Feature

ผิดที่ใคร ไม่ใช่ประเด็น : ทางแยกของ "เจดอน ซานโช่" นักเตะที่เล่นฟุตบอลโดยใช้ความสุขขับเคลื่อน | Main Stand

เจดอน ซานโช่ ลงเล่นให้กับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เป็นภาคสอง พร้อมทำแอสซิสต์ด้วยรอยยิ้มเปื้อนหน้ามีความสุขที่สุดในรอบหลายเดือน เป็นภาพที่แฟน ๆ ของเขายินดีเป็นอย่างยิ่ง

 

เขาเจอคอมฟอร์ทโซนของตัวเองอีกครั้ง แต่ความสบายนี้ทำให้เขาหนีปัญหาได้พักเดียวเท่านั้น เพราะอีกไม่นานนักเขาจะต้องเจอเครื่องหมายคำถามตัวใหญ่เกี่ยวกับอาชีพนักฟุตบอลของเขา

นี่คือบทวิเคราะห์ที่เราจะมองผ่านอดีต และตั้งเป้าไว้ที่อนาคตของ เจดอน ซานโช่

เขา หรือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ใครจะต้องเสียใจกว่ากัน ... ติดตามที่นี่กับ Main Stand

 

เทน ฮาก vs ซานโช่ 

สถานการณ์ของ เจดอน ซานโช่ ตัวรุกของ แมนฯ ยูไนเต็ด อยู่ในสถานการณ์สุญญากาศมานาน เรื่องราวระหว่างเขาและกุนซืออย่าง เอริก เทน ฮาก คือจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมดที่ทำให้ปีกตัวทีมชาติอังกฤษรายนี้ ไม่ได้ปรากฏตัวในทีม แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นเวลานานถึง 4 เดือน ก่อนถูกส่งกลับให้ ดอร์ทมุนด์ สโมสรเก่ายืมตัวในแบบที่ ปีศาจแดง ต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ "ได้ไม่คุ้มเสีย" เพราะต้องช่วยออกค่าเหนื่อยให้กว่าครึ่งหนึ่ง ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้ 

สาเหตุของการยอมแบบเสียไม่ได้ครั้งนี้เกิดขึ้นจากการ "เถียงกัน" แถมยังเป็นการเถียงแบบ "ผ่านสื่อ" ระหว่าง เทน ฮาก กับ ซานโช่ เนื่องจาก เทน ฮาก ไปบอกกับสื่อว่า ซานโช่ มีการซ้อมที่เหยาะแหยะ ไม่จริงจัง ก่อนที่ ซานโช่ จะตอบกลับผ่านโซเชียลมีเดียว่า 

"ขอความกรุณาอย่าเชื่อทุก ๆ สิ่งที่คุณได้อ่านไป ผมจะไม่ปล่อยให้คนอื่นพูดในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง ผมฝึกซ้อมได้ดีมากตลอดสัปดาห์นี้ ผมเชื่อว่ามีเหตุผลอื่นที่ทำให้ผมไม่ได้อยู่ในทีม ผมถูกกระทำในฐานะแพะรับบาปมานานแล้ว ซึ่งมันไม่ยุติธรรมเลย สิ่งที่ผมต้องการคือการลงเล่นฟุตบอลด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าและสร้างผลงานให้ทีมของผม"

เรื่องมันเริ่มจากตรงนี้เลย และเสียงของโลกฟุตบอลก็แบ่งเป็นสองฝ่าย อย่างแรกคือการบอกว่า ซานโช่ ควรก้มหน้าก้มตาทำงานหนักเพื่อพิสูจน์ตัวเองมากกว่าการขอความเห็นใจและตอกกลับใส่ เทน ฮาก ผ่านโซเชี่ยลมีเดีย 

ส่วนอีกฝ่ายก็บอกว่า เทน ฮาก เป็นคนเล่นงาน ซานโช่ ผ่านสื่อก่อน ดังนั้นมันจึงแฟร์ที่ ซานโช่ จะตอบกลับตามมุมมองของเขา ... คุณล่ะคิดแบบไหนกับเรื่องนี้ ?

