Feature

รูเบน อโมริม : หลัง 3, บุกแหลก และอัดแน่นด้วย DNA นักสู้ | Main Stand

รูเบน อโมริม ใช้เวลา 6 ปี ในการเป็นโค้ช และในปีหน้าคาดว่าเขาจะมาเป็นกุนซือของ ลิเวอร์พูล ท่ามกลางกระแสข่าวจากหลายสำนัก 

 


ถ้าคุณไม่รู้จักเขา และอยากเข้าใจเขามากกว่านี้ นี่คือเรื่องราวของ อโมริม ตั้งแต่วันที่เขาเป็นนักเตะ จนกระทั่งวันที่เขาถูกยกให้เป็นโค้ชน่าจับตาแห่งยุค   

เรื่องทั้งหมดเป็นมาอย่างไร ? ติดตามที่ Main Stand 

 

รากของ "รูเบน"

รูเบน อโมริม เป็นอดีตนักเตะอาชีพ เขาใช้เกือบตลอดชีวิตค้าแข้งอยู่ในประเทศโปรตุเกส บ้านเกิดของตัวเอง อโมริม ผ่านการลงเล่นกับ เบเลเนนส์, เบนฟิก้า และ บราก้า จนกระทั่งปีสุดท้ายในอาชีพ ช่วงราวปี 2015 - 16 จะไปเล่นกับ อัล-วาคราห์ ในประเทศกาตาร์ อยู่ครึ่งซีซั่นและจากนั้นก็แขวนสตั๊ด 

ตอนเป็นนักเตะนั้น  อโมริม นักเตะตำแหน่งกองกลางในตำแหน่งจอมทัพ เป็นนักเตะระดับกลาง ๆ ค่อนบนของประเทศ กล่าวคือดีพอที่จะติดทีมชาติ แต่ไม่ดีพอที่จะแสดงผลงานให้ทั้งโลกร้องอ๋อเมื่อเห็นชื่อของเขา

อโมริม จบอาชีพค้าแข้งเงียบ ๆ ที่กาตาร์ จากนั้นก็เริ่มเส้นทางใหม่ที่ตัวเองตัดสินใจและเลือกจากการคิดวิเคราะห์มาอย่างดี ... เพราะเขาเชื่อว่าการเป็นโค้ชจะไม่มีประโยชน์แค่การหาเลี้ยงชีพ แต่มันจะเป็นงานที่ทำให้เขา "คนที่สมบูรณ์" มากกว่าตอนไหน ๆ ในชีวิต 

"ผมแขวนสตั๊ดได้สัปดาห์เดียว ผมก็เริ่มลงเรียนโค้ชเลย ...ผมคิดมาดีแล้ว ผมพยายามมองหาสิ่งอื่น ๆ ทำเพื่อให้มันบาลานซ์ไปกับชีวิตครอบครัวด้วย" อโมริม กล่าว 

"ตอนแรก ๆ เลยผมคิดว่าผมอาจจะไม่จริงจังมาก เหมือนกับตอนเป็นนักฟุตบอล แต่พอลงเรียนไป กลับพบเห็นรูโหว่ของตัวเองเต็มไปหมด ผมพบว่าผมยังขาดคุณสมบัติหลายอย่าง สุดท้ายผมวิเคราะห์มันแล้วผมก็ว่า ผมไม่ได้มีความเป็นผู้นำ ไม่เก่งเรื่องการมองฟุตบอลในเชิงธุรกิจ ผมเป็นพวกเล่นฟุตบอลอย่างเดียว มองข้ามสิ่งเหล่านี้ไปหมด"

"ผมคิดดูแล้วว่าผมอยากจะลองทำตามดู มันจะออกมาดีหรือแย่ไม่รู้ แต่ผมหวังว่ามันจะออกมาดี อย่างน้อย ๆ ก็กับตัวเอง" เขาว่าแบบนั้น 

อโมริม ตั้งใจฝึกและเรียนโค้ชในสถาบันโค้ชในกรุงลิสบอน ในขณะเดียวกันเขาลงเรียนปริญญาโท คณะมนุษย์ศาสตร์(Human Motricity) โดยเป็นคลาสเรียนเดียวกับที่ โชเซ่ มูรินโญ่ เคยเรียนตอนหนุ่ม ๆ 

