Feature

แดงเดือด 1915 : การห้ำหั่นระหว่างลิเวอร์พูลและแมนฯ ยูไนเต็ด ที่มีเรื่องล้มบอลมาเกี่ยวข้อง | Main Stand

Livervpool Manchester United 1915

เมื่อใดก็ตามที่โปรแกรมการแข่งขันระหว่างลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โคจรมาพบกันไม่ว่าจะทั้งเกมสุดสัปดาห์ เกมกลางสัปดาห์ หรือแม้แต่รายการแข่งขันอื่น ๆ นอกเหนือไปจากการเจอกันบนลีกสูงสุดอังกฤษ เชื่อเหลือเกินว่าการดวลกันของทั้งสองทีมนั้นถือเป็นศึกแห่งศักดิ์ศรีชนิดไม่มีใครยอมใคร จากชื่อชั้นและดีกรีที่สั่งสม ทั้งยังมีเรื่องประวัติศาสตร์ระหว่างสองเมืองมาเกี่ยวโยงด้วย

 

อย่างไรก็ดี หากย้อนกลับไปในปี 1915 กลับมีอยู่ครั้งหนึ่งที่การดวลกันระหว่างปีศาจแดงและหงส์แดง ไม่ได้การันตีองศาความเดือด พร้อม ๆ กับศักดิ์ศรีที่มีของทั้งสองสโมสร เพราะดันมีเหตุการณ์ “ล้มบอล” เข้ามาเกี่ยวข้อง 

เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกับเวลาแดงเดือดในเวลานั้น ทำไมถึงมีเกี่ยวโยงกับเรื่องสีเทาได้ มาติดตามไปพร้อม ๆ กันกับ Main Stand

 

ฟุตบอลลีกกับสงครามโลกครั้งที่ 1

เหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นในการแข่งขันฟุตบอลลีกสูงสุดของอังกฤษ ฤดูกาล 1914-15 ในสมัยที่ยังใช้ชื่อว่า ดิวิชั่น 1

ประเด็นสำคัญของการแข่งขันซีซั่นนี้คือบรรดา 20 ทีมที่อยู่โลดแล่น ต่างก็ลงห้ำหั่นกันท่ามกลางสภาวะที่โลกเข้าสู่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในทวีปยุโรปตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฎาคม 1914 

Livervpool Manchester United 1915

เมื่อโลกเข้าสู่ยุคสงครามโลก ผลกระทบที่ตามมาก็มีทั้งการชะงักงันของระบบเศรษฐกิจโลก กระทบกับแทบจะทุกแวดวงอาชีพอย่างยากจะหลีกเลี่ยง เรื่องของสงครามถูกหยิบยกมาพูดถึงเป็นวงกว้างมากกว่าเรื่องอื่นใด ขณะที่ชาติมหาอำนาจรวมถึงชาติพันธมิตรต่างก็พร้อมใจกันเรียกชายฉกรรจ์ในประเทศเพื่อเข้ามาเป็นสู่กองทัพ กลายมาเป็นทหารในแนวหน้า 

ผลสืบเนื่องจากการเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 ยังส่งผลมายังวงการฟุตบอลอังกฤษด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตัวนักฟุตบอล นอกเหนือไปจากการที่แต่ละคนอาจถูกเกณฑ์เข้ากองทัพอังกฤษแล้ว พวกเขายังต้องคอยกังวลกับเรื่องปัญหาปากท้องของทั้งตัวเองและครอบครัวไปด้วย เกิดข่าวลือมากมายว่าลีกอาจจะยุติการแข่งขันในระหว่างนี้ 

แน่นอนว่านักเตะหลาย ๆ คนย่อมมีความกังวลก่อขึ้นในตัว เพราะไม่รู้ว่าในอนาคต แต่ละคนจะได้กลับมาเป็นนักฟุตบอลอาชีพอีกเมื่อไร

ด้วยเหตุนี้ ทำให้พ่อค้าแข้งบางคน เลือกที่จะหาทางออกที่ดีที่สุด ณ ขณะนั้น แถมยังได้ผลลัพธ์แบบปัจจุบันทันด่วน นั่นคือการเข้าสู่วงการธุรกิจสีเทาอย่าง “การล้มบอล” ซึ่งที่อังกฤษในเวลานั้น การพนัน โดยเฉพาะการพนันทายผลการแข่งขันยังไม่ได้ถูกรัฐควบคุมหรือออกกฏหมายแบบเข้มงวดเหมือนทุกวันนี้ 

โดยแมตช์หนึ่งที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในช่วงกว่า 100 ปีที่แล้ว และมีหลักฐานยืนยันแบบแน่ชัด ก็คือการดวลกันระหว่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เปิดโอลด์ แทรฟฟอร์ด ปะทะแข้งลิเวอร์พูล ในวันที่ 2 เมษายน 1915 ซึ่งตรงกับวันศุกร์ประเสริฐ (Good Friday) หรือศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ (Holy Friday) ซึ่งเป็นวันสำคัญของคริสต์ศาสนิกชนนิกายโรมันคาทอลิกพอดิบพอดี

