Feature

ผี vs ปืน : ย้อนรอยการชิงเบอร์ 1 อังกฤษ อาร์เซนอล - แมนฯ ยูไนเต็ด ยุคกลาง 1990s - ต้น 2000s | Main Stand

หากพูดถึงเกมแห่งศักดิ์ศรีของหลาย ๆ ทีมในลีกฟุตบอลอังกฤษ แน่นอนว่าใครหลายคนย่อมมีภาพจำกับศึกดาร์บี้แมตช์ระหว่างสโมสรที่ตั้งอยู่ในเมืองเดียวกัน หรือแม้แต่ความบาดหมางเชิงประวัติศาสตร์และการเมืองระหว่างทีมต่างเมือง 

 


อย่างการดวลกันระหว่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ ลิเวอร์พูล หรือเกมแดงเดือด ที่ว่ากันว่ามีจุดเริ่มต้นมาตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมของอังกฤษ ศึกดาร์บี้แมตช์แห่งลอนดอนตะวันออก ระหว่าง เวสต์แฮม กับ มิลวอลล์ ที่มักจะปรากฏภาพแฟนบอลเลือดตกยางออกอยู่ร่ำไป ไปจนถึงเกมลอนดอนดาร์บี้ตอนเหนือระหว่าง อาร์เซนอล และ ท็อตแนม ฮอตสเปอร์

อย่างไรก็ตาม ยังมีการดวลกันอีกคู่หนึ่งที่จะไม่เอ่ยถึงไม่ได้ นั่นคือการดวลกันระหว่าง อาร์เซนอล กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ถึงแม้ว่าทั้งสองสโมสรจะไม่ได้มีความบาดหมางกันในเชิงพื้นที่ ที่ตั้งสโมสร หรือความขัดแย้งกันจากประเด็นด้านประวัติศาสตร์และการเมืองเหมือนทีมอื่น ๆ แต่การดวลกันของทั้งคู่กลับถูกยอมรับเรื่องการเป็น “อริ” ระหว่างกันที่ไม่มีใครยอมใครง่าย ๆ โดยเฉพาะช่วงสมัยระหว่างกลางยุค 1990s ไปจนถึงต้นยุค 2000s 

การขับเคี่ยวกันระหว่าง ปืนใหญ่ กับ ปีศาจแดง เกิดขึ้นจากเหตุผลใดบ้าง ทำไมศึกระหว่างทั้งสองทีมถึงได้รับการยกย่องจากคนลูกหนังว่ามีความยิ่งใหญ่ไม่แพ้ดาร์บี้แมตช์ หรือเกมแห่งศักดิ์ศรีใด ๆ บนเกาะอังกฤษ

ติดตามไปพร้อม ๆ กันกับ Main Stand

 

บันทึกความเดือด เริ่มต้นที่ยุค 1990s 

การห้ำหั่นของทั้งสองทีมในยุคแรก ต้องย้อนไปตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 โดยเกิดขึ้นในเดือนตุลาคม 1894 และเมื่อกาลเวลาเปลี่ยนผ่านมาสู่อีกยุค ทั้ง แมนฯ ยูไนเต็ด และ อาร์เซนอล ยังคงมีโอกาสได้ปะทะแข้งกันบ่อยครั้ง 

อย่างไรก็ดี ทั้งสองทีมไม่ได้มีความบาดหมางหรือเรื่องไม่ลงรอยกันแบบเป็นกิจจะลักษณะ 

สำหรับพลพรรคปีศาจแดง การดวลแข้งกับไอ้ปืนใหญ่ไม่ได้จุดองศาร้อนเท่าเกมแดงเดือดกับ ลิเวอร์พูล ศึก แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หรือแม้แต่ สงครามดอกกุหลาบ กับ ลีดส์ ยูไนเต็ด เช่นเดียวกัน การดวลกับแมนฯ ยูไนเต็ด ของอาร์เซนอลก็ไม่ได้มีความเข้มข้นเท่าการดวลกับสเปอร์สใน นอร์ทลอนดอน ดาร์บี้

จนกระทั่งเดือนตุลาคม 1990 จากที่ไม่ได้มีบันทึกเหตุการณ์แบบเป็นลายลักษณ์อักษรถึงความเดือดระหว่างกัน ในที่สุดก็มีเหตุการณ์ที่มากกว่าการดวลแข้งกันในสนามจนได้ 

