ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา สื่อโลกตะวันตกต่างประโคมข่าวอย่างหนาหูว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (อาจรวมถึง ท็อตแนม ฮอตสเปอร์) ให้ความสนใจ เอแวน เฟอร์กูสัน (Evan Ferguson) ศูนย์หน้าเพชฌฆาตดาวรุ่งสัญชาติไอร์แลนด์ ของสโมสรสายปั้นแห่งยุคนี้อย่าง ไบร์ทตัน โดย Sky Sports รายงานว่า ทีมนกนางนวลประเมินมูลค่าของเขาระดับหลัก 100 ล้านปอนด์เลยทีเดียว
แน่นอนว่าราคาระดับนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกหากใช้เป็นมูลค่าในการซื้อขายศูนย์หน้าที่มีอายุการใช้งานไปยาว ๆ ในโลกฟุตบอล ณ ปัจจุบัน แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ศูนย์หน้าอนาคตใหม่แห่งวงการฟุตบอลไอร์แลนด์คนนี้เพิ่งจะได้รับโอกาสลงสนามเป็นตัวจริงในช่วงครึ่งหลังของฤดูกาล 2022-23 ทั้งยังมีอาการบาดเจ็บถามหาทำให้ต้องพักไปช่วงหนึ่ง หรือเรียกได้ว่าเขาได้โชว์ผลงานเพียง 3-4 เดือนเท่านั้น แต่กลับมีราคาที่พุ่งทะยานได้สูงขนาดนี้
และที่สำคัญ เมื่อลงลึกถึงชีวิตทางฟุตบอล เขายังประเดิมสนามในเกมการแข่งขันระดับอาชีพตั้งแต่อายุ “14 ปี” ซึ่งถือได้ว่าน้อยคนจะได้รับโอกาสเช่นนี้ หากไม่ได้ “มีของ” แบบโดดเด่นจริง ๆ
ร่วมติดตามการดำเนินตนทางฟุตบอลชนิด “อัพค่าตัว” พุ่งปรี๊ดแบบตลาดหุ้นยังอายของ “เอแวน” ไปพร้อมกับเรา
ขายวิญญาณให้ปีศาจ (แดง)
เอแวน โจ เฟอร์กูสัน (Evan Joe Ferguson) เกิดที่เมืองเบ็ตตี้สทาวน์ (Bettystown) เคาน์ตี้เมธ (County Meath) ภูมิภาคอีสต์และมิดแลนด์ (Eastern and Midland) ประเทศไอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2004 โดยมีคุณพ่อเป็นอดีตนักเตะจอมพเนจรนามว่า แบร์รี่ เฟอร์กูสัน (Barry Ferguson) ที่ลงสนามมาโชกโชนทั้งในลีกไอร์แลนด์และลีกอังกฤษ ซึ่งเราเชื่อว่าแฟนบอลสายลึกน่าจะพอคุ้นหูชื่อของเขาอยู่บ้าง
เอแวนมีชื่อที่ครอบครัวและเพื่อน ๆ เรียกย่อ ๆ ว่า “เฟอร์กี้” ซึ่งมีความคล้ายบรมกุนซือของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นามว่า เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน แต่การเรียกแบบนี้เป็นธรรมเนียมการย่อนามสกุลของชาวบริติช โดยใส่ “-ี้” เป็นพยางค์ท้าย ใครนามสกุลเฟอร์กูสันจะเรียกกันแบบนี้หมด
ก่อนที่เอแวนจะเกิดนั้น คุณพ่อได้รับจ๊อบให้กับ สมาคมฟุตบอลแห่งไอร์แลนด์ (Football Association of Ireland) ในตำแหน่ง “เจ้าหน้าที่พัฒนาฟุตบอลระดับภูมิภาค (FAI Regional Development Officer)” ซึ่งโดนส่งมาประจำการที่เคาน์ตี้เมธพอดีจึงได้หอบภรรยานาม ซาราห์ เฟอร์กูสัน (Sarah Ferguson) มาตั้งรกรากที่เบ็ตตี้สทาวน์เสียเลย ก่อนที่จะให้กำเนิดเอลลีและเอแวนขึ้นมาตามลำดับ
