Feature

LOSE YOURSELF: เพลงปลุกใจคนขี้แพ้ ที่นักกีฬาเปิดฟังเพื่อผลักดันตัวเอง | Main Stand

EMINEM คือหนึ่งในแร็ปเปอร์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดบนโลกนี้ ตลอดชีวิตการเป็นศิลปินมานานกว่า 30 ปี เขาออกอัลบั้มมาแล้ว 11 ชุด มีเพลงฮิตที่แฟนเพลงรู้จักกันดีเป็นจำนวนมาก และเพลงที่โด่งดังที่สุดในชีวิตของเขาก็คือ Lose Yourself ซึ่งเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ฮิปฮอป 8 Mile ที่เขานำแสดงเมื่อปี 2002

 

ความยอดเยี่ยมของ Lose Yourself มาจากเนื้อเพลงที่แฝงพลังอันร้อนแรง ปลุกกระตุ้นให้คนที่ลังเลในการไล่ตามความฝันลุกขึ้นสู้เพื่อไขว่คว้าโอกาสที่อาจเข้ามาเพียงครั้งเดียวในชีวิต ผ่านการแร็ปอันดุเดือดของ EMINEM ซึ่งไม่เพียงแต่กลายเป็นเพลงฮิตถล่มทลายทั่วโลก แต่ยังทรงพลังถึงขั้นทำให้นักกีฬาหลายคนใช้เพลงนี้จุดพลังเพื่อก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง แถมมันยังเป็นเพลย์ลิสต์สุดโปรดในหมู่คนออกกำลังกาย

Main Stand ขอพาผู้อ่านทุกท่านไปสำรวจจุดกำเนิดของเพลง Lose Yourself และเหตุผลว่าทำไมเพลงนี้ถึงเป็นขวัญใจของนักกีฬาหลายคน

 

จุดกำเนิดบนถนนหมายเลข 8

ย้อนไปเมื่อปี 2001 ยูนิเวอร์แซล ค่ายหนังระดับโลก เปิดไฟเขียวให้ ไบรอัน เกรเซอร์ โปรดิวเซอร์หนัง และ เคอร์ติส แฮนสัน ผู้กำกับ เปิดกล้องถ่ายทำภาพยนตร์ฮิปฮอป-ดราม่า ชื่อว่า 8 Mile โดยเนื้อหาหลักคือการพาคนดูไปสำรวจวัฒนธรรมฮิปฮอปในเมืองอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์อย่าง ดีทรอยต์ ผ่านตัวละคร “จิมมี่ บี แร็บบิธ” หนุ่มผิวขาวที่พยายามใช้เพลงแร็ปจากปลายปากกาของเขาผลักดันตัวเองและครอบครัวไปสู่ชีวิตที่ดีกว่า

ความน่าสนใจคือคนที่มารับบทเป็นตัวละคร จิมมี่ บี แร็บบิธ พระเอกของเรื่องคือ EMINEM แร็ปเปอร์ผิวขาว ซึ่งเวลานั้นแจ้งเกิดเป็นที่รู้จักไปแล้วทั่วโลกกับอัลบั้มชุดสาม The Marshall Mathers LP ซึ่งมีเพลงฮิตอย่าง The Real Slim Shady, The Way I Am หรือ Stan ที่ชวนนักร้องสาวชื่อดังอย่าง Dido มาฟีตเจอริ่งจนฮิตโดนใจคนฟัง‌‌ รวมถึงคาแร็กเตอร์ปากแซบที่จิกกัดชาวบ้านไปทั่ว ทำให้เขาเป็นที่รักและชังของคนในวงการมากพอสมควร