ในซีซั่น 1990-91 หนึ่งในโปรแกรมที่อาร์เซนอลต้องเผชิญกับเส้นทางลุ้นแชมป์ลีกสูงสุดสมัยที่ 10 คือการออกไปเยือน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด โดยผลการแข่งขันออกมาเป็นทัพปืนโตที่บุกเฉือน 1-0 จาก อันเดอร์ส ลิมพาร์ แนวรุกสวีดิช 

แต่กระนั้น ไฮไลต์ไม่ได้อยู่แค่ประตูโทนของลิมพาร์เพียงอย่างเดียว เพราะในครึ่งหลังได้เกิดเหตุการณ์ตะลุมบอนเวลาราว 20 วินาที จากนักเตะ 21 คนของทั้งสองทีม 

เหตุการณ์เริ่มจากการกระทบกระทั่งกันของ เดนนิส เออร์วิน, ไบรอัน แม็คแคลร์ สองแข้งปีศาจแดง และ ไนเจล วินเทอร์เบิร์น ของอาร์เซนอล

ถึงแม้ว่าผู้ตัดสินจะสรุปเหตุการณ์ในสนามได้แค่การคาดโทษใบเหลืองและแจกแค่สองใบ ทว่าเมื่อฝ่ายจัดการแข่งขันลีกสูงสุดอังกฤษประเมินในภายหลังก็มีบทลงโทษใหม่คือตัดแต้ม อาร์เซนอล และ แมนฯ ยูไนเต็ด 2 และ 1 แต้ม ตามลำดับ

แม้ทีมจากลอนดอนเหนือจะโดนตัดแต้ม ทว่าที่สุดแล้วพวกเขาแข็งแกร่งพอที่จะผงาดแชมป์ลีกสูงสุดอังกฤษมาครองเป็นสมัยที่ 10 สมใจ

แต่ถึงกระนั้น สีสันในการดวลแข้งกันของทั้งสองสโมสรเริ่มเป็นที่พูดถึงในกาลต่อมา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะหลายฤดูกาลถัดจากนั้น เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เริ่มปรับเสริมเติมแต่งปีศาจแดงจนกลายเป็นทีมขาประจำลุ้นแชมป์ลีกสูงสุด ซึ่งช่วงรอยต่อภายหลังจากที่ลีกเปลี่ยนชื่อจากดิวิชั่น 1 มาเป็นพรีเมียร์ลีก กุนซือแดนวิสกี้พา แมนฯ ยูไนเต็ด เถลิงแชมป์ลีกถึง 3 สมัยคือ 1992-93, 1993–94 และ 1995–96

ทางฝั่งอาร์เซนอลที่มีสถานะเป็นทีมกลุ่มบนของตารางคะแนนมาช้านานก็ต้องหาแนวทางใหม่ ๆ เพื่อนำทีมกลับมาสู่เส้นทางแชมป์ และสิ่งที่ยอดทีมแห่งถิ่นไฮบิวรี่เลือกทำในเวลานั้นคือการแต่งตั้งกุนซือคนใหม่ที่แทบไม่มีใครเคยเห็นผลงานมาก่อนนาม อาร์แซน เวนเกอร์ มาจากนาโงย่า แกรมปัส ทีมจากเจลีก ญี่ปุ่น

ไม่นานนัก การต่อสู้อันดุเดือดระหว่างกุนซือทั้งสองทีมก็ได้เข้ามาครอบงำภูมิทัศน์ฟุตบอลอังกฤษ ชนิดกินเวลาเกือบทศวรรษ

 

การดวลกันระหว่าง “เฟอร์กูสัน กับ เวนเกอร์”

ต่อให้ อาร์แซน เวนเกอร์ จะเคยมีประสบการณ์คุมทีมน็องซี่ และ โมนาโก ทว่าในหมู่คนลูกหนังอังกฤษไม่เว้นแม้แต่นักเตะและแฟนบอลของอาร์เซนอลต่างก็ตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนว่า เทรนเนอร์เฟรนช์แมนรายนี้จะเข้ามาปรับเปลี่ยน เดอะ กันเนอร์ส เพื่อเบียดแย่งแชมป์กับปีศาจแดงได้จริงหรือ

“มีคนบอกว่าเขาเป็นคนฉลาดใช่ไหม ? พูดได้ห้าภาษาเหรอ ผมรู้จักเด็กอายุ 15 จากไอวอรี่ โคสต์ ที่พูดได้ 5 ภาษาเหมือนกัน” เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ตอบสื่อหลังถูกถามถึงการเข้ามาของเวนเกอร์

