ถ้าพูดถึง “คู่แฝด” ในโลกลูกหนัง นับเป็นเรื่องยากมากที่ทั้งคู่จะทำผลงานได้ดีเหมือนกันและมักจะมีคนใดคนหนึ่งที่โดดเด่นบดบังอีกคนอยู่เสมอ แต่สิ่งนี้ไม่เกิดขึ้นกับคู่แฝดเมืองเบียร์อย่าง “ลาร์ส เบนเดอร์” และ “สเวน เบนเดอร์”
แม้ทั้งคู่จะมีเส้นทางการค้าแข้งที่แตกต่างกัน แต่พวกเขาก็สามารถพัฒนาตัวเองจนเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกได้เหมือนกัน รวมถึงใบหน้าและชื่อที่ปักอยู่ด้านหลังเสื้ออันเป็นเอกลักษณ์
การเดินทางของพวกเขามีความเป็นมาอย่างไร และเหตุใดแฝดเบนเดอร์ถึงได้โดดเด่นกันทั้งคู่ มันเป็นเพราะสายเลือดที่เข้มข้นหรือความพยายามอย่างหนักกันแน่ที่นำพาให้ทั้งคู่ก้าวไปสู่ความสำเร็จ
มาร่วมติดตามเรื่องราวของพวกเขาไปพร้อม ๆ กันกับ Main Stand
เริ่มต้นมาด้วยกัน
จุดเริ่มต้นของฝาแฝดเบนเดอร์อยู่ที่รัฐบาวาเรีย ประเทศเยอรมนี พวกเขาเริ่มเล่นฟุตบอลตั้งแต่อายุ 4 ขวบ ด้วยการไปเข้าอคาเดมีของ “ทีเอสวี บรันเนนบวร์ก”
พ่อและแม่ของเขาสนับสนุนทั้งคู่อย่างเต็มที่ จนถึงขั้นย้ายบ้านไปอยู่ใกล้ ๆ สนามแข่งขันของอคาเดมีเพื่อความสะดวก พวกเขาพัฒนาตัวเองอย่างรวดเร็วจนโดดเด่นกว่าเพื่อนวัยเดียวกันอย่างมาก และพวกเขาก็ใช้เวลาว่างที่มีทั้งหมดไปกับฟุตบอล
ฝาแฝดคู่นี้ได้ก้าวไปอีกขั้น เพราะพ่อของเขาเห็นถึงโอกาส และพาทั้งคู่ไปเล่นที่สโมสร “อุนเตอร์ฮัคกิง” บริเวณชานเมืองมิวนิค เพื่อซึมซับบรรยากาศของสองทีมใหญ่ในเมืองอย่าง “บาเยิร์น มิวนิค” และ “1860 มิวนิค”
สุดท้ายทั้งคู่ได้ไปลงเอยกับ 1860 มิวนิค ในปี 2006 เนื่องจากโอกาสในการลงสนามที่มากกว่า พวกเขาเริ่มต้นอาชีพการค้าแข้งด้วยตำแหน่งกองกลางตัวรับ และมีพัฒนาการที่คู่ขนานกันมาเรื่อย ๆ จนสามารถก้าวไปติดทีมชาติเยอรมนีชุด U-16 ได้
* หมายเลข 8 และ 6
แฝดเบนเดอร์เป็นนักฟุตบอลของ 1860 มิวนิค ได้เพียง 3 ปี จุดพลิกผันสำคัญที่ทั้งคู่ต้องแยกจากกันก็มาถึง เมื่อสโมสรเกิดปัญหาทางการเงิน ทำให้มีความจำเป็นต้องขายพวกเขาออกจากทีมไป โดยลาร์สไปอยู่กับ “ไบเออร์ เลเวอร์คูเซน” ส่วนสเวนย้ายไปอยู่กับ “โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์” ขณะที่ทั้งคู่มีอายุ 20 ปี
เส้นทางที่แตกต่าง
ลาร์สย้ายไปเลเวอร์คูเซนในยุคของยอดกุนซืออย่าง “จุปป์ ไฮย์เกส” พอดี ทำให้เขาได้ลงเล่นร่วมกับนักเตะชื่อดังอย่าง “โทนี่ โครส” และ “อาร์ตูโร่ วิดัล” เขาใช้เวลาปรับตัวอยู่พักใหญ่จนก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักของทีมได้ในเวลาต่อมา