ด้วยความที่เกิดในครอบครัวนักฟุตบอลและพ่อก็ยังคลุกคลีกับวงการนี้อยู่ ทำให้เอแวนและพี่สาวตกหลุมรักกีฬาชนิดนี้อย่างมาก และที่ออกจะตลกร้ายคือ มีการเปิดเผยจากเขาเองว่าทีมในดวงใจของเขาตั้งแต่เด็ก ๆ นั่นคือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
แต่ที่ตลกร้ายเสียยิ่งกว่าร้าย ในขณะที่นักฟุตบอลที่เป็นแฟนบอลปีศาจแดงคนอื่น ๆ มักจะมีไอดอลเป็นตำนานของทีม เช่น เอริค คันโตน่า, ไรอัน กิ๊กส์, พอล สโคลส์ หรือ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ แต่เอแวนนั้นมีไอดอลที่มีความแหวกแนวไปมากกว่านั้น จากบทสัมภาษณ์ในเว็บไซต์ไบร์ทตันเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2022 ความว่า
“ผมโตมาโดยการเชียร์แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และคนที่ผมกรี๊ดมากที่สุดตอนนี้เป็นเพื่อนร่วมทีมของผมเสียด้วย เขาคือ แดนนี่ เวลเบ็ค ครับ”
แน่นอน “แดนนี่ เวลเบ็ค” ที่แฟนบอลปีศาจแดงโดยเฉพาะแฟนบอลประเทศไทยขนานนามว่า “มหาเทพเวลบิซิอุส” ที่ออกจะเป็นการแซวหรือหยิกแกมหยอกเรื่องลีลาความฮาในสนามของเขา กลับกลายเป็นผู้สร้างแรงบันดาลใจให้เอแวนอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะเวลเบ็คทำให้เขาอยากที่จะเล่นตำแหน่ง “ศูนย์หน้า” อยู่ลึก ๆ ในใจตั้งแต่วัยเยาว์
ในวัย 6 ขวบเท่านั้น เขาและพี่สาวก็ได้เดินทางเข้าสู่ดับลิน (Dublin) เมืองหลวงของประเทศ โดยพ่อได้ฝากฝังให้เข้าอคาเดมีฟุตบอลนามว่า เซนท์ เควิน บอยส์ (St. Kevin's Boys) ซึ่งมีดีกรีเป็นอคาเดมีชั้นนำของประเทศ ด้วยความเชื่อว่านี่คือสิ่งที่ดีที่สุดที่จะมอบให้กับลูกๆ ได้
เพราะที่นี่เคยปั้น เดเมียน ดัฟฟ์ อดีตลูกรักของ โชเซ่ มูรินโญ่ สมัยคุมเชลซีคำรบแรกมาแล้ว รวมถึงห่างจากบ้านเพียง 60 กิโลเมตร ลูก ๆ ก็จะไม่ต้องอยู่ประจำและสามารถไปกลับโดยที่พ่อแม่มาส่งได้
และที่สำคัญที่สุด คนเป็นพ่อไม่ได้มั่นใจในฝีมือการปั้นลูก ๆ ของตนเอง เหมือน ริชาร์ด วิลเลียมส์ ที่ปั้นลูกสาวอย่าง วีนัส และ เซเรนา ให้เป็นนักเทนนิสระดับโลก (แนะนำให้รับชมภาพยนตร์ King Richard) จึงคิดว่า ส่งลูก ๆ ให้มืออาชีพขัดเกลาเป็นดีที่สุด
หรือก็คือ เป็นการตัดความกังวลของเอแวนไปในตัว เพื่อจะได้ไม่ต้องไปพะวงเรื่องอื่น ๆ และโฟกัสเพียงฟุตบอลอย่างเดียวเพื่อทำตามฝันได้เต็มที่ และเมื่อไม่มีอะไรต้องคิดเยอะ เอแวนจึงสามารถที่จะเดินเครื่อง สร้างความมั่นใจบนถนนสายฟุตบอลได้อย่างถึงเครื่อง
คาร์ล แลมบ์ (Karl Lambe) โค้ชของอคาเดมี เซนท์ เควิน บอยส์ ได้เคยเปิดเผยกับ Sky Sports ถึงแพสชั่นทางฟุตบอลที่มีในตัวของเอแวน ความว่า “แค่ 8 ขวบ เขาก็โม้ให้ผมฟังแล้วว่าจะลงสนามในพรีเมียร์ลีกให้ได้ แถมทำสายตามุ่งมั่นใส่ด้วย”