นอกจากจะสวมวิญญาณ จิมมี่ แร็บบิธ ในงานแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิต EMINEM หรือ "เอ็ม" ยังมีอีกหนึ่งหน้าที่สำคัญคือแต่งเพลงประกอบให้กับภาพยนตร์ โดยช่วงหนึ่งของการถ่ายทำ EMINEM พักผ่อนในรถเทรลเลอร์ เขาเกิดไอเดียทำซิงเกิลใหม่ของตัวเองขึ้นมาพอดีระหว่างอ่านบทภาพยนตร์ โดยหยิบเอาแรงบันดาลใจจากเนื้อเรื่องของ จิมมี่ แร็บบิธ มาถ่ายทอดเป็นไรม์ แล้วเดินไปบันทึกเสียงที่สตูดิโอข้างกองถ่าย ร้องและอัดจบภายในเทคเดียว

เพลงที่ว่าคือ Lose Yourself ที่มีเนื้อเพลงชวนคนฟังตั้งคำถามกับตัวเองว่า "ถ้าโอกาสแห่งความสำเร็จรออยู่ตรงหน้า คุณจะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อไขว่คว้าโอกาสนั้นหรือหันหลังแล้วปล่อยมันไป" ซึ่งก็เข้ากับเนื้อเรื่องของหนังพอดีเมื่อ จิมมี่ แร็บบิธ ที่ถูกคนดำในสังคมตราหน้าว่าเป็นไอ้ขี้แพ้ ขึ้นเวที แร็ป แบทเทิล เวทีที่อาจทำให้เขาได้ก้าวไปสู่ชีวิตที่ดีกว่า เขาได้ดวลฝีปากกับคู่แข่งมากหน้าหลายตาจนในที่สุดก็เอาชนะคู่แข่งและความกลัวที่มีอยู่ในใจได้หมดสิ้น

"You only get one shot, do not miss your chance to blow"
(มีโอกาสลุยแล้ว อย่าปล่อยมันหลุดลอยไป)

"This opportunity comes once in a lifetime, yo"
(นี่คือโอกาสเดียวที่อาจมีแค่ครั้งเดียวในชีวิต)

หนึ่งในท่อนคอรัสของ Lose Yourself ที่ทีมงานผู้สร้างหนัง 8 Mile ฟังแล้วชื่นชอบมาก เพราะมันเข้ากับตัวภาพยนตร์และตัวละครที่ EMINEM แสดงอย่างยิ่ง จนในที่สุดเพลงนี้ก็ได้เข้ามาเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์หลัก ที่ถูกปล่อยให้ฟังพร้อมกับการเข้าฉายของ 8 Mile อย่างเป็นทางการในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2002

 

ชัยชนะของคนขี้แพ้

แม้เป็นหนังทุนสร้างจำกัดแค่ 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ด้วยเนื้อเรื่องที่ยอดเยี่ยม การแสดงแบบเข้าถึงจิตวิญญาณคนขี้แพ้ของ EMINEM และซีนแร็ป แบทเทิล ที่ถ่ายทอดออกมาอย่างดุเดือดประทับใจ ทำให้ 8 Mile กลายเป็นเซอร์ไพรส์ฮิตที่ผู้คนในวงการภาพยนตร์ต้องหันมามอง ภาพยนตร์ขึ้นอันดับ 1 บน Box Office ตั้งแต่สัปดาห์แรก ก่อนกวาดรายได้รวมทั่วโลกไป 242 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แล้วก็ไปโกยเงินเพิ่มอีกเมื่อมันถูกทำออกมาเป็น DVD ไว้ดูกันภายในบ้าน

‌ขณะที่เพลง Lose Yourself ของ EMINEM ประสบความสำเร็จถล่มทลายตามกันไป เพลงขึ้นชาร์ตอันดับ 1 ของ Billboard และอีกหลายแห่งเกือบ 30 ประเทศทั่วโลก มียอดขายซิงเกิลทั้งหมด 13 ล้านชุดในอเมริกาและนอกประเทศอีกจำนวนมาก พร้อมกับทำให้ EMINEM เป็นที่รู้จักของคนฟังเพลงทั่วโลกไปโดยปริยายในวันที่แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งต่าง ๆ อย่าง YouTube, Spotify และ Tidal ยังคืบคลานมาไม่ถึง