อย่างที่กล่าวไว้ในข้างต้น อโมริม คิดและลงมือทำ ตัดสินใจอย่างรวดเร็วและทุ่มเทกับการเรียนโค้ชครั้งนี้มาก  ๆ  เมื่อเริ่มจริงจังก็มีการตั้งเป้า แน่นอนว่าโค้ชชาวโปรตุกีสยุคใหม่ล้วนมี โชเซ่ มูรินโญ่ เป็นไอดอลด้วยกันทั้งนั้น อโมริม ก็ถือเป็นแฟนคลับของ มูรินโญ่ คนหนึ่ง และพยายามที่ดำเนินรอยตามความยิ่งใหญ่นั้นให้ได้ 

แต่ยิ่งทำกลับยิ่งแตกต่างในแง่ของวิธีการ ในอาชีพค้าแข้งของ อโมริม เขาเล่นกับ เบนฟิก้า นานที่สุด และโค้ชของ เบนฟิก้า คือ ฮอร์เก้ เฮซุส เป็นจอมยั้วะ ยอมเดือด ที่มีแอ็คชั่นออกสื่อประจำ โดย เฮซุส คือโค้ชที่ทะเลาะกับ อโมริม บ่อยครั้งสมัยค้าแข้ง

ทั้งคู่เคยมีปัญหาเม้งแตกด่ากันออกสื่อมาแล้ว อย่างไรก็ตาม อโมริม ไม่รู้ตัวเลยว่ายิ่งเขาพูดคุย ถกเถียง และดื้อกับ เฮซุส มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งได้วิชาจาก เฮซุส โดยไม่รู้ตัวเท่านั้น 

ในการสอบจบโค้ชหลักสูตรโปรไลเซ่นส์ รูเบน อโมริม ถูกสื่อโปรตุเกสถามว่า "เราเห็นเงา เฮซุส ในตัวของคุณ คุณได้อิทธิพลจากเขาหรือไม่ ?" อโมริม ตบเข่าฉาด หัวเราะและสารภาพว่าเขาก็ประหลาดใจกับเรื่องนี้เหมือนกัน 

"มันเป็นเรื่องที่ตลกมาก ตอนเป็นนักเตะผมทะเลากับเฮซุสแบบนับเรื่องไม่ถ้วน เพราะอะไรรู้ไหม เขามันเป็นโค้ชที่น่าเบื่อไงล่ะ จริงจังมากเกินไปในมุมมองของผมในตอนนั้น เขาจะมาคุยกับทีมด้วยแฟ้มเป็นตั้ง ๆ ภายในบรรจุแท็คติกมากมาย และในการซ้อมทุก ๆ วันเขาไม่ปล่อยให้จบง่าย ๆ ใครทำผิดพลาดเขาจะเข้าชาร์จทันที" 

"แต่ตอนนี้สิ มองย้อนกลับมาตอนที่ผมเป็นโค้ช เขาเป็นโค้ชที่สมบูรณ์แบบมาก ๆ ผมคิดในใจไม่มีโค้ชคนไหนอีกแล้วที่ทำการบ้านมาเผื่อนักเตะในทีมทุกคน ผมเคยทำงานกับ เลโอนาร์โด ยาร์ดิม คนที่เคยคุม เบนฟิก้า และพา โมนาโก คว้าเเชมป์ลีก+รองแชมป์ยุโรปมาแล้ว แต่ เฮซุส ต่างกับ ยาร์ดิม คนละเรื่อง(หมายถึงเรื่องความเข้ม ความจุกจิก)"

"ผมอยู่กับ เฮซุส มาหลายปีมาก ผมบอกได้เลยนะว่าในชีวิตนี้ก็มีโค้ชมากมายที่ผมพูดคุยด้วย เผลอ ๆ อาจจะมากกว่า เฮซุส ด้วยซ้ำ แต่ของบางอย่างมันหนีไม่ได้ เวลามีคนถามว่าโค้ชคนไหนมีอิทธิพลกับสไตล์ของผม ผมก็จะตอบว่า เออนั่นแหละ เฮซุส แบบเลี่ยงไม่ได้... เพราะไม่มีคนอื่นให้นึกถึงอีกเเล้ว"

"พูดอีกกี่ทีก็ขำ มีนักเตะไม่น้อยหรอกนะที่ทนเขาไม่ไหว บางคนมาเล่นที่ เบนฟิก้า ปีเดียวแล้วย้ายทีมเลยเพราะความจุกจิกของ เฮซุส ปีเดียวยังขนาดนี้ แล้วคุณคิดดูดิ ผมเป็นลูกน้องเขาอยู่ 7 ปีเลยนะ จะเหลือเหรอ (เขาหัวเระา) 

