วงการลูกหนังโดยทั่วไปแล้ว เรามักจะเห็นบุคคลหนึ่งที่จะคอยยืนประจำการอยู่ที่ข้างสนามเวลาที่ทีมตัวเองลงเตะ บุคคลนั้นก็คือเฮดโค้ชของทีม เขาจะคอยยืนสั่งการนักเตะและบอกรายละเอียดเกี่ยวกับแผนการเล่นของทีมให้นักเตะได้รับรู้ รวมถึงมีหน้าที่คุมนักเตะในการฝึกซ้อม
โดยปกติแล้วเฮดโค้ชของทีมฟุตบอลมักจะมีเพียงคนเดียว ทว่าในบางกรณีเราจะเห็นบางทีมใช้โค้ชสองคนในการสั่งการ แท้จริงแล้วการทำงานแบบใช้โค้ชคู่ให้ผลลัพธ์อย่างไร และมันดีกว่าการใช้โค้ชคนเดียวหรือไม่
Main Stand จะพาไปหาคำตอบ
กระแสความนิยมของโค้ชคู่ในปัจจุบัน
ในวงการลูกหนัง ทุกคนคงไม่ชินตาหากสโมสรใดจะมีเฮดโค้ชถึงสองคนในทีม เพราะส่วนใหญ่สโมสรฟุตบอลมักจะมีเฮดโค้ชเพียงคนเดียว พร้อมกับมีตำแหน่งอื่น ๆ เช่น ผู้อำนวยการฟุตบอล ผู้อำนวยการด้านเทคนิค หรือผู้อำนวยการกีฬา
ปัจจุบันคงพูดได้เต็มปากว่าการใช้โค้ชคู่ในวงการฟุตบอลไม่เป็นที่นิยมอีกต่อไป เพราะหากไปดูในแต่ละสโมสรก็มักจะมีเฮดโค้ชแค่คนเดียวควบคู่ไปกับการมีผู้ช่วยโค้ช โดยข้อดีของการมอบอำนาจให้คน ๆ เดียวคือ โค้ชจะมีอำนาจสูงสุด ในการตัดสินใจทิศทางของทีมได้เอง ทำให้การตัดสินใจทุกอย่างรวดเร็วและสามารถนำวิสัยทัศน์ของตัวเองออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่
อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีก็มีสโมสรที่ใช้โมเดลโค้ชคู่ในการบริหารทีมอยู่ เช่น พลพรรคสิงห์เจ้าท่า การท่าเรือ เอฟซี ที่ทำให้กระแสโค้ชคู่กลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้ง หลังจากที่ดึงตัวโค้ชคนคุ้นเคยอย่าง โค้ชโชค โชคทวี พรหมรัตน์ ให้ทำงานร่วมกับโค้ชมากประสบการณ์ดีกรีโปรไลเซนส์อย่าง โค้ชอั๋น สุรพงษ์ คงเทพ และผลงานของทัพสิงห์เจ้าท่าก็ดีขึ้นแบบทันตาเห็น
วัฒนธรรมของแต่ละสโมสรนั้นมีความแตกต่างกัน เราคงไปตัดสินไม่ได้ว่าการทำงานแบบโค้ชคู่หรือโค้ชคนเดียวจะดีกว่ากัน เพราะถ้าหากผลงานในสนามของการใช้โค้ชคู่ออกมาดีก็แปลว่าการใช้โค้ชสองคนอาจเหมาะกับวัฒนธรรมของสโมสรนั้น ซึ่งผลงานเท่านั้นคือตัวตัดสิน
แน่นอนว่าการทำงานโดยใช้โค้ชสองคน หากพูดถึงรายละเอียดการทำงาน เช่น อำนาจในการตัดสินใจ การเลือกตัวนักเตะในการลงสนาม รวมไปถึงแทคติกที่จะใช้ในแต่ละเกม ย่อมแตกต่างจากการทำงานโค้ชคนเดียวอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นบอร์ดบริหารของแต่ละสโมสรจึงนิยมที่จะใช้เฮดโค้ชคนเดียวแบบที่คุ้นเคยมากกว่า
หลักการทำงานของโค้ชคู่