ทั้งรายได้ที่งดงามและคำวิจารณ์ในแง่บวก ส่งผลให้ 8 Mile ได้เข้าชิงรางวัลจากสถาบันต่าง ๆ มากมาย และคว้ารางวัลใหญ่ เพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ในเวทีออสการ์ปี 2003 ได้สำเร็จ แม้ตัวเจ้าของเพลงจะไม่ได้มารับรางวัลด้วยตัวเองเพราะกำลังพักผ่อนอยู่ที่บ้านและไม่คิดว่าตัวเองจะได้รับรางวัล แต่สุดท้าย 8 Mile และเพลง Lose Yourself ได้กลายเป็นตำนานของวงการหนังและเพลงแบบไร้ข้อกังขา

"ตอนนั้นผมไม่คิดว่าตัวเองจะมีโอกาสได้รางวัล เราเพิ่งเล่นเพลงนี้ที่งานแกรมมี่ มันเป็นไอเดียที่ไม่ดีนักที่จะคิดว่าเราจะได้รับรางวัล แถมตอนนั้นผมยังเด็ก ไม่คิดว่าคนในงานจะเข้าใจในตัวผม แต่พอรู้ว่าได้รางวัลก็รู้สึกบ้าไปแล้ว ทั้งที่ไม่ได้ไปร่วมงานแต่ยังเป็นผู้ชนะ นั่นเลยทำให้ผมรู้สึกตัวว่ารางวัลนั้นสำคัญแค่ไหน" EMINEM อธิบายเหตุผลที่เขาไม่ไปรับรางวัลครั้งนั้น ก่อนจะมาขึ้นเวทีโชว์ร้องเพลงนี้ในงานประกาศรางวัลออสการ์ ปี 2020 เป็นการตอบแทนคณะกรรมการที่มอบรางวัลอันยิ่งใหญ่ให้เขา

 

เพลงดีที่นักกีฬาการันตี

นับตั้งแต่ปล่อยเพลงให้ฟังกันทั่วโลกเมื่อปี 2022 ซิงเกิล Lose Yourself ของ EMINEM คือเพลงระดับ "ท่าไม้ตาย" ที่แร็ปเปอร์ฉายา RAP GOD ต้องเอามาร้องในทุกคอนเสิร์ต โดยมีการบันทึกสถิติไว้ว่า EMINEM ร้องเพลง Lose Yourself ไปทั้งหมด 97 ครั้ง ขณะที่มีศิลปินคนอื่นขอหยิบยืมเพลงนี้ไปร้องบนเวทีของตัวเองกว่า 560 ครั้ง ขณะที่ยอดสตรีมออนไลน์ใน Spotify ก็ทะลุไปมากกว่า 1,830 ล้านครั้ง ซึ่งทั้งหมดนี้การันตีความฮิตได้เป็นอย่างดี

แต่ขณะเดียวกัน Lose Yourself ยังสร้างแรงกระเพื่อมไปถึงแวดวงกีฬา ย้อนไปเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2003 ในศึกรักบี้ชิงแชมป์โลก รอบชิงชนะเลิศระหว่าง อังกฤษ ปะทะ ออสเตรเลีย ซึ่งเป็นเจ้าบ้านและเจ้าภาพ มีรายงานว่า ไคลฟ์ วูดเวิร์ด เฮดโค้ชทีมรักบี้ของอังกฤษ เปิดเพลง Lose Yourself ให้ลูกทีมของเขาฟังในห้องแต่งตัวเป็นการปลุกพลังให้พร้อมสำหรับการไล่ล่าแชมป์สมัยแรกในประวัติศาสตร์ที่ ซิดนีย์ สเตเดียม แผ่นดินของทีมคู่แข่ง