แต่ไม่ว่าคุณจะคิดยังไงมันก็ไม่สำคัญหรอก... เรื่องนี้มันเกิดขึ้นไปแล้ว ทุกฝ่ายต่างเริ่มชีวิตใหม่โดยไม่มีอีกคนมาเกี่ยวข้อง ตราบใดที่ ยูไนเต็ด ยังมีโค้ชชื่อ เอริก เทน ฮาก พวกเขาจะไม่มีนักเตะชื่อ เจดอน ซานโช่ ลงสนาม จนกว่าตัวนักเตะขอโทษกับการกระทำของตัวเอง ซึ่งนั่นเป็นเพียงทางออกเดียว 

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เรามาคุยเรื่องอนาคตกันดีกว่าว่า ซานโช่ ในวันที่ไม่มีโค้ชอย่าง เทน ฮาก เขาจะเป็นนักเตะที่เล่นสมราคากว่า 100 ล้านยูโรได้หรือเปล่า ? และเราจะลองวิเคราะห์จากองค์ประกอบหลาย ๆ อย่างที่เกิดขึ้นจากรอบ ๆ ของเรื่องทั้งหมด ... ไปดูกัน 

 

ปัญหานี้แก้ได้หรือไม่ ? 

นักฟุตบอลก็คือคนเราทั่วไปนี่แหละ พวกเขาก็เป็นพนักงานในองค์กร ซึ่งแต่ละคนก็มีนิสัยใจคอ สไตล์การทำงาน และสไตล์การปฎิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานที่แตกต่างกันออกไป บางคนมาทำงานสาย บางคนเลิกงานก็เลิกกัน เก็บกระเป๋ากลับบ้านไม่สุงสิงกับใคร บางคนรู้จักกับทุกคนในที่ทำงานเพราะช่างพูดช่างเจรจา ... ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นพนักงานสไตล์ไหน แต่ที่สุดแล้วสิ่งที่วัดผลงานกทำงานของพวกเขาได้ดีที่สุดคือสิ่งที่เรียกว่า "KPI" (Key Performance Indicator) หรือ ดัชนีชี้วัดผลงานหรือความสำเร็จของงาน โดยเทียบผลการปฏิบัติงานกับเป้าหมายหรือมาตรฐานที่ตกลงกันไว้  

สำหรับนักฟุตบอล โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับนักฟุตบอลที่รับค่าเหนื่อยสัปดาห์ละ 350,000 ปอนด์ (15.6 ล้านบาท) อะไรคือ KPI ที่สโมสรและผู้จัดการทีมต้องการจากเขา ? ... คำตอบนี้ต่อให้คุณไม่ใช่ผู้บริหารสโมสรฟุตบอลคุณก็น่าจะตอบได้ นั่นคือให้พวกเขาแสดงผลงานออกมาให้คุ้มค่าจ้าง ทำงานให้ได้ตามที่สโมสรและแฟน ๆ คาดหวัง หรืออย่างน้อยที่สุดหากพวกเขาสอบตกเรื่อง KPI พวกเขาต้องแสดงบางอย่างออกมาเพื่อส่งสัญญาณให้ผู้คนรอบ ๆ ตัวรู้ว่า "แม้ตอนนี้จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง แต่มีแววว่าอนาคตจะดียิ่งกว่านี้" 

ถ้า KPI เป็นไปตามนั้น คุณคิดว่า เจดอน ซานโช่ สอบผ่านหรือไม่ ? ... ตัวผู้เขียนมั่นใจว่าถ้าคุณเป็นแฟนของ แมนฯ ยูไนเต็ด คุณจะตอบคำถามนี้ได้อย่างทันที เพราะผลงานในสนามตอบชัดเจนอย่างเต็มที่ ซานโช่ ไม่ใช่ไม่เก่ง เราได้เห็นเทคนิคดี ๆ จากเขามากมาย แต่ถ้าถามว่าในเวลาที่ทีมต้องการเขา หรือในสถานการณ์ที่ต้องการใครสักคนขึ้นมาแบกทีม ซานโช่ ผู้เป็นนักเตะที่รับค่าเหนื่อยสูงระดับท็อป 3 ของทีมสามารถเป็นคนนั้นได้หรือเปล่า คำตอบคือ "เขาไม่เคยทำได้ใกล้เคียงเลยแม้แต่น้อย" 