"ตอนนี้ผมคิดว่าผมจะเป็นโค้ชที่จริงจัง เตรียมหลักสูตรวิธีการสอนมากมายเพื่อลูกทีม ผมจะสอนจนกว่านักเตะของผมจะเข้าใจ แต่แน่นอนว่าผมจะไม่เป็นแบบ เฮซุส เพราะเขามันน่ารำคาญ แล้วผมก็คิดว่าผมมีนิสัยไม่เหมือนกับเขาหรอก" อโมริม กล่าวกับ Tribuna สื่อของ โปรตุเกส ... จากนั้นงานแรกของเขาก็เริ่มขึ้นกับสโมสรเล็ก ๆ ในดิวิชั่น 3 และงานเเรก ก็โดนเข้าเต็มเปาเลยทีเดียว

 

จาก คาซ่า เปีย ถึง สปอร์ติ้ง ลิสเบอน 

คาซ่า เปีย คือทีมในระดับดิวิชั่น 3 ของลีก โปรตุเกส และเป็นทีมแรกที่จ้างงานอโมริมในฐานะเฮดโค้ช 

อโมริม คุม คาซ่า เปีย ไปเพียง 4 เกม โดยเข้ามาทำงานระหว่างครึ่งซีซั่น(เดือนมกราคมปี 2019) เขาพาทีมชนะ 3 แพ้ 1 จาก 4 เกม ยิงได้ถึง 17 ลูกและเสียแค่ 3 ประตูเท่านั้น ... จบ! การเป็นกุนซือครั้งแรกของเขา จบแค่ตรงนี้ เพราะหลังจาก 4 เกมนั้น อโมริม โดนแบนจากการคุมทีมโดยไม่มีใบอนุญาตโค้ชตามกำหนด เขาโดนแบนถึง 1 ปี สโมสร คาซ่า เปีย โดนลงโทษตัดแต้มถึง 6 คะแนน 

ในความเข้าใจคือ คาซ่า เปีย ต้องการให้ อโมริม ลองทำงานดูตั้งแต่ยังเรียนโค้ชและสอบใบอนุญาตไม่จบ โดยสโมสรจะสวมเขาในฐานะสต๊าฟฟ์โค้ชหรือบุคลากรของทีม และมีโค้ชที่มีใบอนุญาตสวมหัวโขนเป็นกุนซือใหญ่แทน แต่ อโมริม เป็นคนจัดการทีมและวางแท็คติกทั้งหมด แต่เรื่องมันมาเกมเอาก็เพราะว่าเขาเป็นคนที่ออกแอ็คชั่นเกินเหตุ จนทำให้ถูกจับได้ว่าทีมตั้งใจจะเลี่ยงบาลี ก่อนปิดกฎและติดโทษแบนตามที่กล่าวไป 

1 ปีหลังโดนแบน ถือเป็นช่วงเวลาที่เขาจะไปเรียนอะไรต่าง ๆ และเคลียร์ตัวเองให้จบ ซึ่งมันก็เป็นไปตามกำหนดการ จากนั้น 1 ปี เขามีโอกาสได้รับงานกับ เบนฟิก้า ชุดยู23(เล่นในดิวิชั่น 3 ของลีก) แต่หลังจากเข้าไปคุยรายละเอียดแล้วเขาก็ตัดสินใจยกเลิกข้อตกลง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม 

กลางเดือนกันยายนปี 2019 บราก้า อีก 1 ทีมเก่าของเขาติดต่อมาให้เขารับงานชุดยู 23 (ดิวิชั่น 3 ของลีก) เขาทำงานที่นี่ได้แค่ 3 เดือน และบอกว่ารู้สึกไม่ค่อยถูกใจนัก เหมือนกับคนจบมาแล้วทำงานไม่ตรงสาย แม้จะทำได้ดี แต่ก็ไม่อยากเสียเวลาทำต่อ โชคยังดีที่สโมสรเห็นแวว และเป็นช่วงเวลาที่ ริคาร์โด้ ซา ปินโต โค้ชของ บราก้า ชุดใหญ่โดนไล่ออก พอดี  อโมริม จึงได้เริ่มงานแรกอย่างจริงจังกับ บราก้า ชุดใหญ่  จากนั้นฝีมือของเขาก็เริ่มกระฉ่อนลีกโปรตุเกส 