ศาสตร์ของการฝึกสอนฟุตบอลเป็นศาสตร์ที่ซับซ้อน นอกจากจะต้องอาศัยความรู้เรื่องฟุตบอลแล้วยังต้องอาศัยความรู้ด้านจิตวิทยาอีกด้วย โดยปกติแล้วทีมฟุตบอลทีมหนึ่งมักจะมีหัวหน้าผู้ฝึกสอนแค่คนเดียว ซึ่งหน้าที่หลัก ๆ ของหัวหน้าผู้ฝึกสอนคือต้องจัดการฝึกซ้อมให้กับนักเตะในทีม รวมไปถึงการวางแทคติกให้เหมาะสมกับแต่ละเกมที่ต้องลงเล่น
อย่างไรก็ตาม หากกล่าวถึงการทำงานของโค้ชคู่แล้วหลายคนคงนึกถึงสุภาษิต สองหัวดีกว่าหัวเดียว สุภาษิตนี้สามารถใช้อธิบายข้อดีของการทำงานโดยใช้โค้ชคู่ได้ส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะการทำงานร่วมกันมันมีอะไรที่ลึกซึ้งกว่านั้น
การทำงานของโค้ชคู่อาศัยหลักการเกื้อหนุนกัน โดยเป็นการวางแทคติกร่วมกันในแต่ละเกม แน่นอนว่าไม่มีใครเก่งไปหมดทุกเรื่อง การมีเพื่อนคู่คิดอีกคนมาช่วยแบ่งเบาเรื่องการวิเคราะห์แทคติกก่อนเริ่มเกมอาจเป็นผลดีกว่าการวิเคราะห์โดยโค้ชคนเดียว
ย้อนไปในตอนที่ การท่าเรือ เอฟซี เปิดตัวการใช้โค้ชคู่ โดยเป็นคนคุ้นเคยอย่าง โชคทวี พรหมรัตน์ ที่เคยคุมทัพสิงห์เจ้าท่ามาแล้วในปี 2019 แถมยังพาทีมคว้าแชมป์ ช้าง เอฟเอ คัพ ได้ในรอบ 10 ปี ผนึกกำลังคู่กับ สุรพงษ์ คงเทพ ที่มีประสบการณ์การคุมทีมในไทยลีกมามากมาย
ในตอนนั้นมีเสียงวิจารณ์หนาหูว่าการใช้โค้ชคู่จะไปรอดจริง ๆ หรือ ซึ่งภายหลังโค้ชโชคก็ได้ให้สัมภาษณ์ถึงหลักการทำงานไว้ว่า
“ประเด็นโค้ชคู่ผมกับโค้ชอั๋น ผมเก่งด้านหนึ่ง ส่วนโค้ชอั๋น ต้องยอมรับนะครับว่าประสบการณ์ในการทำทีมในไทยลีกนี่เยอะ เพราะอย่างนั้นแทคติกอะไรต่าง ๆ เราสามารถเรียนรู้กันได้น่ะครับ อย่างผมเก่งในเรื่องระเบียบวินัย หรือรู้จักน้อง ๆ ในทีม เพราะว่ามาจากทีมชาติ เพราะฉะนั้น มาดามแป้ง (นวลพรรณ ล่ำซำ) จึงให้เรามาทำงานร่วมกันให้กลมกลืนที่สุด”
จะเห็นได้ว่าโมเดลโค้ชคู่ของ การท่าเรือ เอฟซี คือการที่เอาคนที่มีความสามารถด้านแทคติกอย่างโค้ชอั๋นเข้ามาผนึกกำลังกับโค้ชที่เคร่งเรื่องระเบียบวินัยและรู้จักนักเตะในทีมเป็นอย่างดีอย่างโค้ชโชค และเมื่อสองคนนี้เข้ามาผนึกกำลังกัน ทีมก็กลมกล่อมขึ้นโดยปริยาย
เพราะทัพสิงห์เจ้าท่าในมือของโค้ชคู่จบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 3 บนศึกรีโว่ ไทยลีก ฤดูกาลนี้ ได้สิทธิ์ไปเล่นฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรเอเชีย หรือ AFC Champions League ในรอบเพลย์ออฟ ได้ไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในเวทีเอเชียกันต่อไป
จะเห็นได้ว่าจริง ๆ แล้วหลักการทำงานแบบโค้ชคู่ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน แค่เป็นการอาศัยการเกื้อหนุนกัน ซึ่งขั้นตอนสำคัญในการเป็นโค้ชคือการมีความเข้าใจเกี่ยวกับฟุตบอลอย่างถ่องแท้