ชีวิตของเขาที่เลเวอร์คูเซนไม่ได้โดดเด่นอะไรมากนัก แต่เมื่อไรที่ถูกส่งลงสนามก็มักจะทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีเสมอ และด้วยจุดเด่นด้านความเป็นผู้นำของเขาทำให้ลาร์สได้รับปลอกแขนกัปตันทีมมาสวมในปี 2015 หลังจากการรีไทร์ของกัปตันทีมคนก่อน
ลาร์สถนัดเล่นตำแหน่งกองกลางตัวรับ หรือบางทีก็ปรับมาเล่นตำแหน่งแบ็กขวาได้ด้วย เขามีวิสัยทัศน์ในการจ่ายบอลและมีทักษะการอ่านเกมที่ยอดเยี่ยม รวมถึงการเข้าสกัดบอลและการยืนตำแหน่งก็สามารถทำได้ดีเช่นกัน เขายังคงพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา
ส่วนสเวนที่ย้ายไปดอร์ทมุนด์นั้น เรียกได้ว่าย้ายไปถูกจังหวะอย่างมาก เพราะเสือเหลือง ณ ตอนนั้น อยู่ในยุคของ “เยอร์เกน คล็อปป์” ที่กำลังสร้างทีมในแบบของตัวเองเพื่อขึ้นมาลุ้นแชมป์กับบาเยิร์นแบบเต็มตัว
ทำให้สเวนได้รับผลพลอยได้ตรงนี้ไปด้วย เขาก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักของทีมได้อย่างรวดเร็ว เวลาผ่านไปไม่นานก็สามารถคว้าแชมป์บุนเดสลีกาได้ 2 ปีติดต่อกัน ในฤดูกาล 2010-11 และ 2011-12 รวมถึงยังได้สัมผัสนัดชิงเวที ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เมื่อปี 2013 อีกด้วย
ตลอดทุกฤดูกาลกับดอร์ทมุนด์ สเวนเล่นในตำแหน่งกองกลางตัวรับเป็นหลัก โดยบางครั้งก็ถูกจับไปยืนในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็กอยู่บ้าง เขามีจุดเด่นเรื่องลูกกลางอากาศและการดวลตัวต่อตัวกับคู่แข่ง รวมถึงมีทักษะการจ่ายบอลที่แม่นยำ ทำให้เขามีส่วนร่วมกับทั้งเกมรุกและเกมรับของทีมอยู่ตลอด
ถึงแม้จะเล่นอยู่คนละทีมและต้องแข่งขันกันอยู่บ่อยครั้ง แต่พวกเขาก็ยังได้ลงเล่นด้วยกันในนามทีมชาติ รวมถึงคู่นี้มักจะแชร์ประสบการณ์ของตัวเองและส่งกำลังใจให้กันอยู่เสมอ
ทั้งคู่ได้รับการยกย่องมาตลอดเนื่องจากความสม่ำเสมอ ดีเอ็นเอความเป็นผู้นำ และการทำงานเป็นทีมที่ยอดเยี่ยม อันเป็นจุดเด่นของแฝดเบนเดอร์ สิ่งเหล่านี้ก็ได้นำพาให้ทั้งคู่กลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
พรแสวงนำพรสวรรค์
ดูเหมือนว่าความเป็นผู้นำจะอยู่ในดีเอ็นเอของทั้งคู่ แม้ว่าจะอยู่กันคนละทีมแต่พวกเขาก็ได้รับความเคารพจากเพื่อนร่วมทีมและบรรดาสตาฟโค้ชอยู่เสมอ มันเหมือนเป็นพรสวรรค์ที่ติดตัวพวกเขามาตั้งแต่เกิด