"ผมไม่ใช่พวกที่ทนอยู่กับสิ่งที่ไม่เป็นตัวเองเท่าไรนัก ตอนแรกผมได้โอกาสคุมทีมเยาวชน และผมมองไม่เห็นว่าผมจะเป็นโค้ชระดับจูเนียร์ได้ เพราะงานส่วนนี้มันคือการสอนเหล่าดาวรุ่งให้รู้ว่าฟุตบอลอาชีพคืออะไร มันเป็นเหมือนสอนฟุตบอลไปพร้อมกับสอนชีวิต ซึ่งผมคิดว่ามันไม่ใช่แนวเลย"

"ผมอยากจะสอนแบบนักฟุตบอลอาชีพ สอนการเล่นที่มีประสิทธิภาพ, สอนวิธีการมองเกม, สอนการเผชิญหน้ากับสถานการณ์ต่าง ๆ คุมทีมฝึกซ้อมอย่างเข้มข้น อะไรแบบนี้มากกว่า ผมคิดว่าตัวตนผมเป็นแบบนั้น"

1 เดือนกับ บราก้า เขาพาทีมคว้าเเชมป์ลีกคัพ ทันที ด้วยการชนะ เอฟซี ปอร์โต้  ...นอกจากแชมป์แล้วเขายังพาทีมทีเดิมทีอยู่อันดับ 8 กลับมาจบอันดับ 3 เท่านี้ก็พอแล้วที่จะทำให้กุนซือหนุ่มคนนี้เนื้อหอมขนาดหนัก 

จากสัญญาเดิมที่เซ็นกับ บราก้า ไว้ 2 ปีครึ่ง อโมริม เด่นมากในวงการฟุตบอลโปรตุเกส เขาถูกฉีกสัญญาจาก สปอร์ติ้ง ลิสบอน โดยยอดทีมจากเมืองหลวงจ่ายเงินค่าฉีกสัญญาถึง 10.5 ล้านปอนด์ 

วงการฟุตบอลโปรตุเกสไม่มีการฉีกสัญญาครั้งไหนแพงขนาดนี้มาก่อน แต่ถ้าจะถามว่า สปอร์ติ้ง คุ้มหรือไม่ ให้ดูที่ทำเนียบแชมป์ เขาคุมทีมอยู่ราว ๆ 3 ปีครึ่ง แต่พาทีมคว้าเเชมป์ฟุตบอลลีก 1 สมัย ฟุตบอลถ้วยในประเทศอีก 3 สมัย คว้ารางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมอีก 1 ครั้ง ... ผ่านสไตล์การเล่นที่ดุดัน รวดเร็ว และบี้ไม่ยั้ง ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้เขากำลังจะไปคุมทีม ลิเวอร์พูล ในเวลานี้ 

คำถามสั้น ๆ ทิ้งท้ายคือ ... อโมริม เป็นโค้ชแบบไหนที่นอกจากประสบความสำเร็จแล้ว ยังทำให้เขาตาสโมสรระดับแถวหน้าของโลกอย่าง ลิเวอร์พูล

 

รูเบน สไตล์

รูเบน อโมริม เป็นโค้ชมาแล้ว 5-6 ปี และมันเป็นไปตามที่เขาอธิบายในข้างต้นถึงกุนซือในแบบที่เขาอยากจะเป็น ข้อมูลเยอะ ทำการศึกษาเรื่องใหม่ ๆ เยอะ และจริงจังกับสิ่งที่มอบหมายให้กับนักเตะในทีมมาก ๆ ถึงมากที่สุด แต่เขาก็ไม่ลืมว่าเขาจะไม่ทำตัวจุกจิกเหมือนกับ เฮซุส เขามักจะเข้าถึงนักเตะด้วยความเข้าใจ มากกว่าทำตัวน่ารำคาญให้นักเตะเบือนหน้าหนี 

เรื่องที่น่าสนใจจากคนร่วมงานของ อโมริม อธิบายเพิ่มเติมว่า "คำพูดที่จะอธิบายความเป็นอโมริมได้ดีที่สุดคือ ความจริงใจ" อดีตนักเตะของเขาเปิดเผยกับ เดลี่ เมล

"เขาเป็นคนให้ความสำคัญกับเรื่องของความสัมพันธ์ ทำให้ทุกคนในองค์กรรู้สึกว่าได้รับคำแนะนำ ไม่ใช่การบังคับ ไล่ตั้งแต่กัปตันทีม ไปจนถึงเจ้าหน้าที่ในสำนักงาน เขาสื่อสารด้วยวิธีเดียวกัน มันคือการเว้นระยะห่างให้กันแบบไม่ ไกล-ใกล้ เกินไป แต่ทำให้ทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกันและไว้วางใจกันได้  ซึ่งเมื่อทีมเป็นหนึ่งเดียวกันได้ สิ่งที่จะตามมาคือการมีทัศนคติของการเป็นผู้ชนะ"

