Feature

โคล พาลเมอร์ : เด็กสร้างชั้นดีของแมนฯ ซิตี้ ที่เตรียมไปเติบโตต่อกับเชลซี | Main Stand

เชลซี เป็นหนึ่งในทีมที่เสริมทัพในตลาดซื้อขายนักเตะรอบซัมเมอร์ 2023 มากมาย ชื่อของคริสโตเฟอร์ เอ็นคุนคู, นิโคลัส แจ็คสัน, โรเบิร์ต ซานเชซ, อักเซล ดิซาซี่, มอยเซส ไคเซโด้ ไปจนถึงโรเมโอ ลาเวีย ฯลฯ คือชื่อของแข้งใหม่ที่สิงห์บลูส์ดึงมาเสริมทัพเพื่อกลับมาสู่สถานการณ์ที่ควรจะเป็น หลังจากความล้มเหลวในซีซั่นก่อนหน้า (2022-23)

 


ไม่ว่าจะเป็นการเสริมทัพเพื่อทวงความยิ่งใหญ่ หรือเติมนักเตะเพื่อให้ได้ขุมกำลังเข้ามาแข่งขันกันเอง สู่โอกาสลงสนาม ตลอดจนเพราะการที่ทีมประสบปัญหานักเตะบาดเจ็บอยู่บ่อย ๆ จึงต้องการหานักเตะเพื่อมาทดแทนการขาดหายไปในแต่ละตำแหน่ง ทั้งหมดล้วนเป็นเหตุผลที่สิงโตน้ำเงินครามเลือกคว้าผู้เล่นมาเพิ่มเติมยันวันสุดท้ายของตลาดนักเตะในซัมเมอร์ 

โดยดีลสุดท้ายที่สิงห์บลูส์ดึงมาเติมแกร่ง คือ “โคล พาลเมอร์” จากแมนเชสเตอร์ ซิตี้

ทั้ง ๆ ที่กำลังเจิสจรัสกับเรือใบสีฟ้า แต่ทำไมดาวรุ่งสารพัดประโยชน์ในแนวรุกถึงเลือกเชลซีเป็นทีมใหม่ สตาร์ดีกรีทีมชาติอังกฤษชุดเยาวชนรายนี้จะเข้ามาเติมเต็มต้นสังกัดใหม่แห่งเวสต์ ลอนดอน ได้ดีแค่ไหน 

มาทำความรู้จักเจ้าตัวกันให้มากขึ้นไปพร้อม ๆ กันกับ Main Stand

 

เด็กในคาถาแมนฯ ซิตี้

โคล พาลเมอร์ เกิดและเติบโตขึ้นมาในเมืองไวเทนชอว์ ในแถบชานเมืองแมนเชสเตอร์ เมืองเดียวกับไทสัน ฟิวรี่ ยอดนักชกรุ่นเฮฟวี่เวท และมาร์คัส แรชฟอร์ด ดาวเด่นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นั่นหมายความว่าพาลเมอร์ เป็นแมนเชสเตอร์ ซิติเซ่น ขนานแท้ 

ว่ากันว่าในสมัยที่พาลเมอร์ยังเป็นเด็ก เจ้าหนูรายนี้เป็นคนที่ค่อนข้างเก็บตัว เป็นเหตุให้ครอบครัว โดยเฉพาะพ่อ ซึ่งเคยเป็นนักเตะระดับท้องถิ่น ลงเล่นในซันเดย์ ลีก มาก่อน เลือกที่จะพาลูกชายคนนี้ไปเปิดโลกจนเขาเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของตัวเองผ่านกีฬาฟุตบอล 

ไม่ว่าจะพาลูกไปเตะฟุตบอลเล่นภายในสวนสาธารณะ ตลอดจนพาลูกชายไปคัดตัวกับทีมน้อยใหญ่ ที่สุดทางบ้านก็รู้ว่าพาลเมอร์ มีดีพอที่จะก้าวขึ้นมาเป็นนักเตะอาชีพในอนาคตได้ และแน่นอนว่าตัวเจ้าหนูโคลเองก็พิสูจน์ให้เห็นแบบไร้รอยต่อ

แม้จะเคยถูกปฏิเสธในขณะร่วมทดสอบฝีเท้าสู่ทีมอคาเดมี่ของลิเวอร์พูล รวมถึงโบลตัน แต่ที่สุดโลกฟุตบอลก็หมุนให้โคล พาลเมอร์ มีชื่อติดทีมอคาเดมี่ของสองสโมสรดังแห่งเมืองแมนเชสเตอร์ คือแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