“งานของเราคือการสร้างสภาพแวดล้อมที่พร้อมสำหรับการเรียนรู้ และแน่นอนว่าเราต้องรับความเสี่ยงในแต่ละเกมให้ได้ การล้มเหลวเป็นเรื่องปกติของอาชีพนี้ ล้มเหลวได้ก็ต้องประสบความสำเร็จได้” เดฟ ไรท์ ผู้ก่อตั้งโปรเจ็กต์ PDP หรือการพัฒนาด้านผู้ฝึกสอนฟุตบอลที่ประเทศนิวซีแลนด์ กล่าว
โดยสรุปแล้วการทำงานร่วมกันของโค้ชคู่ หากเจอพาร์ตเนอร์ที่ลงตัวคงไม่น่าเป็นเรื่องยากที่จะทำให้ทีมฟุตบอลทีมหนึ่งประสบความสำเร็จ ซึ่งการกล่าวว่า ใช้คนให้ถูกกับงาน คงเป็นประโยคที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการทำงานของโค้ชคู่ เมื่อใครเก่งด้านไหนก็ให้เขาคุมด้านนั้น และผลลัพธ์จะเป็นตัวตัดสิน
เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้
หากจะย้อนรอยดูผลงานของโค้ชคู่ในอดีตนั้น ชื่อของ รอย อีแวนส์ และ เชราห์ อุลลิเยร์ น่าจะพอคุ้นหูแฟนลูกหนังยุค 90s กันบ้าง ในตอนนั้นพลพรรคหงส์แดงเรียกตัวโค้ชคู่สองคนนี้มาทำงานร่วมกันในปี 1998 แต่ผลลัพธ์กลับไม่เป็นดั่งหวัง
ทางด้าน รอย อีแวนส์ เป็นลูกหม้อของสโมสรมาตั้งแต่เป็นนักเตะเยาวชน ไต่เต้าขึ้นมาจนขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ หลังจากที่รีไทร์อีแวนส์ก็ไปรับหน้าที่โค้ชให้ทีมสำรอง แล้วจึงก้าวขึ้นมาเป็นผู้จัดการทีมให้ทีมชุดใหญ่ในที่สุด
ในช่วงแรกเส้นทางการทำงานโค้ชของอีแวนส์กับทีมเก่าของเขาดูจะไปได้อย่างสวยงาม เพราะเขาพาทีมคว้าแชมป์ลีก คัพ ได้ในฤดูกาล 1994-95 ทว่าหลังจากนั้นทีมก็ดูจะห่างไกลจากความสำเร็จมากขึ้นเรื่อย ๆ
ขุมกำลังอย่าง เอียน รัช, สตีฟ แม็คมานามาน รวมไปถึงดาวซัลโวของทีมในฤดูกาลนั้นอย่าง ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ทำให้ลิเวอร์พูลในมือของอีแวนส์มีเกมรุกที่ดุดันอย่างมาก แต่ท้ายที่สุดพวกเขาก็ไปไม่ถึงฝัน เพราะในฤดูกาลนั้นพวกเขามีแค่ถ้วยลีก คัพ ติดมือเพียงถ้วยเดียวเท่านั้น
เมื่อบอร์ดบริหารเห็นท่าไม่ดีเข้าจึงมีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลง เป็นเหตุให้ทางบอร์ดบริหารไปเรียกตัว เชราห์ อุลลิเยร์ เข้ามาเป็นกุนซือคู่กับ รอย อีแวนส์ ในฤดูกาล 1998-99 โดยหวังที่จะให้การทำงานของโค้ชคู่ช่วยให้สโมสรประสบความสำเร็จ
อย่างไรก็ตาม ไม่มีสโมสรไหนที่จะสมหวังไปทุกเรื่อง การแบกรับความหวังอันสูงส่งจากทั้งแฟนบอลและบอร์ดบริหาร กลับมีผลงานไม่เป็นดั่งหวัง ทำให้ รอย อีแวนส์ ตัดสินใจลาออกในที่สุด หลังจากที่ทำงานเป็นกุนซือคู่เพียงสามเดือนเท่านั้น ส่งผลให้ เชราห์ อุลลิเยร์ รับหน้าที่เป็นผู้จัดการทีมแต่เพียงผู้เดียว
โดยทางอีแวนส์เคยมาเปิดเผยถึงสถานการณ์ในช่วงนั้น ความว่า