“ตอนแรกผมคิดว่ากุนซือฝรั่งเศสคนนี้รู้อะไรเกี่ยวกับฟุตบอลบ้าง ? เขาสวมแว่นตาและดูเหมือนครูในโรงเรียนมากกว่า เขาพูดภาษาอังกฤษได้ถูกต้องหรือเปล่า ?” เดอะ การ์เดี้ยน เผยบทสัมภาษณ์ของ โทนี่ อดัมส์ กัปตันอาร์เซนอลในเวลานั้น

เช่นเดียวกับเวนเกอร์ที่ประหลาดใจถึงการติดต่อเข้ามาของบอร์ดบริหารไอ้ปืนใหญ่ แต่ถึงอย่างไร การก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดคือบทพิสูจน์ชั้นดีของเขา ดังบทสัมภาษณ์เมื่อปี 1996

“พวกเขา (บอร์ดบริหารอาร์เซนอล) ดูแปลก ๆ อยู่นะ เพราะผมไม่มีชื่อเสียง ผมเป็นโค้ชต่างชาติ ไม่มีประวัติศาสตร์ พวกเขาจำเป็นต้องมีอะไรพวกนี้ อาจจะไม่แปลกก็ได้แต่ดูกล้าหาญมากนะ ผมจะแสดงบทบาทของตัวเองเพื่อตอบบทความหลาย ๆ ชิ้นที่บอกว่าผู้จัดการทีมชาวต่างชาติไม่สามารถคว้าแชมป์อังกฤษได้”

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเข้ามาอาร์เซนอลของเวนเกอร์แทบจะพลิกโฉมทีมและวงการลูกหนังอังกฤษไม่น้อยไปกว่าใคร เช่น การปรับเปลี่ยนเรื่องอาหารการกิน เน้นปลา ผัก และคาร์โบไฮเดรต มากกว่าวัฒนธรรมการกินอาหารดั้งเดิมของนักเตะอังกฤษที่อุดมไปด้วยน้ำตาลและเนื้อสัตว์

เช่นเดียวกับการเข้ามาปรับโฉมรูปแบบการเล่นของทีม จากสไตล์ฟุตบอลโบราณ เน้นผลการแข่งขัน และนิยมใช้กองหน้าตัวใหญ่ เช่น ไนออล ควินน์ และ อลัน สมิธ (คนละคนกับนักเตะ แมนฯ ยูไนเต็ด และ ลีดส์) มาเป็นฟุตบอลสมัยใหม่ที่เน้นความหลากหลายและเล่นบอลบนพื้นมากขึ้น 

รวมถึงไปจนถึงการอิมพอร์ตนักเตะต่างชาติ โดยเฉพาะแข้งที่พูดฝรั่งเศสได้มาเติมเต็มทีมเพื่อสร้างความแตกต่างจากนักเตะอังกฤษฝีเท้าดีที่มีอยู่เป็นทุนเดิม ซึ่งเวนเกอร์ใช้เวลาอยู่กับทีมเพียงสองซีซั่นก็พาสโมสรเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ ในซีซั่น 1997-98 

ถึงตอนนั้นการเชือดเฉือนกันจากบทสัมภาษณ์ของทั้งเฟอร์กี้และเวนเกอร์ก็ระอุขึ้นอย่างต่อเนื่องแล้ว อาร์เซนอลกลายมาเป็นทีมฟุตบอลยุคสมัยใหม่ที่พร้อมจะเบียดแชมป์ลีกกับ แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นเหตุให้กุนซือทั้งสองคนมักจะกล่าวพาดพิงถึงกันชนิดถึงพริกถึงขิง

ยกตัวอย่างในซีซั่น 1996-97 หรือซีซั่นก่อนที่เวนเกอร์จะพาอาร์เซนอลเป็นแชมป์ลีก เขาเคยคอมเมนต์กรณีที่พรีเมียร์ลีกขยับโปรแกรมให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่จะต้องลงเตะฟุตบอลถ้วย การขยับโปรแกรมนี้ทำให้ปีศาจแดงได้เวลาพักเพิ่ม เวนเกอร์มองว่า “ด้วยโปรแกรมลีกที่เปลี่ยนไป ทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด หายเหนื่อยนะ และพวกเขาสามารถชนะได้ทุกเกมที่ลงเล่น” 

ทางฝั่งเฟอร์กี้ก็โต้กลับไปว่า “เขายังเป็นมือใหม่อยู่ และควรเก็บความคิดเห็นไว้ใช้กับฟุตบอลญี่ปุ่นจะดีกว่า”