“ในชั้นประถมศึกษาเลย ผมเคยลงเล่นโดยมีผมกับเพื่อนอีกคน และต้องมาเจอกับคนอื่นทุกคนในห้องเลยครับ นั่นคือครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าผมก็เล่นฟุตบอลได้โอเคอยู่นะ” พาลเมอร์ ย้อนความสมัยเริ่มเล่นฟุตบอลครั้งแรก ๆ 

“พวกเขาแย่งบอลจากเท้าของผมได้อยู่บ้างนะ ก็พวกเขามีกันเป็นโขยงเลย ไม่นานหลังจากนั้นที่ผมได้ไปซิตี้เป็นครั้งแรกครับ”

ที่สุดแล้ว ครอบครัวพาลเมอร์ได้ตัดสินใจร่วมกันว่าจะให้เด็กชายโคล เป็นนักเตะอคาเดมี่ของเรือใบสีฟ้า ด้วยเหตุผลที่ว่าสิ่งอำนวยความสะดวกของซิตี้ ดูเพรียบพร้อม ดูทันสมัยมากกว่า รวมถึงการเป็นแฟนตัวยงของพลพรรคเรือใบอยู่แล้ว 

และนั่นก็ทำให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนนี้ กลายเป็นแข้งในคาถาของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยวัยในเวลานั้น 6 ขวบ เริ่มจากทีมรุ่นอายุไม่เกิน 8 ปี

ดูเหมือนว่าการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในอคาเดมี่แมนฯ ซิตี้ จะทำให้โคล พาลเมอร์ พัฒนาตัวเองและกลายเป็นนักเตะอาชีพได้อย่างเต็มภาคภูมิ 

สังเกตง่าย ๆ ในระหว่างที่เจ้าตัวอยู่สังกัดระบบเยาวชนสโมสร เขามักจะถูกเรียกตัวติดทีมชาติอังกฤษชุดเยาวชนอยู่เรื่อยมา ไล่ตั้งแต่รุ่นอายุไม่เกิน 15 ปี ไปจนถึงช่วงสมัยปัจจุบัน (2023) กับทีมรุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี ที่เพิ่งคว้าแชมป์ฟุตบอลยูโรมาหมาด ๆ

และโอกาสครั้งสำคัญที่ทำให้โคล พาลเมอร์ แจ้งเกิดในฐานะเพชรเม็ดงามผลผลิตเรือใบ คือการลงเล่นให้ทีมรุ่นอายุไม่เกิน 18 ปีร่วมกับสโมสร และได้ลงทำหน้าที่เป็นกัปตันทีมแมนฯ ซิตี้ รุ่นดังกล่าว ในฤดูกาล 2019-20 ด้วย

นี่คือฤดูกาลแจ้งเกิดของแข้งจากเมืองไวเทนชอว์อย่างแท้จริง โดยในฐานะกัปตัน โคลลงเล่นในรายการพรีเมียร์ลีก U18 ไปทั้งสิ้น 14 นัด เขาพกสถิติยิง 15 ประตู กับอีก 5 แอสซิสต์ 

เรียกได้ว่ามีส่วนกับประตูในนามซิตี้จูเนียร์คิดเป็นอัตรามากกว่า 1 ใน 3 ของประตูที่ทีมเยาวชนสโมสรทำได้ในปีนั้นด้วย (56 ประตู) แน่นอนว่าเจ้าหนูพาลเมอร์ช่วยทีมเป็นแชมป์ลีกเยาวชน

มากไปกว่านั้นคือการลงทำหน้าที่ในเกมเอฟเอ ยูธ คัพ ฤดูกาลเดียวกัน แถมยังเป็นคนทำประตูชัยในเกมชนะเชลซี 3-2 ได้ด้วย

ด้วยการที่โคล พาลเมอร์ จัดอยู่ในกลุ่มนักเตะมากพรสวรรค์ในอคาเดมี่ของเรือใบสีฟ้า เช่นเดียวกับเพื่อนร่วมรุ่นทั้งเลียม ดีแลป, ไทย์เลอร์ ฮาร์วูด-เบลลิส รวมถึงเจมส์ แม็คอาตี้ ที่สุดแล้ว นักเตะเหล่านี้ก็เริ่มทยอย ๆ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของทีมซีเนียร์ ภายใต้การคุมทัพของเป๊ป กวาร์ดิโอล่า