แกร์รี่ ลินิเกอร์ ตำนานดาวยิงอังกฤษ พยายามอธิบายถึงคุณสมบัติของนักเตะอย่าง ซานโช่ ว่า เป็นนักเตะที่ต้องการการสนับสนุนสูง กล่าวคือไม่ใช่นักเตะประเภทบันดาลปาฏิหาริย์ได้ด้วยตัวคนเดียว แต่เมื่อไหร่ถ้าเขามี "ทีม" หนุนหลัง ซานโช่ จะเหมือนกับเสือติดปีกเพราะเป็นนักเตะทีมีเซนส์บอลสูง เลือกเล่นจังหวะสุดท้ายได้ดี มีความสงบเยือกเย็นในการตัดสินใจแต่ละครั้ง

ยกตัวอย่างเช่น นักเตะคนอื่นเมื่อเผชิญกับวิงแบ็กที่แข็งแกร่ง พวกเขาอาจจะใช้ความเร็วและเทคนิคในการเอาชนะ แต่ ซานโช่ คือนักเตะที่ "พาเพื่อนมาด้วย" เขาจะใช้วิธีเอาชนะแบ็กแบบแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นการดึงคู่แข่งออกมาจากตำแหน่งก่อนจะไหลบอลให้กับเพื่อนเป็นคนเข้าทำแทน หรือไม่ เขาก็จะใช้การชิ่งบอลในพื้นที่แคบ ๆ ในการเอาชนะ โดยที่เขาไม่ต้องเสี่ยงโดนเตะ โดนหวดให้เปลืองร่างกายเลยด้วยซ้ำ ... นี่คือจุดเด่นของเขา

แต่ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด การเข้าทำของทีม ๆ นี้ตรงข้ามกับสิ่งที่ ซานโช่ เป็น พวกเขาเน้นบอลไดเร็กต์จากหลังไปหน้า ใช้บอลเดินทาง มากกว่าการใช้นักเตะขึ้นไปยึดพื้นที่ในแดนของคู่แข่งแล้วปูพรมบุกใส่ นั่นแหละคือปัญหา เมื่อ ซานโช่ ต้องมาเจอกับสถานการณ์ 1-1 บ่อย ๆ เขาไม่เร็วและแข็งแรงพอที่จะเอาชนะคู่แข่งได้ สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ยิ่งเวลาผ่านไป ซานโช่ ก็แผ่วลงเรื่อย ๆ ฟอร์มที่เคยทำไว้กับ ดอร์ทมุนด์ ก่อนย้ายมาแทบไม่ปรากฏเลย

ส่วนปัญหานอกสนาม ซานโช่ ก็ใช่ว่าเป็นนักเตะที่ระเบียบวินัยเต็ม 100% เสียเมื่อไร เพราะนอกจากการที่ เทน ฮาก ออกมาบอกว่าเขา "อ่อนซ้อม" แล้ว เนมานย่า มาติช อดีตเพื่อนร่วมทีมก็ออกมาพูดผ่านสื่อว่า ซานโช่ เป็นเบอร์ต้น ๆ ของนักเตะที่มาซ้อมสายบ่อยที่สุดของ แมนฯ ยูไนเต็ด 

2 สิ่งนี้สัมพันธ์กันแน่นอน หน้าที่ของนักฟุตบอลคือการลงเล่นตามแผนที่โค้ชสั่ง และถ้าคุณไม่ถนัดการเล่นแบบนั้น สิ่งที่คุณทำได้มีเพียงอย่างเดียวคือการไปซ้อม และทำตัวเองให้ตอบโจทย์และเกิดประโยชน์กับทีมมากที่สุด ซึ่งคุณจะสามารถแก้ไขเรื่องนี้ได้หากคุณเป็นคนที่เอาจริงเอาจัง มีวินัย เป็นน้ำไม่เต็มแก้ว และอยากจะพัฒนาตัวเองจริง ๆ  

มีนักเตะหลายคนในโลกลูกหนังที่วินัยนอกสนามนั้นแสนจะหย่อนยาน เป็นแข้งเจ้าสำราญ มาซ้อมสาย ไม่ขยันซ้อม และวินัยนอกสนามไม่ดี แต่กลับประสบความสำเร็จในอาชีพได้ ยกตัวอย่างเช่น เอริก คันโตน่า, แมทธิว เลอ ทิสซิเอร์, ฮวน โรมัน ริเคลเม่, เอแด็น อาซาร์ พวกเขาเหล่านี้แตกต่างกับ ซานโช่ อยู่หนึ่งอย่างคือต่อให้พวกเขาไร้วินัย และพร้อมจะแหกกรอบเสมอ แต่เมื่อถึงเวลาลงสนาม พวกเขาจะสวมวิญญาณเป็น "เดอะ แบก" ของทีมได้ในทันที ถามหน่อยว่าใครจะปฏิเสธพวกเขาลง ? 