ดูเหมือนว่าเนื้อเพลงอันทรงพลังจากปลายปากกาของ EMINEM จะปลุกเร้าเหล่านักกีฬารักบี้ของอังกฤษได้เป็นอย่างดี เมื่อพวกเขาร่วมแรงร่วมใจนำพาทีมบุกไปเอาชนะ ออสเตรเลีย ในช่วงต่อเวลาพิเศษ 20-17 แต้ม จนประสบความสำเร็จคว้าแชมป์โลกสมัยแรกกลับบ้านมาจนได้

ตัดภาพไปที่มหกรรมกีฬา โอลิมปิก 2016 ที่ริโอ เดอ จาเนโร ประเทศบราซิล การแข่งขันว่ายน้ำชิงเหรียญทองประเภทต่าง ๆ มีช็อตน่าสนใจเมื่อกล้องจับภาพเห็น ไมเคิล เฟลป์ส สุดยอดนักว่ายน้ำทีมชาติสหรัฐอเมริกา สวมฮู้ดนั่งทำสมาธิก่อนแข่งอยู่ข้างสระ ซึ่งมีการเปิดเผยภายหลังว่าตอนนั้นเฟลป์สกำลังปลุกเร้าตัวเองด้วยเพลง Lose Yourself ของ EMINEM ก่อนกระโจนลงสระไปล่าเหรียญทอง

และเป็นอีกครั้งที่เนื้อเพลงของ Lose Yourself ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อ ไมเคิล เฟลป์ส สวมวิญญาณฉลามจรวด โกยเหรียญทองให้ตัวเองและทีมสหรัฐฯ ไปถึง 5 เหรียญ ทั้งประเภท ผีเสื้อ 200 เมตร, ท่าผสม 200 เมตร, ฟรีสไตล์ 4x100 เมตร, ฟรีสไตล์ 4x200 เมตร และท่าผสม 4x100 เมตร ปิดฉากโอลิมปิกครั้งสุดท้ายของตัวเองอย่างงดงาม

หากถามว่า ไมเคิล เฟลป์ส ชื่นชอบเพลง Lose Yourself ขนาดไหน เอาเป็นว่าหลังจบศึกริโอ เกมส์ 2016 เขาได้ไปปรากฏตัวในรายการ Lip Sync Battle โดยแต่งตัวเลียนแบบ EMINEM ในเรื่อง 8 Mile พร้อมกับออกมาโชว์ลิปซิงค์เพลง Lose Yourself ไปด้วย จนกลายเป็นหนึ่งในโชว์ที่คนดูชื่นชอบที่สุดประจำรายการ

 

เพิ่มสมรรถนะยามออกกำลัง

โลกใบนี้มีบทเพลงมากมายที่นอกจากจะใช้ฟังเพื่อความเพลิดเพลินแล้วยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในตนเองได้ยามทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น ทำงาน ขับรถ หรือออกกำลังกาย โดย เดวิด กรีนเบิร์ก นักจิตวิทยามืออาชีพ เผยว่าเพลงและดนตรีมีส่วนช่วยปลุกเร้าอารมณ์ความรู้สึก และมีผลต่อการแสดงออกเป็นอย่างมาก

กรีนเบิร์กเผยว่า ปกติคนที่ออกกำลังกายควรจัดเพลย์ลิสต์ประกอบการออกกำลังที่มีแนวเพลงอยู่ในระดับไม่รุนแรงเกินไป เช่น เพลงฮิปฮอป หรือเพลงป๊อปแดนซ์ที่มีบีทไม่ปลุกเร้ามากนัก เพื่อให้คุณสามารถออกกำลังได้อย่างผ่อนคลายและควบคุมอารมณ์ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม หากใช้เพลงแนวเมทัลหรือร็อกก็จะเป็นการเร่งเร้ากำลังกายกับความรู้สึกให้รุนแรงขึ้นจนอาจส่งผลต่ออารมณ์และจิตใจ (แต่หากเป็นความตั้งใจก็ไม่ผิด)