หรืออย่างฤดูกาล 2001-02 อาร์เซนอลได้ดับเบิ้ลแชมป์ พรีเมียร์ลีก กับเอฟเอ คัพ สำหรับแชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นการแย่งชิงมาจาก แมนฯ ยูไนเต็ด ที่เป็นแชมป์มาสามซีซั่นก่อนหน้า เฟอร์กี้แสดงมุมมองภาพรวมของฤดูกาลว่าจริง ๆ แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นทีมที่เล่นได้ดีอยู่แล้ว เพียงแต่มีข้อผิดพลาดจนเสียแชมป์ให้อาร์เซนอล 

เวนเกอร์ก็ตอกกลับไปผ่านการเปรียบเปรยว่า “ใคร ๆ ย่อมมองว่าภรรยาตัวเองสวยที่สุดกันทั้งนั้นแหละ”

ช่วงปลายยุค 1990s รอยต่อต้นยุค 2000s นี้เองที่นับเป็นช่วงเวลาที่กุนซือทั้งสองคนตอกกลับกันสนั่นหูมากที่สุดช่วงเวลาหนึ่งของวงการฟุตบอลอังกฤษ ส่วนสำคัญมาจากการที่ทั้งสองผลัดกันครองความเป็นเบอร์หนึ่งของลีกแบบไม่มีใครยอมใคร ทั้งสองทีมสามารถคุยข่มเรื่องความสำเร็จได้แบบไม่มีน้อยหน้ากัน

เฟอร์กี้ เคยพา แมนฯ ยูไนเต็ด ผงาดคว้าเทรเบิลแชมป์แบบไร้เทียมทานในซีซั่น 1999 เรียกได้ว่าแกร่งกระโดดไปถึงฟุตบอลยุโรป ขณะที่เวนเกอร์ก็เคยพาอาร์เซนอลผงาดแชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2003-04 แบบไร้พ่าย ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นตำนาน “The Invincibles” ซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่มีทีมใดทำได้

เช่นเดียวกับนักเตะของแต่ละสโมสรที่แฟนฟุตบอลในยุคนั้นย่อมคุ้นเคยกับการปะทะกันทั้งในเกมการแข่งขันและนอกเหนือไปจากการแข่งขันแบบไม่ยอมกัน เรียกได้ว่าองศาความเดือดไม่ได้น้อยไปกว่าฝั่งผู้จัดการทีม

 

ชื่อชั้นไม่เกี่ยวใส่เดี่ยวได้หมด

นับตั้งแต่ที่นักเตะสองทีมเคยปะทะกันแบบชุลมุนในช่วงต้น 1990s ไม่น่าเชื่อว่าเวลาต่อจากนั้นจะมีเหตุการณ์ในลักษณะนี้อีกหลายต่อหลายครั้งปรากฏออกมาผ่านหน้าสื่อในยุคนั้น และถูกฉายซ้ำผ่านคลิปวิดีโอให้แฟนบอลรุ่นหลังได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ไปด้วย

ยกตัวอย่างสามเหตุการณ์ที่สร้างชื่อว่าการดวลกันของทั้งสองทีมมีความดุเดือดไม่แพ้ดาร์บี้ใด ๆ บนเกาะอังกฤษ ไล่มาตั้งแต่เหตุการณ์ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น “Battle of Old Trafford” เกิดขึ้นในปี 2003 เมื่อ รุด ฟาน นิสเตลรอย มีส่วนทำให้ ปาทริค วิเอร่า โดนใบแดง ทั้งสองทีมมีปากเสียงกันอย่างรุนแรง เดือดร้อนถึงขั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องมาคุมกัปตันวิเอร่าออกจากสนาม

ทว่านั่นกลับไม่ใช่ค่ำคืนที่ดีของอดีตกองหน้าดัตช์ของปีศาจแดงสักเท่าไร เมื่อเขาสังหารจุดโทษพลาดในช่วงท้ายเกม พร้อมกับโดนสามแข้งทีมเยือนอย่าง มาร์ติน คีโอว์น, โลร็อง เอตาเม่ และ เรย์ พาเลอร์ หยอกล้อถากถางด้วยความสะใจ และผลการแข่งขันก็จบลงที่ 0-0

หนึ่งปีต่อมา (2004) เหตุการณ์เกิดขึ้นที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด อีกครั้ง ในเกมที่ทีมปีศาจแดงหยุดสถิติไร้พ่ายต่อเนื่อง 49 นัดของทัพปืนใหญ่ด้วยสกอร์ 2-0 ซึ่งหลังจบเกมเกิดเหตุ “Pizzagate” เมื่อ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ถูกนักเตะอาร์เซนอลปาพิซซ่าใส่ศีรษะในอุโมงค์ทางเดินเข้าออกสนามแข่ง

