Feature

ด่ามา...ด่ากลับได้ : ความสัมพันธ์แบบพร้อมบวก เบื้องหลังที่ทำให้นักเตะอาร์เซน่อล "ใจเท่ากัน" | Main Stand

ภาพนักเตะอาร์เซน่อลวิ่งกันลืมตาย ใส่กันเต็มร้อย คือโมเมนต์ที่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาคือทีมที่นอกจากจะมีรูปแบบการเล่นที่แข็งแกร่ง ทัศนคติ และ พลังใจของพวกเขานั้น ผลการแข่งขันจะเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่ อาร์เซน่อล พร้อมวัดได้กับทุกทีมในพรีเมียร์ลีกในเรื่องนี้

 

ความสามัคคีระดับ "ใจเท่ากัน" ของ อาร์เซน่อล เป็นทีมเดียวกันกับภาพลักษณ์ที่นักเตะชอบกระชากคอเสื้อคุยกัน ตะโกนด่าแบบใส่อารมณ์ เถียงกันระหว่างการแข่งขัน ซึ่งมองดูแล้วมันไม่น่าจะไปด้วยกันได้ แต่สิ่งที่คือเบื้องหลังที่ มิเกล อาร์เตต้า เปลี่ยนลูกทีมของเขากลายเป็นทีมที่ความเป็นผู้ชนะอยู่ในตัวอย่างเต็มเปี่ยม

นี่คือเรื่องราวความสัมพันธ์แบบพร้อมบวกภายใต้กลุ่มนักเตะอาร์เซน่อล ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน

 

ด่า ไม่เท่ากับ วิจารณ์

อาร์เซน่อล คือ 1 ในทีมที่เราได้เห็นการปะทะคารมของนักเตะพวกเขามากที่สุดทีมหนึ่ง เอาแค่ในซีซั่น 2023/24 เราได้ กาเบรียล มากัลเญส ทะเลาะกับ ดีแคลน ไรซ์ ด้วยสีหน้าด้วยจริงจัง เครียดจริง โมโหจริง ในเกมที่พวกเขาเสมอกับ ฟูแล่ม 1-1 นอกจากนี้ยังมีจังหวะการกระชากคอเสื้อมาคุยกันของ เบน ไวท์ และ โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ ... ซึ่งท่าจะย้อนปีไปเรื่อย ๆ คุณจะได้เห็นภาพการโวยใส่เพื่อนแบบนี้ของนักเตะอย่าง แอรอน แรมส์เดล, กรานิต ชาก้า และใครอีกหลายคนที่เป็นสมาชิกของทีม

สิ่งที่ทำให้ใครคนหนึ่ง กล้าขึ้นเสียง ต่อว่าใส่ใครสักคนหนึ่งได้ คน ๆ นั้นเป็นคนที่มีคาแร็คเตอร์ที่แข็งกร้าวและยึดมั่นในหลักการ, เป็นคนที่ภาวะผู้นำสูง เชื่อมั่นว่าทุกคนสามารถบอก แนะนำ หรือกระทั่งสอนกันได้, และท้ายที่สุดคือมีความเป็นเพอร์เฟ็คชั่นนิสต์ในระดับที่เป็นคนที่จะไม่พูดคำว่า "ไม่เป็นไร" เมื่อมีปัญหา แต่ขยี้ปัญหานั่นให้ทุกคนได้เห็นด้วยกัน

หากเปรียบเทียบกับชีวิตการทำงาน หลายคนก็คงจะมองว่าคนประเภทนี้เป็นคนที่สร้างความอึดอัด สร้างบรรยากาศที่ไม่ดีในการทำงาน จนอาจจะส่งผลกระทบกับการทำงานเป็นทีมได้ ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องจริงในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณเป็นคนสบาย ๆ การปรับตัวเข้ากับกลุ่มคนที่แอ็คทีฟ จริงจัง และพูดจาโผงผางไม่ถนอมน้ำใจ เรียกว่าคนทั้ง 2 ประเภท จะแบ่งฝั่งกันอย่างชัดเจน ซึ่งถ้าคุณเป็นพนักงานหรือทำงานในองค์กรใด ๆ ก็ตาม คุณก็น่าจะนึกภาพบรรยากาศของคน 2 กลุ่มนี้ออกว่ามันจะตึงขนาดไหนเมื่อพวกเขาต้องมาทำงานร่วมกัน .. นี่คือสิ่งที่หลายคนคิด ทว่าจริง ๆ แล้ว ทุกอย่างล้วนมี 2 ด้านเสมอ

