชิญหน้าด้วย พวกเราเกือบจะสมบูรณ์แบบแล้ว ทุกคนทำงานหนักและเข้มแข็ง" เบรเด้ ฮันเกลันด์ ว่าไว้
นัดที่สอง ฟูแล่ม บุกไปย้ำชัยเหนือ โวลฟ์บวร์ก 1-0 จากประตูโทนของ บ็อบบี้ คนดีคนเดิม ซาโมร่า ที่ซัดเข้าไปตั้งแต่นาทีแรกของเกม
เข้าสู่รอบชิง
รอบรองชนะเลิศ ฟูแล่ม ต้องดวลกับ ฮัมบูร์ก อีกหนึ่งทีมจากเยอรมัน ที่มี แนวรับอย่าง เยอโรม บัวเต็ง และ รุด ฟาน นิสเตลรอย เป็นแข้งคุ้นหู โดยเกมแรกเจ้าสัวน้อยบุกไปเสมอ ฮัมบูร์ก แบบไร้สกอร์
30 เมษายน 2010 เลกสองที่ คราเวน คอทเทจ มลาเดน เพทริค แข้งที่จะย้ายไป ฟูแล่ม ในอีกสองปีถัดมา ซัดฟรีคิก สุดสวยให้ ฮัมบูร์ก นำ ฟูแล่มไปก่อนในครึ่งแรก ก่อนที่ครึ่งหลัง ไซม่อน เดวี่ส์ และ โซลตัน เกร่า จะช่วยทีมทำประตู แซง พา ฟูแล่ม สร้างประวัติศาสตร์เข้าชิงชนะเลิศ ยูโรป้าลีก ท่ามกลางแฟนบอลกว่า 2 หมื่น ชีวิตที่เข้าไปเชียร์สโมสรที่พวกเขารักและระเบิดความรู้สึกแห่งความปลาบปลื้มออกมา
"ฟูแล่ม เป็นสโมสรที่อ่อนโยนสุภาพ คุณอดไม่ได้ที่จะชื่นชอบพวกเขา แต่เย็นวันนั้นเรากลับเห็นคมเขี้ยวของพวกเขา มันเป็นบรรยากาศที่ผมไม่เคยพบเห็นจากที่นั่น ไม่เหมือนเกมอื่น ๆ เป็นคืนที่แตกต่าง" ปีเตอร์ ดรูรี่ นักพากย์และนักวิเคราะห์ในวันนั้น กล่าว
"คราเวน คอทเทจ โคตรสะเทือน" ซาราห์ บรูคส์ หัวหน้าฝ่ายสื่อสารประจำสโมสร ฟูแล่ม พูดไว้
"ทุกคนรวมถึงแฟนบอลอยู่ในสนามต่อ 10-15 นาที เราทุกคนกอดกัน ความรู้สึกทุกอย่างมันระเบิกออกมาในการเข้าชิงครั้งนั้น" ไซม่อน เดวี่ส์ กองกลางริมเส้น หนึ่งในผู้ทำประตู เล่าไว้
เจ้าของทีมอย่าง อัล ฟาเยด รู้สึกดีใจสุด ๆ ที่ทีมที่เคยอยู่ ดิวิชั่น 2 ในตอนที่เขาซื้อ ได้กลายเป็นทีมที่เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ยูโรป้าลีก ซึ่งเขาก็ทำหน้าที่สนับสนุนทีมเล็ก ๆน้อย ๆ ด้วยการทำหน้าที่ "หัวจ่าย" มอบ กิ๊ฟ วอชเชอร์ ให้กับทุกคน ตอบแทนความมุ่งมั่นที่นักเตะมอบให้กับทีม
"หลังรอบก่อนรองชนะเลิศ อัล ฟาเยด เข้ามาในห้องแต่งตัวและบอกว่าเขาจะมอบของขวัญให้พวกเราทุกคน จากนั้น รอย ก็เดินแจกบัตร กิ๊ฟ วอชเชอร์ ของห้าง แฮร์รอดส์ และก็มอบให้อีกครั้งหลังจากจบรอบรองชนะเลิศ ประธานมีน้ำใจกับพวกเรามาก ผมกับภรรยาได้รับของขวัญวันเกิดดี ๆ สองสามชิ้นจากบัตรพวกนั้น" ไซม่อน เดวี่ส์ เล่า
ทำดีที่สุดแล้ว
ก้าวมาจนถึงนัดชิงชนะเลิศ ที่นับว่าเป็นนัดที่ 63 รวมทุกรายการในซีซั่น 2009-10 และเกมที่ 19 ในการแข่งขันยูโรป้าลีก นับตั้งแต่เกมแรกในรอบ 3 กับ เอฟเค เวทรา
คู่แข่งในนัดชิงของ ฟูแล่ม ในครั้งนี้คือ แอตเลติโก มาดริด ที่มี เซร์คิโอ อเกวโร่ และ ดิเอโก้ ฟอร์ลัน เป็นยอดหัวหอกในเวลานั้น โดยแข่งขันวันที่ 12 พฤษภาคม 2010 ที่ โฟล์คสปาร์คสตาดิโอน รังเหย้าของ ฮัมบูร์ก ที่ ฟูแล่ม เคยไปเยือนมาแล้วในฤดูกาลดังกล่าว
แต่แล้ว ทัพเจ้าสัวน้อย ก็พ่ายต่อทัพตราหมีไป 1-2 จากการทำประตูของ ดิเอโก้ ฟอร์ลัน ทั้งสองประตู โดยมี ไซม่อน เดวี่ส์ เป็นผู้ทำประตูให้กับ ฟูแล่ม
อย่างไรก็ดี แม้จะเป็นผู้แพ้ในฐานะรองแชมป์ แต่ฤดูกาลนั้น เป็นฟอร์มที่ดีที่สุด จนถึงขนาดที่ บรมกุนซือลูกหนังอย่าง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กล่าวว่าสิ่งที่ รอย ฮอดจ์สัน สร้างขึ้นคือ "ปาฏิหาริย์" และเป็นหนึ่งในความสำเร็จที่ดีที่สุดของสโมสรอังกฤษตลอดกาล
ไม่เว้นแม้แต่ รอย ฮอดจ์สัน ที่ยอมรับว่า การพา ฟูแล่ม เข้าชิง ยูโรป้าลีก คือหนึ่งในผลงานที่ดีสุดในชีวิตผู้จัดการทีมที่เขาเคยสร้าง
และถึงแม้บางเสียงจะกล่าวว่า "ผู้คนจะไม่จดจำทีมที่เป็นรองแชมป์" แต่กับเรื่องราวที่น่าประทับใจของ ม้ามืดอย่าง ฟูเเล่ม 2009-10 คงต้องถามทุกคนดูอีกสักทีว่า ประโยคที่กล่าวมา มันจริงหรือไม่
แหล่งอ้างอิง
https://theathletic.com/1803537/2020/05/10/fulham-europa-league-2010-hodgson-zamora-hugh-grant/
https://en.wikipedia.org/wiki/2009%E2%80%9310_UEFA_Europa_League_knockout_phase#Fulham_v_Shakhtar_Donetsk
https://www.skysports.com/football/news/11095/11625042/reaching-europa-league-final-with-fulham-one-of-careers-finest-moments-says-roy-hodgson
https://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-8309307/The-story-Fulhams-magical-journey-Europa-League-final-ten-years-ago.html