แม้ตอนนั้นจะยังหาตัวคนปาไม่ได้ แต่หลังจากนั้นอีกกว่า 13 ปีก็มีคำตอบว่าคนที่ทำคือ เชส ฟาเบรกาส ซึ่งในเวลานั้นยังเป็นดาวรุ่งของพลพรรคปืนใหญ่

ความเดือดของนักเตะทั้งสองทีมยังไม่หยุดอยู่แค่นั้น 4 เดือนต่อมาหลังเหตุกาณ์มือมืดปาพิซซ่า คราวนี้เกิดขึ้นที่ไฮบิวรี่ รังเหย้าเก่าของ เดอะ กันเนอร์ส บ้าง เมื่อ ปาทริค วิเอร่า และ รอย คีน เกิดปะทะอารมณ์กันตั้งแต่อุโมงค์ทางเดินเข้าออกสนาม ถึงขั้นที่ว่าชี้หน้าด่ากัน ทำเอาทีมผู้ตัดสินและเจ้าหน้าที่ต้องช่วยกันห้ามปราม

“ผมเกลียดอาร์เซนอลมาก” รอย คีน สมัยเป็นนักเตะ กล่าวกับ BBC Sport “ผมนึกคำอื่นออกมาไม่ได้เลย เมื่อผมเตรียมเจอกับอาร์เซนอล ความเกลียดชังคือสิ่งเดียวเลย”

“คุณมักจะถูกตัดสินจากวิธีการที่คุณทำกับผู้เล่นชั้นนำ ดังนั้นผมชอบที่จะเผชิญหน้ากับปาทริค เขาเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง เขาเคยบอกว่าเขาสามารถควบคุมผมได้ และผมก็จะทำแบบเดียวกันกับเขานั่นแหละ เราเป็นเหมือนนักมวยสองคนที่คุยอวดกันว่าเราทำอะไรได้บ้าง”

“เขาน่ะเป็นศัตรูตัวยงของผมเลย” วิเอร่า กล่าวถึงคีน ผ่าน ITV4 “ผมไม่รู้ว่ามันเมคเซนส์หรือเปล่านะ แต่มันเมคเซนส์สำหรับผมเลย เพราะผมเองก็ชอบแนวทางที่มีต่อเกมการเล่นของเขาในสนาม”

 

เหตุการณ์มหัศจรรย์นับไม่ถ้วน

นอกเหนือไปจากความระอุของนักเตะทั้งสองทีมแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าการดวลกันระหว่างทีมดังแห่งแมนเชสเตอร์และลอนดอนจะมีเหตุการณ์ชวนทึ่งเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่เสมอ

ไล่มาตั้งแต่ปี 1998 มาร์ค โอเวอร์มาร์ส ทำประตูชัยให้ อาร์เซนอล บุกมาพิชิต แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้กันเนอร์สเร่งทำผลงานและแซงปีศาจแดงคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรก โดยทำแต้มมากกว่าปีศาจแดง 1 แต้ม

หนึ่งปีต่อมา ไรอัน กิ๊กส์ ทำประตูสุดมหัศจรรย์ครั้งหนึ่งในอาชีพนักเตะของเขากับช็อตโซโล่เดี่ยวจนได้กดแสกหน้า เดวิด ซีแมน กลายเป็นประตูสำคัญช่วยให้ แมนฯ ยูไนเต็ด หักด่าน อาร์เซนอล ในเอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศ และที่สุดแล้วทีมของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก็ผงาดคว้าเทรเบิลแชมป์อย่างยิ่งใหญ่

หรืออย่างฤดูกาลหลังจากที่อาร์เซนอลผงาดแชมป์ลีกไร้พ่าย ผลงานเด่นนี้มาถูกหยุดลงที่ 49 เกมเมื่อเดือนตุลาคม 2004 ซึ่งทีมที่หยุดสถิติหรูปูพรมแดงนี้ของปืนใหญ่ได้ก็คือ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่เอาชนะในเกมนั้นไป 2-0 ว่ากันว่าลูกแรกที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ทำได้เกิดจากการพุ่งล้มของ เวย์น รูนีย์ เสียด้วย ทว่าหลายคนอาจจดจำเหตุ Pizzagate หลังจบเกมได้มากกว่า

 