ข้อมูลจากเว็บไซต์ HREX.asia ที่ว่าด้วยการบริหารคนและองค์กรบอกเราอีกอย่างหนึ่ง โดยพวกเขาเชื่อว่าการลุกขึ้นยืนและพูดวิจารณ์ใส่กันตรง ๆ แบบไม่การเกรงใจ คือ 1 ในกลยุทธ์สำคัญในการพัฒนาองค์กร พวกเขาถึงกับขึ้นหัวเรื่องนี้ว่า "หยุดเกรงใจ หากอยากให้องค์กรพัฒนา" โดยขยายความต่อความต่อว่า

"อย่าลำบากใจ พยายามรักษาสภาพแวดล้อมให้ดี เพื่อให้มีความขัดแย้งในเวลาที่ทุกคนต่างเห็นปัญหาข้างหน้าอย่างชัดเจน (ย้ำว่าเป็นปัญหาที่ชัดเจน) สิ่งนี้จะทำให้องค์กรของคุณไม่พัฒนาเพราะขาดพื้นที่ที่ปลอดภัย มีอะไรไม่กล้าวิจารณ์ตรง ๆ กลัวปัญหาที่จะตามมากระทบการงาน และความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน แต่หากอยากให้องค์กรเติบโตและพัฒนา ก็จำเป็นจะต้องสลายวัฒนธรรมเก่าๆ แล้วมาปลูกฝังวัฒนธรรมการกล้าพูดตรง ๆ เพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกัน เพราะความเข้าใจจะเกิดขึ้นได้เมื่อเรากล้าที่พูดตรงๆ "

แน่นอนว่าคำว่าวิจารณ์กันตรง ๆ นั้นไม่ได้หมายความว่าคุณจะลุกขึ้นมายืนและชี้หน้าว่าคนอื่นห่วยได้ เพราะสำคัญที่สุดคือคำว่า วิจารณ์ นั้นเท่ากับคำว่า ด่า อย่างสิ้นเชิง

การวิจารณ์ หมายถึง การพิจารณาเทคนิคหรือกลวิธีที่แสดงออกมานั้น ให้เห็นว่าน่าคิดน่าสนใจ น่าติดตาม มีชั้นเชิงยอกย้อนหรือตรงไปตรงมา สิ่งใดที่ดีก็ต้องได้รับการชื่นชม ส่วนใดที่ยังมีสิ่งที่บกพร่องก็สามารถท้วงติงกันได้ ถ้าถามว่าแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าการวิจารณ์แบบไหนคือการวิจารณ์ที่แท้จริง ไม่ใช่การด่ากัน?

อย่างแรกเลย หลักของการวิจารณ์นั้นคือบรรทัดฐานเดียวกันทั่วโลกคือ เมื่อจะวิจารณ์สิ่งใดต้องผ่านขั้นตอนการวิเคราะห์ และประเมินมาอย่างชัดเจน จึงแสดงความเห็นออกมา และเป็นการนำเสนอความเห็นแบบที่ทำให้คนฟังสามารถเอาไปคิดต่อได้ นี่คือการวิจารณ์ที่ทำให้คนคนที่ได้ฟังพัฒนา หรืออย่างน้อย ๆ ที่สุดพวกเขาจะเข้าใจเหตุผลที่ผู้วิจารณ์พูดออกมาอย่างชัดเจน มากกว่าที่จะลุกขึ้นมาพูดแล้วบอกว่า "ไอ้ห่วย" คำเดียวเเล้วเดินจากไป ซึ่งลักษณะนี้เป็นคำด่า ไม่ใช่คำวิจารณ์แต่อย่างใด

อย่างที่กล่าวไว้ทุกอย่างที่สองด้าน ไม่ใช่ทุกคนที่จะชอบคำวิจารณ์ แต่เรื่องเหล่านี้ใช่ว่าจะแก้ปัญหาไม่ได้ เพราะที่ อาร์เซน่อล มิเกล อาร์เตต้า ได้วางวิธีการแก้ปัญหานี้ตั้งแต่แรกไว้แล้ว

 

ศีลเสมอกัน

มิเกล อาร์เตต้า เข้ามาทำทีมอาร์เซน่อล ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2019 กว่าจะมาถึงจุดที่เขาทีมสู้กับทีมที่ยึดหัวตารางของพรีเมียร์ลีกแบบ แมนฯ ซิตี้ และ ลิเวอร์พูล แบบที่ทีมอื่น ๆ ไม่สามารถทำได้ เขาก็พยายามผลัดใบนักเตะในทีมมาหลายครั้ง ต่อสู้กับเสียงวิจารณ์ของแฟนบอลมาก็เยอะ กว่าจะได้ทีมที่นักเตะทุกคนสามารถกระชากคอเสื้อมาคุยกันแบบนี้ได้