การอธิบายต่อโดยรวมคือ ในห้องแต่งตัว อโมริม เป็นคนที่ใช้เสียงดังในการจะพูดอะไร แต่ไม่ได้ใช้คำหยาบคายจาบจ้วง เขาพยายามทำตัวเป็นผู้นำที่ทำให้ทุกคนรู้สึกว่าอยู่ในระดับเดียวกับเขา ไม่ใช่ระดับต่ำกว่า ... นี่อาจจะเป็นคุณสมบัติคล้าย ๆ กับที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ ทำกับลูกทีม ลิเวอร์พูล ของเขา

ลูกทีมของเขาที่สนิทกันหลายคน ในภายหลังเติบโตได้ดิบได้ดีก็มีเยอะ และต่างคนก็ย้อนพูดถึง อโมริม แต่เรื่องดี ๆ ทั้งนั้น บรูโน่ เฟอร์นันเดส, รูเบน ดิอาส, เชา ปาลินญ่า, มาร์กอส อคุนญา โดยเฉพาะในรายของ รูเบน ดิอาส นั้นถือว่าเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องทีสนิทกันมาก มีเรื่องตลกเกี่ยวกับทั้งคู่อยู่เรื่องหนึ่ง นั่นคือตอนที่ อโมริม คุมที่ คาซ่า เปีย ตอนนั้น อโมริม บังคับให้ ดิอาส ที่เพิ่งเเข่งขันกับ เบนฟิก้า เสร็จในคืนวันเสาร์ ตื่นเช้าเข้ามาเชียร์ คาซา เปีย ในสนาม ที่มีน้องชายของเขา อิวาน ดิอาส ลงเเข่งขันในเกมดิวิชั่น 3 

ซึ่ง ดิอาส ก็มาดูพร้อมกับหน้าแบบง่วง ๆ พร้อมกับ กาแฟหนึ่งแก้ว พร้อมกับสัมภาษณ์ถึงภายหลังว่าเป็นเหตุการณ์ที่อธิบายถึงความใส่ใจของ อโมริม ต่อลูกทีมได้เป็นอย่างดี เขาอยากให้ อิวาน ดิอาส ตั้งใจเล่น เพราะรู้ว่าพี่ของเขาที่เล่นให้กับทีมที่ดีที่สุดในประเทศมานั่งชมอยู่ข้างสนาม 

ส่วนเรื่องของการรับมือกับสื่อถือเป็นจุดหนึ่งที่ อโมริม ได้รับคำชมจากสื่อในโปรตุเกสไม่น้อยตามฉายา "มูรินโญ่สอง"  ทอม คุนเดอร์ต ผู้เชี่ยวชาญด้านฟุตบอลโปรตุเกส ผู้เขียนหนังสือสองเล่มและดูแลเว็บไซต์ PortuGOAL อธิบายคำจำกัดความที่ดีสำหรับ อโมริม คือนักสื่อสารชั้นเยี่ยม ที่มีสเน่ห์จนนักข่าวต้องฟังสัมภาษณ์ของเขาจนจบ

"อโมริม เยี่ยมมากในการทำงานต่อหน้าสื่อ เขาเปิดกว้าง ยินดีตอบทุกคำถาม แม้กระทั่งคำถามโง่ ๆ ที่ตั้งใจจะกวนกันเขาก็จะตอบด้วยไหวพริบที่ดี และสวนด้วยข้อมูลที่คนถามต้องหน้าชา" 

"คาแร็คเตอร์หน้ากล้องของเขาเป็นคนร่าเริงท่ามกลางแรงกดดันมาหศาล เขาพูดอะไรที่มันส่งเสริมสปิริตให้ทีมได้ดีมาก ตลอด 5 ปีในการทำงานของเขาที่โปรตุเกส ผมนึกไม่ออกว่าเขาเคยวิจารณ์นักเตะของตัวเองคนไหนในที่สาธารณะบ้าง ? เช่นเดียวกันกับทีผมไม่เคยเห็นว่านักเตะในทีมของเขาออกมาบอกกับสือว่าไม่มีความสุขในการเป็นลูกน้องของเขา" 