กาลเวลาเปลี่ยนผ่าน

เมื่อเวลาเดินทางมาสู่อีกยุคสมัยหนึ่ง ความดุเดือดระหว่าง อาร์เซนอล กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็แปรเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ 

มีช่วงเวลาที่ไอ้ปืนใหญ่เกิดสภาวะที่สโมสรรัดเข็มขัดมากขึ้น โดยเฉพาะจากการสร้างสนามแห่งใหม่ที่ย้ายจาก ไฮบิวรี่ มาเป็น เอมิเรตส์ สเตเดียม ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน

เหตุผลนี้ส่งให้ อาร์แซน เวนเกอร์ ต้องพยายามสร้างความสมดุลระหว่างความสำเร็จกับสถานะการเงินของสโมสร สโมสรจำเป็นต้องขายนักเตะตัวหลักฝีเท้าดีออกไปไม่น้อยและเน้นแนวทางซื้อนักเตะค่าตัวไม่แพง

กอปรกับทีมอื่น ๆ ร่วมพรีเมียร์ลีกยกระดับขึ้นมาแบบไม่มีน้อยหน้ากัน โดยเฉพาะ เชลซี ที่ผงาดขึ้นมาหลังการเข้าเทคโอเวอร์ของ โรมัน อบราโมวิช และกลายเป็นหนึ่งในทีมระดับท็อปของลีกจนได้ ไปจนถึงช่วงเวลาหลายปีต่อจากนั้นกับการเข้ามาเทคโอเวอร์ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของกลุ่มทุนจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์นำโดย ชีค มานซูร์ ก็แปรเปลี่ยนให้เรือใบสีฟ้ากลายเป็นทีมที่แกร่งขึ้นตามลำดับ

และยังไม่นับเรื่องการวางมือของสองบรมกุนซือของทีม เริ่มจาก เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ในปี 2013 ตามด้วย อาร์แซน เวนเกอร์ ในปี 2018 ประกอบกับการที่ทั้งสองทีมอยู่ในช่วงสร้างทีมใหม่ 

ด้วยเหตุนี้ เราจึงปฏิเสธไม่ได้ว่าการดวลแข้งกันระหว่าง แมนฯ ยูไนเต็ด กับ อาร์เซนอล ในช่วงหลังอาจไม่ได้คงความดุเดือดเฉกเช่นกับช่วงเวลาในอดีต

แต่ถึงอย่างไร ต่อให้ทั้งสองทีมจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหน เราต้องไม่ลืมสิ่งสำคัญที่ยังคงติดอยู่กับทั้ง อาร์เซนอล และ แมนฯ ยูไนเต็ด นั่นคือชื่อเสียงของการเป็นสองทีมใหญ่แห่งพรีเมียร์ลีกและยุโรป

ไม่แน่ว่าในอนาคต หากจังหวะ โอกาส และมีช่วงเวลาที่เหมาะสมเกิดขึ้นลงตัวพร้อมกัน การดวลกันระหว่างอาร์เซนอล ภายใต้กุนซือคนปัจจุบันอย่าง มิเกล อาร์เตต้า กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ของผู้จัดการทีม เอริค เทน ฮาก อาจจะกลับมาทวีความดุเดือดขึ้นอีกครั้งก็เป็นได้

 

แหล่งอ้างอิง

https://www.bbc.com/thai/international-43839745 
https://www.theguardian.com/sport/blog/2013/oct/01/from-vault-arsene-wenger-joins-arsenal-mars-bars 
https://theathletic.com/1246559/2019/09/28/united-arsenal/ 
https://en.wikipedia.org/wiki/Arsenal_F.C.%E2%80%93Manchester_United_F.C._rivalry 
https://bleacherreport.com/articles/2675573-manchester-united-and-arsenal-the-evolution-of-a-modern-rivalry 
https://arsedevils.com/watch-arsenal-vs-man-united-history-of-the-rivalry-and-watch-the-list-of-coaches/ 
https://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-7511913/Man-United-vs-Arsenal-game-defined-entire-seasons-diminished.html 

Author

พชรพล เกตุจินากูล

แฟนคลับเชลซี ติดตามฟุตบอลเอเชีย ไก่ทอดและกิมจิเลิฟเวอร์

Photo

ปฐวี ยอดเนียม

Man u is No.2 But YOU is No.1

Graphic

อภิสิทธิ์ โชติพิบูลย์ทรัพย์

Art Director ผู้รับเหมางานภาพกราฟิกหน้าปกบทความทุกชิ้น