 

เฉิดฉายท่ามกลางซูเปอร์สตาร์ล้นทีม

2020-21 คือซีซั่นแรกที่โคล พาลเมอร์ ได้ลองชิมลางในนามทีมชุดใหญ่ของเรือใบสีฟ้า ซึ่งเป๊ป ให้โอกาสเจ้าหนูรายนี้ลงเล่นเกมแรกอย่างเป็นทางการในรายการลีก คัพ รอบสี่ และได้ลงเล่นเต็ม 90 นาที ช่วยทีมบุกชนะเบิร์นลี่ย์ถึงถิ่น 3-0

ต่อจากนั้นโอกาสครั้งใหญ่มาต่อเนื่อง เมื่อกุนซือสแปนิชส่งดาวเตะเจ้าของเบอร์เสื้อ 80 ลงเล่นเป็นสำรอง 8 นาที ในเกมบุกชนะโอลิมปิก มาร์กเซย ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีดชก 3-0

แม้จะลงสนามให้ทีมชุดใหญ่แค่สองนัด แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่แมนฯ ซิตี้ พร้อมจะผลักดันโคล พาลเมอร์ ไปจนสุดทาง เพราะหนึ่งปีต่อมา (2021) สโมสรตัดสินใจขยายสัญญาเขาออกไปจนถึงปี 2026

“เป็นช่วงเวลาที่น่าภาคภูมิใจมาก ๆ ครับ คือฝันที่เป็นจริง และผมคิดว่าครอบครัวของผมก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน แน่นอนว่าตอนที่ผมเคยไปสวนสาธารณะกับครอบครัว เพื่อเล่นฟุตบอลเมื่อตอนที่ผมยังเด็ก เราเคยวาดฝันถึงช่วงเวลาแบบนี้อยู่เสมอ ดังนั้น พวกเราจึงมีความสุขกันมาก ๆ” ส่วนหนึ่งของบทสัมภาษณ์จากพาลเมอร์ ผ่านช่องทางการสโมสร CityTV

“เพราะคุณกำลังฝึกซ้อมกับผู้เล่นที่ดีที่สุดในทุก ๆ วัน ดังนั้นคุณจะมีแต่ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป”

หลายต่อหลายครั้งที่เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เคยให้สัมภาษณ์ถึงการให้โอกาสยังบลัดรายนี้สู่ชุดใหญ่ของสโมสร หนึ่งในนั้นคือประโยคที่ว่า : “สิ่งที่ผมประทับใจมากที่สุดคือทัศนคติของเขา เขาเป็นคนที่อ่อนน้อมถ่อมตน ทำงานหนักอยู่ตลอด มีสัญชาตญาณเต็มเปี่ยม และเป็นนักเตะที่ครบเครื่องมากทีเดียว”

ถึงแม้จะยังไม่ได้เป็นตัวหลักของทีม แต่ภายหลังการขยายสัญญาฝากอนาคตที่เอติฮัด สเตเดี้ยม สปอตไลท์ก็ส่องมาหาตัวของโคล พาลเมอร์ อยู่เรื่อย ๆ ไล่มาตั้งแต่ทำประตูแรกในทีมชุดใหญ่ในเกมคาราบาว คัพ ที่ชนะวีคอมบ์ในเดือนกันยายนของปีที่ต่อสัญญายาว 

แม้จะมีอาการบาดเจ็บบริเวณเท้าที่รบกวนเส้นทางที่เฉิดฉายไปบ้างในซีซั่นนั้น แต่ถึงอย่างไร เมื่อใดก็ตามที่ได้โอกาสลงสนาม เขาก็ตอบสนองกับโอกาสที่ได้รับอยู่เสมอ

2022-23 เป็นขวบปีที่โคล พาลเมอร์ ได้โอกาสจากเป๊ปมากที่สุด เจ้าตัวได้ลงเล่นให้ทีมรวมทุกรายการไปถึง 25 นัดด้วยกัน แน่นอนว่าเขาเป็นหนึ่งในขุมกำลังซิตี้ชุดคว้าเทรเบิ้ลแชมป์ ที่ประกอบไปด้วยแชมป์พรีเมียร์ลีก เอฟเอ คัพ รวมถึงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก

ต่อเนื่องมายังซีซั่น 2023-24 ฟอร์มของเจ้าหนูผู้ที่เกิดในปี 2002 ยังคงทำให้เห็นเป็นที่ประจักษ์อยู่เสมอ โดยเฉพาะผลงานหนึ่งประตูจากเกมคอมมูนิตี้ ชิลด์ 2023 ที่แมนฯ ซิตี้ เจ๊าอาร์เซนอล ในเวลา 90 นาที 1-1 ก่อนจะพ่ายจุดโทษ 1-4 รวมถึงผลงานอีกหนึ่งตุง ในเกมเสมอเซบีย่า 1-1 ก่อนจะเอาชนะในการดวลลูกโทษ 5-4 ศึกยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ

ทำให้คอฟุตบอลหลาย ๆ คนแทบจะมองในมุมเดียวกันว่า โคลในวัย 21 ปี โคล พร้อมจะเฉิดฉายเส้นทางฟุตบอลของตัวเอง ควรได้โอกาสลงเล่นมากกว่าโอกาส 25 นัด ในซีซั่น 2022-23 ได้แล้ว เพราะเขามีทั้งประสบการณ์และทำประตูสำคัญ ๆ ในเกมระดับเมเจอร์ ตลอดจนพกดีกรีแข้งแชมป์ฟุตบอลยูโร U21 มาหมาด ๆ ด้วย

และเมื่ออยู่ในสถานะที่สุกงอมชนิดที่พร้อมลงเล่นเป็นตัวจริงได้ไม่แพ้ใคร จนกล่าวได้ว่าซีซั่น 2023-24 คือช่วงเวลาพอเหมาะพอเจาะที่โคล พาลเมอร์ ควรได้สัมผัสประสบการณ์ลูกหนังแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยกับสโมสรที่เขาอยู่มาตั้งแต่อายุไม่ถึงสิบขวบ 

ถึงขั้นที่ว่าใครหลายคนยกย่องให้เจ้าตัวเป็นแข้งขาประจำทางริมเส้นด้านขวา แทนที่ของริยาด มาห์เรซ ที่ทัพเรือใบขายให้อัล อาห์ลี ในซาอุดีอาระเบีย ด้วยซ้ำไป

แต่กระนั้น โอกาสได้เฉิดฉายบนเส้นทางฟุตบอลของพาลเมอร์ กลับไม่ได้อยู่ที่แมนฯ ซิตี้ต่อ

จากเดิมที่สโมสร เคยยืนกรานว่าจะไม่ปล่อยลูกหม้อรายนี้ ในทุก ๆ รูปแบบของสัญญา ไม่ว่าจะขายขาดหรือยืมตัวในช่วงต้นปี 2023 ทว่าเมื่อเข้าสู่ตลาดนักเตะซัมเมอร์กลางปี กลับมีรายงานสโมสรพร้อมจะปล่อยแข้งในคาถารายนี้ออกจากทีม และพร้อมปล่อยในรูปแบบสัญญาขายขาดถาวรด้วย

สาเหตุสำคัญที่ทีมแชมป์ลีกอังกฤษและแชมป์ยุโรปปีล่าสุดปักป้ายขาย หนีไม่พ้นเรื่องขนาดขุมกำลังแนวรุกทีมที่อัดแน่น โดยเฉพาะการได้ตัวเฌเรมี่ โดกู มาจากแรนส์ ซึ่งปีกเบลเยี่ยมรายนี้มีทั้งสไตล์การเล่นและตำแหน่งการยืนคล้ายคลึงกับพาลเมอร์แบบไม่มีผิด กล่าวคือ เป็นตัวรุกฝั่งขวาที่เล่นเท้าซ้ายได้ดี แถมยังขยับไปเล่นเป็นมิดฟิลด์เบอร์ 10 ได้ 

ยังไม่นับข่าวลือหนักหน่วงในโค้งสุดท้ายของตลาดซื้อขาย ที่เรือใบสีฟ้ากำลังจะได้ตัวมาเธอุส นูเนส แข้งสารพัดประโยชน์มาจากวูล์ฟส์อีกราย ซึ่งที่สุดพวกเขาก็ได้สตาร์โปรตุกีสสมใจ