 

1915 ศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ที่มากับเรื่องอื้อฉาว 

เพราะสถานะของทั้งแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดและลิเวอร์พูลในยุคนั้น ไม่ได้เป็นทีมกลุ่มหัวตารางเหมือนในยุคสมัยให้หลัง โดยก่อนเกมที่ทั้งคู่ดวลกัน ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงโค้งสุดท้ายของซีซั่น 1914-15 พลพรรคหงส์แดงรั้งอันดับกลางตาราง ไม่มีลุ้นอะไรแล้วไม่ว่าจะพื้นที่แย่งแชมป์หรือหนีตกชั้น 

ในทางกลับกัน ปีศาจแดงกำลังจมปลักในอันดับลุ้นหนีตกชั้น พวกเขาจำเป็นอย่างยิ่งกับการคว้าชัยชนะเพื่ออยู่รอดปลอดภัย 

Livervpool Manchester United 1915

เมื่อทีมหนึ่งต้องการแต้มเพื่อต่อลมหายใจในลีกบน ขณะที่อีกทีม แม้จะเหลือแค่ลงเตะให้ครบตามโปรแกรม ทว่าด้วยการที่ฟุตบอลแข่งขันท่ามกลางภาวะสงครามที่กระทบกับทั้งโลก ดังนั้น สำหรับนักเตะอาชีพแล้ว เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นไม่แพ้เรื่องใด

ด้วยเหตุนี้ แข้งบางส่วนทั้งสองเร้ด แมชชีน รวมทั้งเร้ด เดวิลส์ จึงตัดสินใจล็อคผลการแข่งขัน เพื่อให้ได้มาทั้งผลประโยชน์ส่วนรวมและส่วนตัว 

“ด้วยสถานการณ์สงครามโลกครั้งที่หนึ่งที่ยืดเยื้อมาเป็นเวลาหลายเดือน มันทำให้ผู้เล่นเหล่านั้นเริ่มคิดกับตัวเองว่า “ถ้าฤดูกาลนี้ (1914-15) จบลง ก็อาจจะไม่มีใครมาตามเรื่องนี้ต่อได้”” BBC เผยความเห็นของแกรห์ม ชาร์ป นักข่าวกีฬาผู้สืบเจาะข้อมูลของเกมดังกล่าว 

มีรายงานจากผู้เห็นเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า ผู้เล่นทั้งสองทีมมาพบกันในผับที่เมืองแมนเชสเตอร์ เพื่อหารือเกี่ยวกับผลการแข่งขัน แน่นอนว่าทีมที่ชนะต้องเป็นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยการวางเดิมพันที่ว่ากันว่าเป็นข้อเท็จจริงก็คืออัตราต่อรอง 8/1 บ้างก็ว่า 7/1 ให้ยูไนเต็ดชนะด้วยสกอร์ 2-0

ก่อนที่ผลการแข่งขันต่อหน้าแฟน ๆ กว่า 18,000 คนที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด จะเป็นไปตามข้อตกลง ปีศาจแดงเอาชนะไป 2-0 อย่างไรเสีย ไม่ว่าจะรูปเกม ไปจนถึงโมเมนต์และการกระทำของนักเตะหลาย ๆ คนในสนามดันมีกลิ่นที่ไม่ชอบมาพากล

ยกตัวอย่างช็อตที่ยูไนเต็ดได้จุดโทษหลังออกนำไปแล้ว 1-0 กัปตันทีมในตอนนั้นอย่างแพทริค โอคอนเนลล์ กลับหวดบอลหลุดเป้าแบบไม่ต้องลุ้น และแทนที่จะรู้สึกผิดหวังที่ยิงหนีห่างสองลูกไม่ได้ เขากลับวิ่งกลับแดนตัวเองพร้อมหัวเราะออกมา

ขณะที่ลิเวอร์พูลก็โดนตั้งคำถามว่าเล่นแบบไม่จริงจัง ไม่ได้ให้ความรู้สึกฮึกเหิมเมื่อต้องมาเยือนทีมคู่ปรับต่างเมือง โอกาสจบสกอร์แทบไม่มีให้เห็น และนั่นก็รวมถึงรูปเกมการแข่งขันที่ดูไม่เหมือนแข่งฟุตบอลแบบจริงจังเลยแม้แต่น้อย