และเพลง Lose Yourself ของ EMINEM ก็จัดอยู่ในกลุ่มเพลงที่เหมาะกับการใส่ลงเพลย์ลิสต์ออกกำลังกายเช่นกัน เนื่องด้วยแนวเพลงที่เป็นฮิปฮอปที่มีบีทไม่รุนแรงมาก ส่วนเนื้อเพลงของ EMINEM ก็มีคุณสมบัติช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลักดันตัวเองไปสู่ขอบเขตที่ไกลกว่าเดิม

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือเมื่อปี 2015 เบน ฮูเปอร์ นักว่ายน้ำชาวอังกฤษ ผู้ทำภารกิจว่ายน้ำข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก ระยะทางกว่า 2,000 ไมล์ จับมือกับ ริชาร์ด คอลลินส์ นักจิตวิทยาด้านกีฬา จัดเพลย์ลิสต์เพลงสำหรับใช้ประกอบการฝึกซ้อมว่ายน้ำลงเครื่องเล่น MP3 ที่กันน้ำได้และตั้งชื่อว่า "ซาวด์แทร็คแห่งความสำเร็จ" เพื่อใช้เตรียมตัวสำหรับภารกิจใหญ่

โดยในเพลย์ลิสต์ของ เบน ฮูเปอร์ บรรจุเพลง Lose Yourself รวมถึงเพลงอื่นของ EMINEM อย่าง Not Afraid กับ Without Me ลงไปด้วย ซึ่งผลปรากฏว่าเขาว่ายน้ำได้เร็วขึ้น จากปกติว่าย 12 กม. ในเวลา 4 ชั่วโมง ลดลงเหลือ 3 ชั่วโมง 47 นาที และในระยะ 100 เมตร เขาว่ายได้เร็วขึ้น 1 นาที 48 วินาที จากเดิมที่ทำได้ 100 เมตรละ 2 นาที เรียกว่าเพลงของ EMINEM มีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการว่ายน้ำของฮูเปอร์ได้ถึง 10%

"การฟัง EMINEM ทำให้เบนมีความมั่นใจและมุ่งมั่นอย่างยิ่งสำหรับการเอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ ขณะที่เพลงอื่นก็ช่วยให้เขาคิดถึงลูกสาว และเตือนตัวเองว่าเขาทำสิ่งนี้ทำไม และแสดงให้ทุกคนเห็นว่าคนธรรมดาอย่างเขาก็ทำในสิ่งที่ไม่ธรรมดาได้" คอลลินส์ เปิดเผยหลังเข้าร่วมการวิจัย

แม้สุดท้าย ภารกิจว่ายน้ำข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกกว่า 2,000 ไมล์ จาก เซเนกัล ถึง บราซิล ของ เบน ฮูเปอร์ จะล้มเหลวหลังจากว่ายไปแค่ 87 ไมล์ใน 33 วัน ด้วยปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ทั้งสภาพอากาศแปรปรวน ความผันผวนของน้ำทะเล ปลาฉลามที่ชุกชุม เรือซัปพอร์ตของทีมงานเสียหายจนไม่สามารถกลับไปทำแบบเดิมได้อีกแล้ว แต่สิ่งที่ได้รู้คือ อย่างน้อยเพลงของ EMINEM ก็ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทางกายและความคิดของ เบน ฮูเปอร์ จนเขาเชื่อมั่นว่าตัวเองจะทำภารกิจได้สำเร็จจริง ๆ

 

ฮิตข้ามกาลเวลา

จากวันที่เพลงถูกปล่อยตามคลื่นวิทยุทั่วโลกเมื่อปี 2002 ทุกวันนี้ Lose Yourself ก็ยังคงเป็นบทเพลงฮิตอันทรงพลังที่ถูกเปิดกันอย่างไม่รู้เบื่อ มันช่วยยกสถานะให้ EMINEM กลายเป็นดาวฮิปฮอปค้างฟ้าระดับตำนานที่ไม่มีใครโต้แย้ง และยังนำพาให้ "เดอะ เรียล สลิม เชดี้" ปรากฏตัวตามสถานที่ต่าง ๆ มากมาย โดยเฉพาะสังเวียนกีฬาที่นำเพลงนี้ไปเสิร์ฟให้คนฟังได้สัมผัสถึงความยิ่งใหญ่