ทั้งหมดส่งผลมาถึงตัวของพาลเมอร์แบบยากจะหลีกเลี่ยง ซึ่งซิตี้ก็พร้อมขายนักปั้นดุจเพชรเม็ดงามรายนี้ ที่สัญญายังเหลือกับทีมอีกสามปีทันทีหากมีข้อเสนอที่น่าสนใจยื่นเข้ามา 

ขณะที่ฝั่งนักเตะเองก็พร้อมออกไปหาความท้าทายใหม่ ๆ เพราะดังที่เกริ่นไปก่อนหน้า เขาเองก็อยู่ในวัยที่ต้องการโอกาสมากกว่านี้

และแล้วกับคำกล่าวที่ว่า “แยกย้ายไปเติบโต” ก็มาเกิดขึ้น เมื่อเชลซี ที่ปฏิบัติการณ์สายฟ้าแลบในช่วงก่อนปิดตลาด จัดการดึงแนวรุกอนาคตไกลรายนี้มาร่วมก๊วน 

พาลเมอร์ ปิดฉากสถิติลงเล่นให้สโมสรที่ปลุกปั้นเขาตั้งแต่เด็กไว้ที่ 41 เกม รวมทุกรายการ ยิง 6 ประตู กับอีก 2 แอสซิสต์ เตรียมลงไปเล่นในเมืองหลวงกับสิงโตน้ำเงินคราม

 

พาลเมอร์เป็นสิงห์บลูส์

7 ปี พ่วงออปชั่นขยายเพิ่มอีกปี นี่คือสัญญาที่ทัพสิงห์บลูส์ มอบให้แด่โคล พาลเมอร์ ในฐานะแข้งป้ายแดงหมายเลข 20 ของสโมสร

ค่าตัวราว 42.5 ล้านปอนด์ แน่นอนว่าเป็นตัวเลขที่เชลซียังคงเดินกลยุทธ์ของตัวเอง อย่างแนวทางเรื่อง “ค่าตัดจำหน่าย” หรือแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายทางบัญชีแบบรายปีให้น้อยลง สำหรับเคสของโคล พาลเมอร์ นั้น ทัพเดอะ บลูส์ ลงในบัญชีแต่ละรอบปีสำหรับการแบ่งจ่ายเงินให้เจ้าตัวตกปีละประมาณ 5.71 ล้านปอนด์ เท่านั้น

การตัดสินใจเข้ามาเป็นนักเตะใหม่แห่งสแตมฟอร์ด บริดจ์ ของโคล พาลเมอร์ นับว่ามีหลายเหตุปัจจัยส่งเสริม ไล่มาตั้งแต่การผลักดันดีลนี้ของเชลซี โดยโจ ชิลด์ส ในฐานะผู้อำนวยการร่วมฝ่ายสรรหาและบุคลากรของสโมสร ซึ่งเคยทำงานเป็นหัวหน้าฝ่ายจัดหางานอคาเดมี่ที่ซิตี้มาก่อน

ไปจนถึงการที่เดอะ บลูส์ มีนักเตะที่โคล คุ้นเคยหลายคน ทั้งราฮีม สเตอร์ลิ่ง และโรเมโอ ลาเวีย ซึ่งเคยเป็นนักเตะสังกัดเรือใบสีฟ้า รวมถึงลีวาย โคลวิลล์และโนนี่ มาดูเอเก้ สองดาวรุ่งสิงโตคำรามที่ช่วยกันพาทีมชาติอังกฤษผงาดแชมป์ฟุตบอลยูโรเยาวชนในซัมเมอร์ 2023

“ในการย้ายมาอยู่กับสโมสรใหม่โดยรู้ว่าผมมีเพื่อนที่ดีมาก ๆ อยู่ 4 คนที่นี่ ได้รู้ว่าพวกเขาพร้อมที่จะช่วยผมปรับตัว การรู้จักพวกเขาช่วยให้ผมตัดสินใจย้ายมาที่นี่ด้วย” ดาวเตะเจ้าของส่วนสูง 182 เซนติเมตร ยืนยันผ่านเว็บไซต์ทางการเชลซี

ส่วนเหตุผลที่เชลซี ภายใต้การคุมทีมของเมาริซิโอ้ โปเช็ตติโน่ ต้องการตัวดาวรุ่งชาวอังกฤษรายนี้ก็ไม่มีอะไรซับซ้อน 