โอกาสเหน่ง ๆ ของหงส์แดงมีแค่จังหวะที่เฟรด แพกแนม ซึ่งไม่ได้มีส่วนพัวพันกับการล้มบอล กดบอลไปชนคานสนั่น อย่างไรก็ดี เพื่อนร่วมทีมจำนวนหนึ่งไม่ได้รู้สึกเสียดายที่ทีมพลาดได้ประตู ซ้ำยังออกอาการหงุดหงิดมากกว่าด้วยซ้ำ เพราะกลัวผลการแข่งขันจะเปลี่ยนจากข้อตกลงก่อนคิกออฟ

Livervpool Manchester United 1915

“ครึ่งหลังอัดแน่นไปด้วยฟุตบอลที่ไร้ชีวิตชีวา ยูไนเต็ดขึ้นนำ 2-0 โดยเหลือเวลาแข่งขันอีกตั้ง 22 นาที ดูเหมือนว่าพวกเขาจะพอใจกับผลสกอร์นี้ และไม่พยายามจะยิงประตูเพิ่มแล้ว ส่วนลิเวอร์พูลก็ไม่ได้ทำให้เห็นถึงความพยายามในการทำประตูทวงคืน” รายงานจาก Manchester Daily Dispatch ระบุ

แม้ผลการแข่งขันจะชื่นมื่นไปตามข้อตกลงที่ 2-0 จากการเหมาคนเดียวของจอร์จ แอนเดอร์สัน ในนาทีที่ 40 กับ 75 แต่เรื่องนี้ไม่ได้ถูกปล่อยผ่านไปแบบหน้าตาเฉย ที่สุดแล้วผู้ตัดสินในเกมก็สงสัยถึงความไม่ชอบมาพากลนี้ พร้อมนำเรื่องราวของแมตช์ดังกล่าวไปยังสมาคมฟุตบอลอังกฤษ (เอฟเอ) เพื่อสืบสวนสอบสวนต่อไปตามลำดับ

 

การสอบสวนและบทลงโทษของแมตช์อื้อฉาว

สมาคมฟุตบอลอังกฤษใช้เวลาในการสืบสวนสอบสวนกินเวลา 7 เดือนเต็ม ที่สุดแล้ว เอฟเอ ออกประกาศในวันที่ 23 ธันวาคม 1915 ว่าด้วยเรื่องบทลงโทษของผู้กระทำ โดยมีเบาะแสสำคัญจากเพื่อนนักเตะด้วยกันเอง อย่างเฟรด แพกแนมของลิเวอร์พูล โดยแพกแนมถึงขั้นขู่เพื่อนที่เลือกล็อคผลการแข่งขันด้วยซ้ำว่าจะทำประตูให้ทีม (แต่บอลไปชนคาน) 

ส่วนยูไนเต็ดมีแอนเดอร์สัน คนทำสองประตู ที่ปฏิเสธเข้าร่วมการล็อคผลฯ ขณะที่นักเตะปีศาจแดงอีกรายอย่าง บิลลี่ เมเรดิธ ยอมรับว่าไม่รู้มาก่อนว่าเพื่อนร่วมทีมทำเรื่องอื้อฉาว แต่ก็มีสงสัยว่าทำไมในเกมการแข่งขัน เพื่อนถึงไม่ค่อยส่งบอลให้เล่นเลย

บทสรุปของโทษคือการตรวจพบว่านักเตะของทั้งลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดมีส่วนเกี่ยวข้องกับความผิดถึง 7 คน ส่วนโค้ช สตาฟ และสโมสรไม่ได้มีความผิด เพราะไม่มีส่วนรู้เห็น

Livervpool Manchester United 1915

“(การสอบสวน) ได้รับการพิสูจน์ว่ามีเงินจำนวนมากเข้ามาเกี่ยวข้องผ่านการเดิมพันการแข่งขัน และผู้เล่นบางคนได้กำไรจากเรื่องนี้ ด้วยการกระทำของพวกเขา พวกเขาพยายามบ่อนทำลายโครงสร้างทั้งหมดของการแข่งขัน และทำให้วงการเสื่อมเสียชื่อเสียง ทั้งในแง่ของความซื่อสัตย์และความยุติธรรม” บักทึกคำแถลงการณ์ของเอฟเอ จากหนังสือ 'Free the Manchester United' ที่ถูกบันทึกโดยแกรห์ม ชาร์ป ระบุ

โดยทั้ง 7 คน ประกอบไปด้วยโธมัส แฟร์ฟาวล์, ทอม มิลเลอร์, บ็อบ เพอร์เซลล์ และแจ็คกี้ เชลดอน รวมจำนวน 4 รายจากฝั่งลิเวอร์พูล ส่วนแมนฯ ยูฯ มี 3 ราย คือแซนดี้ เทิร์นบูลล์, อาเธอร์ วอลลี่ย์ รวมถึงอีนอช เวสต์ ซึ่งทุกคนโดนโทษแบนห้ามเล่นฟุตบอลตลอดชีวิต