ตัวอย่างที่ดีมาก ๆ ในการสัมภาษณ์แบบไม่โยนปัญหาใส่ลูกทีมคือในเกมที่ สปอร์ติ้ง แพ้ในเกม บิ๊กแมตช์กับ เบนฟิก้า คู่ปรับตลอดกาล โดย อโมริม ตอบแบบพลิกสถานการณ์อย่างยอดเยี่ยมว่า "เราแพ้เพราะ สปอร์ติ้ง เป็นทีมที่มีโค้ชอายุน้อยไร้ประสบการณ์และกำลังเรียนรู้สิ่งต่างๆ ในเวลานี้ .. ไอหมอนี่แหละที่เป็นคนผิด" แน่นอนเขาหมายถึงตัวเอง 

ด้านเรื่องสไตล์การเล่นวิธีการทำทีมของ อโมริม ก็เป็นไปในแบบทีมใหญ่ของลีกเล็ก ๆ นั่นคือเล่นเกมบุก เน้นการครองบอลและบดขยี้คู่ต่อสู้ สิ่งนี้ยากจะอธิบายเป็นตัวหนังสือหรือเล่าให้กันฟัง เอาเป็นว่ารอให้เขาคุมทีม ลิเวอร์พูล คุณจะได้เห็นสิ่งนั้นเอง 

เพียงแต่คร่าว ๆ คือ อโมริม เป็นโค้ชที่ถนัดแผน 3-4-3 เซ็ตบอลจากเเดนหลัง ใช้วิงแบ็คสองฝั่งขยี้เกมด้านกว้าง มีกองกลางคอยขึ้นไปช่วยรุมแย่งบอลจังหวะที่เสียบอลในเกมรับ และมี 1 คนเป็นตัวคุมจังหวะ ... ขณะที่ตัวรุกนั้นเน้นตัวที่มีเทคนิคสูงดวล 1-1 เก่ง เอาชนะคูแข่งด้วยทักษะเฉพาะตัว โดยมีกองหน้าที่จบสกอร์ได้หลายแบบ โดย ณ ตอนนี้เป็น วิกตอร์ โยเคอเรส กองหน้าชาว สวีเดน ที่ว่ากันว่ากำลังจะย้ายทีมด้วยค่าตัวมหาศาลในซัมเมอร์หน้า 

แต่ทั้งหมดนั้นในเรื่องของแท็คติกจะเป็นเพียงอดีตในวันที่เขาย้ายมาคุม ลิเวอร์พูล ที่ที่เขาจะเจอกับขุมกำลังนักเตะใหม่ ๆ ที่ดีกว่าเก่า ซึ่งอย่างที่บอกว่าเราก็ยังเดาไม่ออกว่าเขาจะใช้แผนไหน แต่ที่แน่ ๆ เรื่องวิธีการบดขยี้ ใช้วิงแบ็คสองข้างเล่นเกมบุกเหมือนกับปีก ดูแล้วไม่น่าหนี DNA เดิมจากที่ คล็อปป์ ทำไว้ให้กับ ลิเวอร์พูล มากนัก 

ส่วนเรื่องการวางตัวต่อลูกทีมและต่อหน้าสื่อ อโมริม สอบผ่านในประเทศของตัวเองแล้ว ต่อไปที่จะเป็นเวทีที่ใหญ่กว่า กดดันกว่า คนจับจ้องมากกว่า นั่นคือเส้นทางพิสูจน์ตัวเองของยอดโค้ชทุกคน .. .ส่วนจะทำสำเร็จหรือไม่ คาดว่าเราจะได้คำตอบแน่นอนในซีซั่นหน้า 

 

แหล่งอ้างอิง : 

https://www.mirror.co.uk/sport/football/news/liverpool-ruben-amorim-bruno-fernandes-32545669
https://talksport.com/football/1816239/ruben-amorim-next-liverpool-manager/
https://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-13251913/ruben-amorim-liverpool-no-1-choice.html
https://tribuna.expresso.pt/entrevistas-tribuna/2017-11-18-Ruben-Amorim-Assinei-pelo-Benfica-com-o-coracao.-Naquela-altura-ia-ganhar-mais-num-clube-alemao-do-que-alguma-vez-ganhei-no-Benfica
https://www.coachesvoice.com/cv/ruben-amorim-sporting-lisbon-tactics/
https://www.fourfourtwo.com/news/ruben-amorims-style-of-play-and-tactics-what-liverpool-fans-can-expect-from-the-portuguese-manager

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