กล่าวโดยสรุปออกมาเป็นสาเหตุใหญ่สามประการคือ เพื่อกลับมาอยู่ในเส้นทางที่ควรจะเป็นหลังล้มเหลวจบอันดับ 12 แถมไม่ได้ไปถ้วยฟุตบอลสโมสรยุโรปแม้แต่รายการเดียว เพื่อทดแทนอาการเจ็บของนักเตะที่ผลัดกันเข้าโรงหมอเป็นว่าเล่น 

และเพื่อเข้ามาแข่งขันกัน ตลอดจนดึงเข้ามาใช้งานตามแต่ละแท็คติกและรูปแบบการเล่นในแต่ละนัด ซึ่งต้องเจอคู่แข่งที่ต่างกันไป

โปเช็ตติโน่ สามารถใช้งานโคล พาลเมอร์ ลงเล่นได้แทบจะทุกตำแหน่งในเกมรุก เพราะตลอดช่วงเวลาที่ลงเล่นให้แมนฯ ซิตี้ ภายใต้เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เขาพัฒนาตัวเองจนกลายเป็นแข้งสารพัดประโยชน์ที่เล่นได้ทั้งแนวรุกริมเส้นฝั่งขวา ฝั่งซ้าย เล่นเป็นกองกลางหมายเลข 10 เล่นเป็นกองกลางตัวอิสระ หรือจะปรับไปยืนเป็นกองหน้าตัวหลอก (False 9) ก็ยังได้

“ผมเคยเล่นแบ็คซ้ายตอนอยู่กับทีมรุ่นอายุไม่เกิน 10 ปี (แมนฯ ซิตี้)” พาลเมอร์ เล่าย้อนความ หลังกลายมาเป็นนักเตะใหม่เชลซี 

“จากนั้นผมผันไปเล่นมิดฟิลด์ ตามด้วยปีกขวา, ปีกซ้าย และกองหน้า ผมได้ลงตัวจริงนัดแรกให้ซิตี้ในตำแหน่งกองหน้า ดังนั้นผมเล่นเกมรุกมาทุกบทบาทแล้วครับ แต่ผมคงบอกว่าปีกขวาและตัวทำเกมเบอร์ 10 คือ 2 ตำแหน่งที่ดีที่สุดของผมนะ” 

“ตอนอยู่อคาเดมี่ (แมน ซิตี้) ผมเล่นเบอร์ 10 เสียเป็นส่วนใหญ่ และในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ผมจะยืนปีกขวาเป็นหลัก แต่ผมพร้อมช่วยทีมไม่ว่าจะในตำแหน่งใดก็ตามครับ”

โคล พาลเมอร์ เคยถูกเป๊ป กวาร์ดิโอล่า ขัดเกลาจนกลายเป็นนักเตะดาวรุ่งน่าจับตามองคนหนึ่งของโลกลูกหนัง

มาวันนี้เขาขยับตัวเองออกมาจากบ้านที่ชื่อแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพื่อคว้าโอกาสและประสบการณ์ครั้งใหม่กับเชลซี 

หากยังรักษามาตรฐานการเล่นของตัวเองไว้ได้ พร้อม ๆ กันกับเรียนรู้และเปิดรับโอกาสเพื่อการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง 

เชื่อเหลือเกินว่าพาลเมอร์ มีดีพอที่จะก้าวขึ้นมาเป็น “โคล” คนที่สาม ต่อจากโจ (โคล) และแอชลี่ย์ (โคล) ที่ประสบความสำเร็จ พร้อม ๆ กับเป็นขวัญใจแฟน ๆ สิงโตน้ำเงินครามทั่วสารทิศ

 

แหล่งอ้างอิง

https://www.bbc.com/sport/articles/cx9rv0wk4eqo 
https://th.mancity.com/news/mens/title-5things-you-did-not-know_-cole-palmer_th-63742911 
https://www.mancity.com/players/cole-palmer 
https://lifebogger.com/cole-palmer-childhood-biography-story-facts/ 
https://www.chelseafc.com/th/news/article/palmer-first-words-reuniting-with-raheem-and-targeting-trophies-at-chelsea  
https://theathletic.com/4822104/2023/09/01/cole-palmer-chelsea-transfer-profile/  

Author

พชรพล เกตุจินากูล

แฟนคลับเชลซี ติดตามฟุตบอลเอเชีย ไก่ทอดและกิมจิเลิฟเวอร์

Photo

ปฐวี ยอดเนียม

Man u is No.2 But YOU is No.1

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