“เมื่อมองย้อนไปในตอนนั้น มันไม่ยากเลยที่จะบอกว่าตอนนั้นเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดของบอร์ดบริหาร แม้ว่าพวกเขาจะบอกว่าหลังจากที่ผมลาออกจะทำให้ทีมดีขึ้นมาก็ตาม”
“การนำการเล่นแบบยุโรปเข้ามาสู่ทีมมันดีนะ แต่ผมคิดว่าผมควรจะมีอำนาจในทีมมากกว่านี้ ผมคิดว่าถ้านำอุลลิเยร์เข้ามารับบทบาทอื่น เช่น ผู้อำนวยการสโมสรหรือรับหน้าที่อื่น ๆ มันน่าจะดีกว่าการที่นำเขาเข้ามาเป็นผู้จัดการทีมร่วมกันกับผม”
“เมื่อพูดถึงการเลือกผู้เล่นที่จะลงเป็นตัวจริงในแต่ละเกม ผมอาจจะอยากเลือกอีกคน แต่ว่าอุลลิเยร์อาจจะอยากเลือกอีกคน มันทำให้เกิดปัญหา สุดท้ายมันก็ต้องเป็นการตัดสินใจของใครคนใดคนหนึ่งอยู่ดี”
“นักเตะพวกนั้นไม่ได้โง่ หากมีคนไหนที่ไม่ถูกเลือกให้ลงเล่นและเป็นการตัดสินใจของผม เขาก็จะหันไปสนับสนุนอุลลิเยร์ ส่วนคนที่ถูกผมเลือกก็จะหันมาสนับสนุนผม มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”
“ผมจึงเลือกที่จะเป็นคนเดินออกมาเอง เพราะผมคิดว่าหากอยู่นานกว่านี้มันจะเกิดปัญหามากมายตามมา ผมคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องในการให้กุนซือสองคนมาทำงานร่วมกัน”
“นับตั้งแต่วันนั้น ในความคิดของผม ฟุตบอลกลายเป็นอุตสาหกรรมที่โหดร้ายที่มักจะตัดคนที่ไม่ใช่ออกไปจากวงจร”
การทำงานของโค้ชคู่โหดร้ายกว่าที่คิด แน่นอนว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม แต่การทำงานร่วมกันมันมีอะไรมากกว่านั้น หากเจอพาร์ตเนอร์ที่ลงตัวก็จะยิ่งพากันไปประสบความสำเร็จ แต่ถ้าเจอพาร์ตเนอร์ที่ทำงานร่วมกันไม่ได้ สถานการณ์ก็จะยิ่งยากขึ้นกว่าเดิม
และไม่มีอะไรเป็นสิ่งกำหนดว่าการทำงานแบบใช้โค้ชคู่จะดีหรือแย่กว่าการใช้โค้ชคนเดียว ทุกอย่างวัดกันที่ผลงานของทีมทั้งสิ้น หากโค้ชคู่สามารถทำผลงานได้ดีก็จะถือว่าประสบความสำเร็จ แต่หากทำผลงานได้ไม่ดีก็ถือว่าล้มเหลวตามวัฏจักรของฟุตบอล
ตามหลักจิตวิทยา โค้ชคู่ทำงานร่วมกันได้ไหม
โดยทั่วไปแล้ว องค์กรทุกที่ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันเป็นเรื่องปกติ และในสโมสรฟุตบอลก็เช่นกัน ซึ่งตามหลักจิตวิทยา หลักการของ Marry Parker Follett (แมรี ปาร์คเกอร์ ฟอลเลตต์) สามารถอธิบายถึงการทำงานแบบโค้ชคู่ในวงการฟุตบอลได้เป็นอย่างดี
ทฤษฎีนี้จะเน้นไปที่ความสัมพันธ์ขององค์กรในเชิงธุรกิจ การจะทำงานให้สำเร็จได้ต้องอาศัยการร่วมมือร่วมใจกัน โดยจะเห็นว่าทฤษฎีของฟอลเลตต์นั้นเน้นไปที่ตัวบุคคลและองค์กรที่่ทำงานได้สำเร็จโดยไม่ต้องเสียผลประโยชน์ขององค์กรไป