อย่างไรก็ดี เพราะอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 พอดิบพอดี นักเตะที่โดนโทษถึง 6 คนต้องกลายสถานะมาเป็นทหารในกองทัพ มีเพียงอีนอซ เวสต์ ที่ไม่ได้เข้าร่วม

และเพราะการเสียสละเพื่อชาติ ภายหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1 ฟุตบอลลีกอังกฤษกลับมาแข่งขันอีกครั้งในฤดูกาล 1919-20 ผลปรากฏว่าเอฟเอ ได้ลดโทษให้ทุกคนที่ไปรับใช้ชาติจากการเข้าร่วมกองทัพอังกฤษ คือปลดโทษแบนตลอดชีพในปี 1919 และให้กล่าวคำขอโทษต่อสาธารณชน ซึ่งทุกคนก็ทำตาม

กระนั้น กลับมีเพียง 5 คนที่ได้สิทธิ์ดังกล่าว คือแฟร์ฟาวล์ ซึ่งภายหลังกลับจากสงครามโลก เขาประกาศเลิกเล่นฟุตบอลทันที, มิลเลอร์, เพอร์เซลล์, เชลดอน และวอลลี่ย์ ส่วนแซนดี้ เทิร์นบูลล์ เสียชีวิตระหว่างปฏิบัติภารกิจที่ฝรั่งเศส ในปี 1917 

ส่วนอีนอช เวสต์ คนเดียวที่ไม่ได้เข้าร่วมกองทัพ และเป็นคนเดียวที่ยืนกรานในตอนแรกว่าไม่มีส่วนพัวพัน เขาตัดสินใจฟ้องกลับสมาคมฟุตบอลอังกฤษข้อหาหมิ่นประมาท 

อย่างไรก็ตาม บทสรุปของการต่อสู้คดีก็ชี้มูลความผิดไปยังเวสต์ ทำให้เขากลายเป็นคนเดียวที่ยังต้องโทษแบน และกินเวลาถึง 30 ปี กลายเป็นว่าตัวเขาเองก็ต้องเลิกเล่นฟุตบอลไปนับแต่นั้น

Livervpool Manchester United 1915

อนึ่ง บทลงโทษของเอฟเอ มีผลกับแค่นักเตะเท่านั้น การได้สองแต้ม (เกณฑ์คะแนนแต่เดิม) ของยูไนเต็ดในขวบปี 1914-15 ทำให้ทีมจบอันดับที่ 18 จาก 20 ทีม รอดพ้นจากการตกชั้น ก่อนที่ซีซั่นใหม่ 1919-20 จะเพิ่มทีมในลีกสูงสุดเป็น 22 ทีม ตามจำนวนสมาชิกแข่งขันที่เข้าสู่ระบบฟุตบอลลีกมากขึ้น

ที่สุดแล้วประเด็นการล้มบอลดังกล่าว ก็ได้กลายเป็นบทเรียนหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ ภายหลังมีการถอดบทเรียนจนทำให้อุตสาหกรรมฟุตบอลอังกฤษรุดหน้า แถมภูมิทัศน์ของการพนันกีฬาในอังกฤษก็ถูกทำให้เป็นกิจจะลักษณะมากขึ้น พร้อม ๆ กับความเข้มงวดเรื่องนักกีฬาอาชีพกับการเล่นการพนัน

และที่สำคัญ แดงเดือดล้มบอล 1915 นี้ คงเป็นเหตุการณ์ที่ทั้งลิเวอร์พูล รวมถึงแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คงไม่อยากจะบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์ของตัวเองสักเท่าไร

 

แหล่งอ้างอิง

https://theathletic.com/1812373/2020/05/22/liverpool-manchester-united-fix-match/ 
https://www.facebook.com/thekophq/posts/pfbid02gQi8Ti5TR34deBV5AnH2mEEn2cNH7zzBXPkqx2iYyZdNpwY1HR5aBUVuyq3JDPmbl 
https://en.wikipedia.org/wiki/1915_British_football_match-fixing_scandal  
https://www.westernfrontassociation.com/world-war-i-articles/the-manchester-united-v-liverpool-match-fixing-scandal-of-1915/  
https://www.bbc.com/news/uk-england-manchester-32152534  
https://www.thisisanfield.com/2023/06/the-story-of-liverpools-1915-match-fixing-scandal-with-man-united/ 

Author

พชรพล เกตุจินากูล

แฟนคลับเชลซี ติดตามฟุตบอลเอเชีย ไก่ทอดและกิมจิเลิฟเวอร์

Photo

วัชพงษ์ ดวงแปง

Main Stand's Backroom staff

Graphic

ปริญญา คงปันนา

กราฟฟิคหน้าโหด ทำงานด้วย Passion ว่างๆ ชอบไปคาเฟ่ หลงไหลในศิลปะ, การเดินทางและกีฬา