แม้ว่าแฝดเบนเดอร์จะมีบุคลิกและเส้นทางการใช้ชีวิตที่คล้ายกันราวกับแกะ แต่มันก็ไม่ได้มาจากดีเอ็นเอของพวกเขาทั้งหมด 100% โดยมีงานวิจัยออกมายืนยันเรื่องนี้แล้วว่า “ถึงแม้แฝดหลายคู่จะมีความคิด ความชอบ และรสนิยมที่ดูเหมือนกัน แต่มันไม่ได้เกิดจากพันธุกรรมทั้งหมด ส่วนมากมักจะมาจากประสบการณ์ร่วมในวัยเด็กมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นการเติบโตมาใกล้ชิดกันหรือการมีพ่อแม่คนเดียวกัน เพราะวัยเด็กถือว่าเป็นช่วงเวลาสำคัญสำหรับการเรียนรู้”
มันเป็นหลักฐานยืนยันได้เป็นอย่างดีเลยว่าดีเอ็นเอของพวกเขาไม่ได้เป็นตัวกำหนดความสำเร็จนี้ทั้งหมด แน่นอนว่ามันมีส่วนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่สิ่งที่ทำให้ทั้งคู่ก้าวขึ้นมาเป็นที่รู้จักได้น่าจะมาจาก “พรแสวง” ที่พวกเขาสั่งสมผ่านความพยายามมาตั้งแต่เด็กต่างหาก
ความพยายามที่ว่ามันคือการฝึกซ้อมและเรียนรู้โลกมาพร้อม ๆ กัน รวมถึงการแชร์ประสบการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตให้กันและกันก็มีส่วนที่ทำให้พวกเขาโดดเด่นกันทั้งคู่
ลาร์สและสเวนได้นำเอาพรแสวงที่สั่งสมร่วมกันมาผสมผสานเข้ากับพรสวรรค์ที่อยู่ในดีเอ็นเอ ทำให้พวกเขาโดดเด่นขึ้นมาเหนือคู่แฝดคู่อื่นในโลกลูกหนังที่มักจะมีแค่คนใดคนหนึ่งเท่านั้นที่ได้เฉิดฉาย
ฉากจบแสนสวยงาม
หลังจากที่สเวนถึงจุดอิ่มตัวกับดอร์ทมุนด์จากการคว้าแชมป์บุนเดสลีกา และเดเอฟเบ โพคาล อย่างละ 2 สมัย รวมกับมีอาการบาดเจ็บบ่อยขึ้น ทำให้เขาย้ายมาอยู่กับเลเวอร์คูเซนในปี 2017 เพื่อโอกาสในการลงสนามที่มากขึ้น และได้เล่นร่วมกับแฝดของเขาอย่างลาร์สอีกครั้ง
อดีตผู้อำนวยการกีฬาของทีมห้างขายยาอย่าง “รูดี้ โฟลเลอร์” ออกมาแถลงตอนเซ็นสัญญากับสเวนว่า “เรายินดีที่สเวนเซ็นสัญญากับเรา เขาเป็นนักเตะประสบการณ์สูงและเล่นได้หลากหลาย คุณภาพและความเป็นผู้นำของเขาจะมีประโยชน์มากสำหรับทีมเยาวชนของเรา”
รวมถึงผู้จัดการทีมในตอนนั้นอย่าง “ไฮโค แฮร์ริช” ก็ออกมากล่าวยกย่องสเวนเช่นกันว่า “ผมคุยกับเขามานานแล้ว แนวความคิดและจิตวิญญาณของเขาทำให้เขาเป็นผู้นำทั้งในและนอกสนาม เช่นเดียวกับลาร์สแฝดของเขานั่นแหละ”
และมันทำให้พวกเขาได้กลับมาเล่นด้วยกันอีกครั้งในรอบเกือบทศวรรษ หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ได้เล่นร่วมกันที่ “เบย์ อารีนา” เป็นเวลา 4 ฤดูกาล ก่อนที่เดือนธันวาคมปี 2020 แฝดคู่นี้จะออกมาแถลงการณ์พร้อมกันว่า “พวกเราตัดสินใจแล้วว่าจะแขวนสตั๊ดหลังจบฤดูกาลนี้ มันถึงเวลาที่เหมาะสมแล้วล่ะ เพราะการบาดเจ็บที่พวกเราต้องเจอในช่วงไม่กี่ปีมานี้มันทรมานเหลือเกิน พวกเราหวังว่าสโมสรจะวางแผนทดแทนการขาดหายไปนี้ได้ทัน”