จากเคสตัวอย่างของพลพรรคหงส์แดงในการใช้กุนซือคู่นั้น มันส่งผลให้เกิดปัญหามากมาย ซึ่งถ้าอิงตามหลักการขจัดความขัดแย้งของฟอลเลตต์แล้ว โค้ชคู่จะสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างไม่มีปัญหา
ตามหลักแล้วในการทำงานของโค้ชคู่ต้องมีคนหนึ่งที่มีอำนาจในการตัดสินใจมากกว่า และอีกคนหนึ่งต้องยอมเป็นผู้ตาม ซึ่งถ้าหากทั้งคู่หาทางตรงกลางร่วมกันได้การตัดสินใจทุกอย่างจะสัมฤทธิ์ผล และการทำงานร่วมกันก็จะราบรื่น ตามแนวคิดการบริหารความขัดแย้งของฟอลเลตต์ ความว่า
การร่วมมืออย่างเท่าเทียมกัน (Collaboration) คือการพยายามหาทางตรงกลางหรือหาทางออกร่วมกัน โดยต้องตอบสนองต่อเป้าหมายของทั้งสองฝ่ายที่มุ่งมั่นไปสู่จุดหมายเดียวกัน ซึ่งถ้านำมาปรับใช้กับการทำงานเป็นผู้ฝึกสอนในวงการลูกหนังแล้ว การทำงานของโค้ชคู่จะไม่เกิดปัญหาตามมาและจะสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างแน่นอน
ผลลัพธ์ของการทำงานโดยใช้โค้ชคู่จะสำเร็จมากกว่าการใช้โค้ชคนเดียวหรือไม่เป็นเรื่องที่ต้องหาคำตอบกันต่อไป โดยสิ่งที่จะเป็นคำตอบให้เราได้คือผลงานในสนาม หากผลงานดีก็แปลว่าการทำงานร่วมกันของโค้ชสองคนมีประสิทธิภาพ แต่ถ้าหากผลงานในสนามไม่ดีก็แปลว่าโค้ชคู่อาจใช้ไม่ได้สำหรับทีมนั้น
สุภาษิต สองหัวดีกว่าหัวเดียว ถือเป็นข้อดีของการใช้โค้ชคู่ในวงการฟุตบอล แน่นอนว่าคนเราย่อมมีวิสัยทัศน์ที่ต่างกัน โค้ชคนหนึ่งอาจจะเห็นว่าตรงนี้ดี แต่โค้ชอีกคนอาจจะเห็นอีกจุดหนึ่ง การมองต่างมุมและนำสองมุมมองนี้มาปรับใช้กับการทำงานในวงการฟุตบอลอาจจะทำให้สโมสรประสบความสำเร็จได้
ทว่าหากทำงานแบบไม่ลงรอยกันนั้น โค้ชคู่ก็อาจจะไม่เหมาะกับทีมของคุณ และท้ายที่สุดสโมสรก็ต้องกลับไปใช้โค้ชคนเดียวอยู่ดี แบบที่ทัพหงส์แดงพบเจอปัญหามาแล้วในช่วงปลายยุค 90s ดังนั้นจงหาวิธีการการทำทีมที่เหมาะกับสโมสรของคุณ ความสำเร็จและความยิ่งใหญ่ที่รออยู่คงไม่ไกลอย่างแน่นอน
แหล่งอ้างอิง :
https://www.thisisanfield.com/2020/04/roy-evans-and-the-impossible-situation-gerard-houlliers-arrival-at-anfield-presented/
https://www.planetfootball.com/nostalgia/curious-case-joint-managers-bolton-admired/?ref=thinkcurve.co
https://en.wikipedia.org/wiki/Roy_Evans
https://en.wikipedia.org/wiki/1994%E2%80%9395_Liverpool_F.C._season
https://en.wikipedia.org/wiki/1998%E2%80%9399_Liverpool_F.C._season
http://rungdba-04.blogspot.com/2012/10/marry-parker-follett.html
https://playerdevelopmentproject.com/the-fundamentals-of-coaching-football-2/
คลิปสัมภาษณ์โค้ชโชค โชคทวี พรหมรัตน์ https://youtu.be/D9a1__fxKpc