มันจะสำคัญอะไรถ้าคุณซ้อมดีเต็ม 100% แต่ลงสนามแล้วกลับป้อแป้ไม่เป็นท่า เพราะ KPI ที่จะใช้วัดคุณภาพคือการแข่งขันจริงต่างหาก ดังนั้นนักเตะ 4-5 คนที่กล่าวมาในข้างต้น พวกเขามีสิ่งที่เป็นเกราะกำบังคือพวกเขาทำ KPI ได้ดีตลอด เป็นคนที่องค์กรจะขาดไปไม่ได้ หรือถ้าวันไหนขาดไปส่งปัญหาต่อฟอร์มของทีมโดยรวมทั้งหมดแน่นอน  พวกนักเตะเหล่านี้จึงได้สิทธิ์พิเศษต่าง ๆ จากโค้ชของพวกเขา  เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ไม่เปิดไดร์เป่าผมใส่ คันโตน่า เหมือนกับนักเตะคนอื่น ๆ ในทีม, แมทธิว เลอ ทิสซิเอร์ ขาดซ้อมสัปดาห์ได้ 1-2 วัน, เอแด็น อาซาร์ ลงซ้อมแบบเฉื่อยชา ทำเป็นเล่นไม่จริงจัง แต่เมื่อเขาลงสนามเมื่อไหร่ เขาคว้ารางวัล แมน ออฟ เดอะ แมตช์ กลับมาได้ตลอด ไม่ว่ากุนซือ เชลซี ในยุคของเขาจะเป็นใครก็ตาม ไม่มีโค้ชคนไหนมีปัญหากับอาซาร์เลยสักครั้ง

ถ้าคุณเก่ง และมีผลงานการันตี คุณย่อมมีสิทธิ์พิเศษที่สมควรได้รับ แต่สำหรับ ซานโช่ เขายังไปไม่ถึงจุดที่ใกล้เคียงจุดนั้นเลย ดังนั้น เอริก เทน ฮาก จึงยังเข้มงวดกับเขา และนั่นทำให้เขาไม่สบอารมณ์ จนต้องกลับไปยังที่ที่เขาลงเล่นแล้วสบายใจอย่าง ดอร์ทมุนด์ อีกครั้ง  

เมื่อต่างฝ่ายต่างเจอกันตรงกลางไม่ได้ การแยกทางคือทางออกที่ดี และชีวิตของทั้ง 2 ฝั่งก็ดำเนินต่อไป ... แต่สิ่งที่ซ่อนอยู่จากเหตุการณ์นี้ มันก็ทำให้เห็นอะไรบางอย่างเช่นกัน 

 

ปลายทางของนักเตะข้อจำกัดเยอะ 

ไม่ว่าจะด้วยปัญหาพฤติกรรมในแง่ไหน จะหนักหรือเบาอย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สะท้อนออกมาในเรื่องนี้คือ ซานโช่ หนีปัญหาได้สำเร็จ แต่มันไม่ใช่ทางออกที่ยั่งยืน สักวันเขาจะหมดสัญญายืมตัวกับ ดอร์ทมุนด์ และหลังจากนั้นล่ะเขาจะเอายังไงต่อ ? 

เขาอาจจะไม่ได้เล่นให้กับ แมนฯ ยูไนเต็ด แล้ว แต่คำถามคือนักเตะพรสวรรค์อย่างเขา จะต้องลงเล่นภายใต้ข้อจำกัดมากมายแบบนี้ไปอีกถึงเมื่อไหร่ ? ซานโช่ มีศักยภาพพอที่จะเป็นนักเตะระดับโลก แต่คำถามหลังจากนี้คือเขาอยากจะไปถึงระดับนั้นจริง ๆ หรือไม่ 