เช่นในการแข่งขัน ซูเปอร์ โบว์ล ครั้งที่ 56 วันที่ 13 กุมภาพันธ์ ปี 2022 ที่ โซไฟ สเตเดียม ช่วงพักครึ่งของคู่ชิงระหว่าง แอลเอ แรมส์ กับ ซินซินเนติ เบงกอลส์ EMINEM ก็ได้มาร่วมแจมกับ Dr.Dre โปรดิวเซอร์ฮิปฮอปผู้ยิ่งใหญ่ในช่วง ฮาล์ฟ ไทม์ โชว์ พร้อมกับเอาเพลง Lose Yourself มาแสดง และทำให้คนดูในสนามและถ่ายทอดสดลุกขึ้นร้องตามไปกับเขา

หรือในศึกมวยสากลชิงแชมป์โลก วันที่ 29 กรกฏาคม 2023 เทเรนซ์ ครอว์ฟอร์ด เจ้าของเข็มขัดแชมป์โลกรุ่นเวลเตอร์เวตของ WBO ก็ได้ชักชวน EMINEM มาเป็นโฆษกประกาศชื่อก่อนขึ้นเวทีให้กับเขา พร้อมกันนั้นยังเปิดเพลง Lose Yourself ปลุกใจตนเองก่อนขึ้นไปน็อก เออร์โรล สเปนซ์ จูเนียร์ ป้องกันและกระชากเข็มขัดแชมป์โลก WBA, WBC และ IBF ของอีกฝ่ายมาครอบครองแบบครบ 4 สถาบันได้สำเร็จ

"ผมโยนก้อนหินลงไปในพงหญ้าแล้วเขาก็ตอบกลับมา ผมบอกเขาว่ามาช่วยผมได้ไหม เขาก็ตอบว่าโอเคผมจะไปที่นั่น คุณคือหนึ่งในนักชกคนโปรดของผม" ครอว์ฟอร์ด พูดถึงวันที่เขาส่งข้อความชวน RAP GOD มาเป็นโฆษกพูดเปิดตัวให้กับเขา  "นั่นแสดงให้เห็นว่าเขาเชียร์ผมแค่ไหน และแสดงให้เห็นว่าผมอยู่ระดับไหนของวงการมวยโลก"

ทั้งหมดจึงเป็นการยืนยันว่า ชายที่ชื่อ EMINEM และเพลงฮิตอันดับ 1 ตลอดกาลของเขานั้นยิ่งใหญ่เพียงใดบนโลกใบนี้...

 

แหล่งอ้างอิง :

https://www.billboard.com/music/rb-hip-hop/eminem-terence-crawford-ring-walk-title-fight-lose-yourself-video-1235381623/
https://www.inverse.com/article/20089-eminem-lose-yourself-exercise-workout-music-playlist-michael-phelps
https://bleacherreport.com/articles/2663199-michael-phelps-crushes-eminems-lose-yourself-on-lip-sync-battle
https://news.sky.com/story/eminem-can-boost-athletic-performance-by-10-10341352
https://www.medicaldaily.com/lose-yourself-eminems-music-and-watch-athletic-performance-improve-10-359864
https://www.youtube.com/watch?v=0c8gm2S7i2o

Author

วัลลภ สวัสดี

ฟังไปเรื่อย ดูไปเรื่อย เขียนไปเรื่อย

Photo

วัชพงษ์ ดวงแปง

Main Stand's Backroom staff

Graphic

ปริญญา คงปันนา

กราฟฟิคหน้าโหด ทำงานด้วย Passion ว่างๆ ชอบไปคาเฟ่ หลงไหลในศิลปะ, การเดินทางและกีฬา