เขาผลัดใบนักเตะอย่าง ปิแอร์ เอเมอริค โอบาเมยอง ที่เป็นดาวซัลโวของทีมออก, เมซุต โอซิล ขวัญใจของแฟนบอล อาร์เซน่อล ก็อนาคตมืดสนิทในวันที่ อาร์เตต้า คุมทีม, นักเตะระดับครึ่ง ๆ กลาง ๆ มีผลงานไม่ชัดเจนอย่าง นิโคลัส เปเป้, อเล็กซ็องดร์ ลากาแซ็ตต์, โลรองต์ กอสเซียลนี่ และอีกสารพัดค่อย ๆ ถูกเขี่ยออกจากทีม

กลับกัน นักเตะที่ครั้งหนึ่งแฟนบอลเกลียดที่สุด ถึงขั้นตะโกนไล่กันซึ่งหน้าอย่าง กรานิต ชาก้า กลับมามีที่ยืนอีกครั้ง โดยเหตุผลเดียวที่ อาร์เตต้า เลือก ชาก้า มันก็เป็นเหตุผลเดียวกับเรื่องกันกับเรื่องที่กล่าวไปข้างต้น นั่นคือการเป็นคนที่มีคาแร็คเตอร์แข็งแกร่งพอจะรับมือกับความกดดันมหาศาล ยิงเจอช่วงเวลาที่ยากลำบาก นักเตะอย่าง ชาก้า ยิ่งอยากพิสูจน์ตัวเอง ซึ่งคาแร็คเตอร์แบบนี้คือคาแร็คเตอร์ที่เขาต้องการให้มีอยู่ในทีม

"ชาก้าคือนักเตะที่มีความสม่ำเสมอมากที่สุดคนนึง และเขาเป็นคนที่มีความแข็งแกร่งทางด้านจิตใจอย่างไม่น่าเชื่อ ยิ่งเขาเจอช่วงเวลาที่ยากลำบากขนาดไหน เขายิ่งทุ่มเทมากขึ้น พยายามทำให้ดีขึ้นในทุก ๆ วัน" อาร์เตต้า กล่าว

อาร์เซน่อล ในวันที่ อาร์เตต้า เข้ามา กับ อาร์เซน่อล ในวันนี้เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ไล่เรียงจากตำแหน่งผู้รักษาประตู จนถึงตัวสำรอง มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่อยู่ถึงชุดปัจจุบันนั่นคือ บูกาโย ซาก้า ... แสดงให้เห็นว่าคนที่จะอยู่ในทีมของเขาได้ ก็ต้องมีความพร้อมที่จะรับมือกับการโดนวิจารณ์ การเจาะหาปัญหาเพื่อหาทางแก้ การพูดคุยกันในแบบที่ดุเดือดเลือนพล่านแต่ว่ากันด้วยเหตุผล โดยเขาเคยพูดถึงนักเตะในอุดมคติว่า ทุกคนต้องยอมรับความแตกต่างของเพื่อนร่วมทีม และสำคัญที่สุดคือทุกคนต้องมองเป้าหมายเดียวกัน นั่นทำให้ไม่ว่าจะภาพบรรยากาศจะออกมาร้อนแรงแค่ไหน แต่ปลายทางไม่เปลี่ยนแปลง

"เราทุกคนแตกต่างกัน และนั่นคือความงดงามของมัน สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจที่สุดในทีมของเราคือเรามีเชื้อชาติที่แตกต่างกันถึง 19 สัญชาติ ภูมิหลังต่างกัน การศึกษาต่างกัน ภาษาต่างกัน วิธีการเลี้ยงดูต่างกัน"

"บางคนมีพ่อแม่ บางคนไม่มีพ่อแม่ บางคนมีพ่อแม่ที่หย่าร้าง บางคนมีพี่สาวน้องสาว น้องสาวหนึ่งคน พี่น้องห้าคน มันน่าทึ่งมากที่ทุกคนรวมเป็นหนึ่งเดียวกันด้วยจุดประสงค์เดียวและความรักเดียวซึ่งก็คือความรักในการเล่นฟุตบอล ผมชอบใช้เวลาร่วมกับพวกเขาและทำความเข้าใจว่าพวกเขาเป็นใครและพวกเขาต้องการทำอะไรกับชีวิตของพวกเขา"