นักเตะระดับโลกในทุกวันนี้มีบรรทัดฐานที่สูงขึ้นมาก ต้องลงเล่นแบบมีประสิทธิภาพ ยอดเยี่ยมในสนาม ไม่สร้างปัญหาเวลาอยู่นอกสนาม และสามารถรักษาฟอร์มได้ยาว ๆ หลายปี ยกตัวอย่างเช่น แฮร์รี่ เคน, โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้, โมฮาเหม็ด ซาลาห์ นักเตะพวกนี้พัฒนาตัวเองขึ้นตลอด มีการปรับวิธีการเล่นให้เหมาะกับตัวเองในแต่ละช่วงอายุ แถมนอกสนามก็ยังมีคนที่ดูแลตัวเองดีมาก ๆ พวกเขาเหล่านี้จึงอยู่ในฟอร์มระดับโลกได้ ทั้ง ๆ ที่บางคนอายุ 35-36 ปีไปแล้วด้วยซ้ำ 

ถ้าคุณติดตามข่าวอยู่บ้างคุณจะเห็นข่าวการเพิ่มชั่วโมงในโรงยิมของ ซาลาห์, การปรับเรื่องวิธีการออกวิ่งและวางเท้ายิงของ แฮร์รี่ เคน, การปรับเมนูอาหารและวิธีการออกกำลังของ เลวานดอฟสกี้ ... ทั้งที่พวกเขาก็เก่งโคตร ๆ อยู่แล้ว แต่นักเตะประเภทนี้ไม่เคยหยุดนิ่งเลยสักครั้ง พวกเขารักษามาตรฐานตัวเองได้เสมอ ด้วยการทำงานอย่างใส่ใจ หากวัด KPI นักเตะเหล่านี้ก็คงต้องบอกว่าเป็นพนักงานดีเด่นของสโมสร ได้ขึ้นบอร์ดประจำปีทุก ๆ ปีอย่างแน่นอน 

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัด ๆ อีกกรณี คือนักเตะรุ่นราวคราวเดียวกันอย่าง วินิซิอุส จูเนียร์ ที่เคยมีปัญหาเรื่องทัศนคติในสนาม ถึงขั้นโดน คาริม เบนเซม่า ต่อว่า (โดยสื่ออ่านปากมาอีกที) แต่ วินิ จูเนียร์ แก้ไขและพัฒนาตัวเองได้เร็วมาก จากนักเตะที่เคยเลี้ยงบอล ครองบอลเยอะ ทำอะไรผิดจังหวะจะโคนไปหมด เขาค่อย ๆ ซึมซับการสอนและเรียนรู้การเล่นตามแท็คติกของทีมผ่านยอดกุนซืออย่าง คาร์โล อันเชล็อตติ ทุกวันนี้ วินิซิอุส จูเนียร์ คือนักเตะที่ถูกประเมินค่าสูงที่สุดเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกไปแล้ว 

ถ้าถามว่าอะไรที่ให้ วินิซิอุส เปลี่ยนตัวเองจากนักเตะบราซิลจอมสำราญและแสนทะนงตัวที่พร้อมมาดับในยุโรปตามรอยใครหลายคน กลับกลายเป็นตัวความหวังของทีมอย่าง เรอัล มาดริด ได้ คำตอบก็ไม่แตกต่างกับนักเตระดับโลกที่เอ่ยมาก่อนหน้านี้ นั่นคือเขาใส่ใจกับงานที่ทำ ศึกษาเรียนรู้เพิ่มเติมทั้งในเชิงทฤษฎีและปฏิบัติ  

สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดเพื่อเปรียบเทียบให้เห็นภาพเท่านั้น เราไม่ได้บอกว่า ซานโช่ เป็นนักเตะที่พึ่งพาไม่ได้ หรือนิสัยแย่อะไร เขาอาจจะเป็นแค่คนสบาย ๆ และมีความอาร์ตในระดับหนึ่งเท่านั้น แต่รายละเอียดเล็ก ๆ ที่มาจากนิสัยเหล่านี้เป็นเหมือนเส้นบาง ๆ ที่กั้นระหว่างนักเตะเกรด บีบวก กับนักเตะระดับโลก จะว่าแบบนั้นก็คงไม่ผิดนัก 

เพราะในทุกเส้นทางของทุกอาชีพ หากคุณอยากจะเป็น "ที่สุด" คุณต้องทุ่มเทให้กับมันอย่างสุดชีวิตเหมือนกัน แม้กระทั่งนักเตะที่ยกตัวอย่างมาก่อนหน้านี้ว่าเก่งกาจแบกทีมได้แต่วินัยไม่ดีอย่าง คันโตน่า, อาซาร์ หรือ เลอ ทิสซิเอร์ พวกเขาก็เป็นนักเตะเก่งมาก ๆ แต่ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จถึงขีดสุด ถูกยกในระดับขึ้นหิ้งแต่อย่างใด 