และเวลาได้เดินทางมาถึงเกมนัดสุดท้ายของแฝดเบนเดอร์ในเกมนัดสุดท้ายของฤดูกาล 2020-21 ที่พลพรรคห้างขายยาบุกไปเยือนถิ่นเสือเหลือง สเวนได้รับเกียรติลงสนามด้วยการสวมปลอกแขนกัปตันทีมในเกมสุดท้ายของอาชีพการค้าแข้ง
โมเมนต์สำคัญเกิดขึ้นในนาที 89 เมื่อเลเวอร์คูเซนได้จุดโทษ และสเวนก็หลีกทางให้ลาร์สลงมาเล่นในเกมสุดท้ายของตัวเองเช่นกัน ก่อนจะรับหน้าที่สังหารจุดโทษลูกนี้ผ่าน “โรมัน เบอร์กี” ที่มอบของขวัญให้ลาร์สได้ยิงผ่านเขาไปเพื่อเป็นการปลอบใจ พร้อมกับรอยยิ้มของทุกคนในสนาม
เมื่อสิ้นสุดเสียงนกหวีดยาว ทั้งคู่ได้รับการแสดงความยินดีมากมายจากทั้งเพื่อนร่วมทีมและคู่แข่ง นักข่าวจาก Sky Sport ก็เข้ามาสัมภาษณ์พวกเขาทันที ทั้งคู่ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า “ทีมนี้เป็นเหมือนสัญลักษณ์ เรายืนหยัดและมีเป้าหมายร่วมกัน มันไม่สำคัญว่าใครจะมาจากไหนหรือมีภูมิหลังอะไร การยืนหยัดและไม่แตกแยกคือสิ่งที่เราต้องการให้มันคงอยู่ต่อไป นั่นคือสิ่งที่เราได้รับจากอาชีพการค้าแข้ง”
พอกลับไปที่สนามของทีม แฟนบอลต่างมารวมตัวที่หน้าสนามเบย์ อารีนา เพื่ออำลากัปตันทั้งสองอย่างเหมาะสม และทั้งคู่ก็ได้ร่วมดื่มเบียร์ฉลองกับเหล่าแฟน ๆ อย่างมีความสุข เป็นการปิดฉากอาชีพการค้าแข้งของแฝดเบนเดอร์อย่างสวยงาม
ท้ายที่สุด แม้แฝดคู่นี้จะไม่ได้มีเส้นทางการค้าแข้งที่หวือหวา แต่การที่พวกเขาเติบโตและเรียนรู้มาพร้อมกันตั้งแต่เด็กก็ถือว่าเป็นความพยายามที่ผสมผสานเข้ากับดีเอ็นเอได้อย่างลงตัว จนพวกเขาทั้งคู่กลายเป็นที่รักของแฟนบอลทุกคน
ในอนาคตอันใกล้ เราไม่อาจทราบได้เลยว่าจะมีแฝดคู่ไหนที่โดดเด่นได้ทั้งคู่แบบแฝดคู่นี้ แต่สิ่งที่เราทราบได้แน่ชัดคือ แฝดเบนเดอร์ได้กลายเป็นที่รักและเป็นที่จดจำในฐานะแฝดคู่หนึ่งของโลกลูกหนังไปเป็นที่เรียบร้อย
แหล่งอ้างอิง
https://blauweisse.de/die-benders/
https://peoplepill.com/people/lars-bender
https://peoplepill.com/people/sven-bender
https://thematter.co/science-tech/twins-misconceptions/195444
https://www.sciencedirect.com/book/9780128039946/twin-mythconceptions
https://www.eurosport.com/football/bundesliga/2017-2018/family-affair-at-leverkusen-as-sven-bender-joins-twin-brother-lars_sto6252085/story.shtml
https://www.bundesliga.com/en/bundesliga/news/bayer-leverkusen-twins-lars-and-sven-bender-to-retire-14030
https://www.bayer04.de/en-us/news/bayer04/we-say-thank-you-the-benders-last-day