นี่คือเรื่องของนอกสนามที อาร์เตต้า วางโครงสร้างและแนวคิดการอยู่ร่วมกันให้กับนักเตะในทีมของเขา ขณะที่ในสนามแน่นอนว่า เขาคือคนที่อนุญาตให้นักเตะในไทยวิจารณ์ ติติง หรือแนะนำกันได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้ "ความเป็นจริง" และเป็นการบอกเพื่อทำให้ศักยภาพของทีมดีขึ้น โดยเขาได้ยกตัวอย่างของการกระชากคอเสื้อคุยกันของ เบน ไวท์ และ ซินเชนโก้ ที่ อาร์เตต้า บอกว่า "ชอบแพชชั่นแบบนี้จากลูกทีมของเขาสุด"

"ผมรักมัน ... ไอ้ความรู้สึกแบบนี้แหละสุดยอด พวกเขากำลังเรียกร้องจากกันและกันมากขึ้น พวกเขาไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในสนาม หลังจากนั้นพวกเขาพยายามแก้ไข และยอมรับร่วมกัน แน่นอนว่าภาพมันออกมาเดือดและร้อนแรง แต่นั่นหมายความว่ามันมีความหมายกับพวกเขามาก การชนะก็ดี แต่พวกเขาคิดว่ามันจะดีกว่าถ้ายิงได้มากกว่านี้ หรือไม่ก็ชนะแบบไม่ต้องเสียประตู" อาร์เตต้า กล่าว

จะเห็นได้ว่าการผลัดใบของ อาร์เซน่อล ในยุค อาร์เตต้า ช่วยทำให้พวกเขาได้ทีมนักเตะทื่มีความมุ่งมั่น จิตใจเป็นนักสู้ และเป็นคนที่เปิดกว้างในรับรู้ข้อมูลต่าง ๆ ดังนั้นทุกอย่างมันก็สะท้อนให้เห็นออกมาในสนาม เดิมที ลิเวอร์พูล คือของแสลงของ อาร์เซน่อล มาโดยตลอด ไม่ใช่แค่ชนะ แต่ ลิเวอร์พูล เจอ อาร์เซน่อล ทีไรเป็นอันยิงเละซะทุกครั้ง

แต่เมื่อ อาร์เตต้า หาทีมของเขาเจอ หลายสิ่งก็เปลี่ยนไป พวกเขาลงสนามแบบไม่โดนลิเวอร์พูลข่มขวัญทั้งในแง่ของรูปเกม หรือในแง่ของสภาพจิตใจ ทุกคนจัดการหน้าที่ของตัวเองอย่างเเข็งขัน และเมื่อทำหน้าที่ของตัวเองเรียบร้อย พวกเขาก็ไม่ลังเลที่จะช่วยงานส่วนอื่น ๆ นอกเหนือจากความรับผิดชอบของตัวเอง ซึ่งเมื่อทุกคนคิดแบบนี้ การทำงานในเกมกับ ลิเวอร์พูล ที่ออกมันจึงไม่ใช่การทุ่ม 100% แต่มันแสดงออกว่า "มากยิ่งกว่านั้น"

ถ้าคุณเห็นภาษากายจากท่าดีใจของ อาร์เตต้า ในเกมที่ อาร์เซน่อล ชนะ ลิเวอร์พูล 3-1 คุณก็เข้าใจได้ดีว่า ในเกมที่ "ชี้เป็นชี้ตาย" พวกเขามุ่งมั่นขนาดไหน และนักเตะอาร์เซน่อลมีจิตใจเข้มแข็งพอที่จะ "เอาอยู่" ในเกมระดับนี้เเล้วนั่นเอง

 

โลกแห่งความเป็นเลิศ

แน่นอนว่าหลักการการทำงานแบบที่ อาร์เตต้า ทำกับ อาร์เซน่อล คือสิ่งที่ทีมที่ประสบความสำเร็จในโลกฟุตบอลล้วนเป็นกันทั้งสิ้น โม ซาลาห์ กับ ซาดิโอ มาเน่ โวยกันยับเหมือนมีรอยร้าว แต่พอถึงอีกเกมทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ ทั้งคู่เล่นเพื่อเป้าหมายเดียวกันเพื่อทำให้ ลิเวอร์พูล เป็นผู้ชนะ ... นี่คือสิ่งที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ สร้างทีมชุดนี้ขึ้นมาจนสมบูรณ์แบบ

ข้ามมาที่ฝั่งสีฟ้าของเมืองแมนเชสเตอร์ ... แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เควิน เดอ บรอยน์ กับ ดาบิด ซิลบา เคยด่ากันอย่างใส่อารมณ์ จนสื่อเตรียมจะขยายเรื่องนี้ แต่สุดท้าย เดอ บรอยน์ ก็ตอบเรื่องนี้ว่าเป็นธรรมชาติของคนทื่อยากจะเอาชนะ