คันโตน่า เก่งกาจและประสบความสำเร็จกับ ยูไนเต็ด ในช่วงสั้น ๆ ก่อนตัดสินใจเลิกเล่นไปเอง ตรงข้ามกันกับทีมชาติฝรั่งเศสที่เขาแทบไม่มีตัวตนเลย, อาซาร์ คว้าแชมป์มากมายกับ เชลซี แต่เมื่อถึงวันที่ร่างกายถดถอย เขาหมดสภาพตั้งแต่ก่อนอายุ 30 ปี, เลอ ทิสซิเอร์ ที่ใครยกย่องว่าเป็นพ่อมดลูกหนัง แต่ความสำเร็จสูงสุดในอาชีพของเขาคือการถูกเรียกว่าตำนานของ เซาธ์แฮมป์ตัน ทว่าไม่เคยคว้าแชมป์ และไม่เคยประสบความสำเร็จในระดับนานาชาติเลย 

ซานโช่ เองยังหนุ่มและมีเส้นทางให้ตัวเขาเลือกอีกมากมาย เขาจะเล่นฟุตบอลตามความสุข อยู่กับโค้ชที่ให้สิทธิพิเศษกับเขา อยู่กับทีมที่ใครก็เอาลูกฟุตบอลมาให้เขา มันก็ต้องแลกมาด้วยความสำเร็จในระดับสูง เพราะการที่คุณจะเป็นแชมป์ยุโรป แชมป์โลก หรืออยู่ในทีมที่เรียกว่า "โคตรทีม" ทุกเวลา ทุกนาที คือการขับเคี่ยวแย่งตำแหน่งเองภายในทีมเท่านั้น และคนที่ผ่านข้อจำกัดเหล่านั้นได้เท่านั้นที่จะเป็น 1 ในขุนพลของทีมที่ดีที่สุดในโลก 

เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ไม่เคยเก็บนักเตะที่ใหญ่กว่าเขา ใครที่ไม่พอใจกับบทบาทที่เขามอบให้เขาพร้อมจะปล่อยออกจากทีม, เยอร์เก้น คล็อปป์ สร้างทีมด้วยระบบที่นอกจากจะเต็มไปด้วยแข้งฝีเท้าดีแล้วยังเต็มไปด้วยนักเตะที่มีคาแร็คเตอร์แข็งแกร่ง พูดง่าย ๆ ว่า "ใจเท่ากัน" อยู่ในทีมของเขา, คาร์โล อันเชล็อตติ เสียนักเตะซีเนียร์ออกจากทีม เรอัล มาดริด ทุกปี แต่บริหารทีมด้วยกลุ่มนักเตะที่เขี้ยวลากดิน มาความยืดหยุ่นระหว่างม้าหนุ่มกับม้าแก่ แต่ทุกคนมี DNA ของแชมป์ 

กุนซือระดับโลกเหล่านี้ไม่เคยขอความเห็นใจและกอดเข่านักเตะคนไหนเพื่อรั้งเขาคนนั้นไว้กับทีม ... นักเตะที่จะอยู่ในทีมของพวกเขาได้ต้องพร้อมทั้งกายและใจ 

คำถามคือถ้า เจดอน ซานโช่ อยากไปอยู่บนจุดสูงสุดของโลกฟุตบอลแบบที่ความสามารถของเขามี เขาพร้อมที่จะละทิ้งทิฐิส่วนตัว และกระโจนเข้าสู่โลกแห่งความท้าทายและเสียสละเพื่อให้ได้เป็นนักเตะระดับโลก และประสบความสำเร็จในโลกลูกหนังแล้วหรือยัง ?

เรื่องนี้มีแต่ ซานโช่ เท่านั้นที่ตอบได้ 

 

แหล่งอ้างอิง

https://www.goal.com/en/lists/unacceptable-erik-ten-hag-slammed-man-utd-players-jadon-sancho-divided-dressing-room/blt3bf6d09b142d515d#cs63ee2335f9eec704
https://en.as.com/soccer/erik-ten-hag-explains-reason-for-excluding-jadon-sancho-n/

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Photo

วัชพงษ์ ดวงแปง

Main Stand's Backroom staff

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