"มันไม่มีอะไร ผมคิดว่าเราคุยกันนิดหน่อยในตอนนั้น มันเกิดขึ้นได้ มันไม่ใช่เรื่องผิด เพราะหลังจากนั้น 1 นาที มันก็จบลง นี่คือเรื่องที่เกิดขึ้นได้ในการทำงาน คุณมีปากเสียงกัน และบางครั้งการแบบนี้มันคือสิ่งที่จำเป็น ทุกอย่าง เริ่มและจบอย่างรวดเร็ว ไม่มีอะไรมากกว่านั้น" เดอ บรอยน์ กล่าวหลังเกมที่ แมนฯ ซิตี้ ชนะ นาโปลี 2-1

ไม่ใช่แค่นักเตะเท่านั้น โค้ชของ แมนฯ ซิตี้ ก็เป็นแบบนี้ เชื่อว่าทุกคนน่าจะเคยเห็นภาพของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ปรี่ลงมาในสนาม เพื่อสอน บ่น หรือโวยวายใส่นักเตะของเขาทันทีที่เกมจบลง ต่อให้ทีมจะชนะขาดลอยแค่ไหน โดยเขาก็อธิบายว่าเหตุผลที่ต้องทำแบบนั้นก็เพราะว่าเมื่อเห็นปัญหา ก็ต้องควรชี้ให้เห็นทันที เพราะเรื่องแบบนี้ปล่อยไว้ไม่ได้ จากปัญหาเล็ก ๆ ถ้าไม่ใส่ใจจะเป็นปัญหาที่ใหญ่ขึ้นได้ง่าย ๆ

ดังนั้นย้อนกลับมาดูที่ อาร์เซน่อล ในยุค อาร์เตต้า ตอนนี้ทุกอย่างคล้ายกันกับที่ คล็อปป์ สร้าง ลิเวอร์พูล, เป๊ป สร้าง แมนฯ ซิตี้ นั่นคือเขาเลือกนักเตะในทีมให้มีคุณสมบัติที่พร้อมรับคำวิจารณ์ มีจิตใจที่แข็งแกร่ง ไม่มีการพูดว่า "ไม่เป็นไร" ถ้าเกิดปัญหา กลับกันต้องรีบชี้ให้เห็นและแก้ให้ได้ให้เร็วที่สุด

คาแร็คเตอร์แบบนี้สะท้อนถึงผลการแข่งขันด้วย อาร์เซน่อล คือหนึ่งในทีมที่ตายยยากที่สุดในเวลานี้ หลายครั้งที่ช่วงท้ายเกมพวกเขาเปลี่ยนผลการแข่งขันได้สำเร็จจากจะแพ้กลายเป็นเสมอ จากจะเสมอกลายเป็นชนะ แน่นอนว่าสิ่งนี้เกิดจากการพยายามแก้ปัญหาที่เห็นอย่างรวดเร็วที่สุด ทุกคนสามารถวิจารณ์ และตะโกนใส่หน้ากันได้ ตราบใดที่สิ่งนั้นเป็นแรงพผลักดันกันและกันไปสู่ชัยชนะ

เพราะนี่คือโลกแห่งความเป็นเลิศ ถ้าคุณอยากเป็นผู้ชนะ มันไม่มีพื้นที่สำหรับความอ่อนแอ ไม่ว่าจะจากร่างกายและจิตใจ ดังนั้น อาร์เซน่อล ควรภูมิใจว่า พวกเขาได้สร้างกลุ่มนักเตะที่มีคาแร็คเตอร์ที่แข็งแกร่งขึ้นมาได้สำเร็จแล้ว สิ่งนี้จะเป็นพื้นฐานที่มั่นคง ที่ทำให้จากนี้ไม่ว่า มิเกล อาร์เตต้า จะต่อยอดอะไร ทุกอย่างจะไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว ไม่ต้องเสียเวลารอใคร เพราะทุกคนจะพร้อมพยักหน้ารับคำวิจารณ์ และรวมใจกันเพื่อสู้ชัยชนะให้ได้นั่นเอง

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Photo

วัชพงษ์ ดวงแปง

Main Stand's Backroom staff

Graphic

ปริญญา คงปันนา

กราฟฟิคหน้าโหด ทำงานด้วย Passion ว่างๆ ชอบไปคาเฟ่ หลงไหลในศิลปะ, การเดินทางและกีฬา