ซึ่งเอแวนก็ไม่ได้มีดีแค่สกิลปาก เพราะเขาเก่ง เก่งกว่าเพื่อนร่วมรุ่นและรุ่นพี่ ๆ เสียอีก แน่นอนว่าแลมบ์ได้เปิดเผยถึงเรื่องนี้ว่า "ครั้งหนึ่งเราได้ไปแข่งขันกับเยาวชน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถึงแคร์ริงตัน รู้สึกจะชุด U-10 นะครับ เกมนั้นเราโดนถล่มเละ แต่แล้วหมอนี่ดันทะลึ่งยิง 2 ประตูเฉยเลย แม้จะปราชัย แต่พอกลับมาทุกคนในทีมต่างสรรเสริญเขาเป็นการใหญ่ และหลังจากนั้นไม่นานเขาก็เนื้อหอมแบบสุด ๆ”
ในวัยเยาวชน เอแวนถือว่าลงสนามแบบจับฉ่ายมาก ๆ เรียกได้ว่าเล่นมาแล้วทุกตำแหน่งในสนาม ยกเว้นผู้รักษาประตู นั่นเพราะเขาเป็นคนที่มีสกิลรอบด้าน ให้เลี้ยง ครองบอล จ่ายบอลก็ดี ครอสบอล สปรินต์ หรือวิ่งแข่ง ปะทะ แย่งบอล เข้าสกัด ก็ได้ หรือกระทั่งพักบอล พิงบอล เชื่อมเกม หรือจบสกอร์ ก็ดี เพียงแต่ในที่สุด เขาก็ตกลงปลงใจในตำแหน่งศูนย์หน้าอย่างที่กล่าวไปว่ามาจากเวลเบ็คไม่มากก็น้อย
"ผมลองนั่งนึกย้อนไป ตอนที่หมอนี่ยังตัวน้อย ๆ เขาไม่เหมือนคนอื่นที่จะวิ่งสกรัมลูกบอลและถูลู่ถูกังจะยิงประตูอย่างเดียว [แบบนักรักบี้ที่เน้นวิ่งปะทะเข้าหาบอลโดยตรง - เสริมโดยคนเขียน] แต่เขามีการตัดสินใจที่แหลมคม รู้ว่าจังหวะไหนควรวิ่ง จังหวะไหนควรดึงตัวประกบ คือสมองของเขาเป็นเลิศมาก เขาเข้าใจเกมในระดับสูงตั้งแต่เด็กเลย คือผมไม่เคยเจอเยาวชนแบบนี้มาก่อน และคุณก็จะเห็นเขาเล่นแบบนี้ในทุกสัปดาห์" แลมบ์ กล่าวเสริม
จนกระทั่งในวัยประมาณ 14 ปี เขาก็ได้โยกย้ายไปเซ็นสัญญากับ โบฮีเมียน (Bohemians) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า “โบส์ (Bohs)” ยอดทีมแห่งเมืองหลวง เรียกได้ว่าเป็นก้าวกระโดดที่สำคัญอย่างมาก เพราะเขาขยับไปสู่ทีมที่ใหญ่ขึ้น แถมค่าตอบแทนก็มากขั้น เพราะเป็นอคาเดมีของทีมระดับ Big 3 ของประเทศ
แต่ใครเลยจะรู้ว่าก้าวกระโดดนี้เหมือนติดไนตรัสไว้ที่รองเท้า ทำให้เขาพุ่งทะยานไปอย่างน่าเหลือเชื่อ
Bohs Rhapsody สมศักดิ์ศรีวิถีคนกล้า
11 กรกฎาคม 2019 ณ สนามดาลีเมาต์ พาร์ก (Dalymount Park) โบส์มีเกมอุ่นเครื่องกับ เชลซี ยอดทีมจากพรีเมียร์ลีก และไม่แน่ใจว่าโค้ชของโบส์คิดอะไรขึ้นมา เพราะในนาทีที่ 67 เขาก็เรียกเอแวนมาเปลี่ยนตัวลงสนาม ซึ่งเป็นที่น่าเหลือเชื่ออย่างมาก เพราะอายุของเขา ณ ตอนนั้นคือ 14 ปี เรียกได้ว่าทำสถิตินักเตะอายุน้อยที่สุดของโบส์ (อาจจะตลอดกาล) ที่ลงสนามในทีมชุดใหญ่เลยทีเดียว
"เชื่อผมไหม ไอ้พวกเชลซีไม่มีทางรู้หรอกว่ามีไอ้หนูวัย 14 ลงสนามยืนกองหน้า พวกนั้นเลยเข้าบอลแบบที่นักเตะอาชีพเขาทำกันเลย ไม่มีปราณี" แลมบ์ กล่าวถึงเหตุการณ์ในวันนั้น
ซึ่งในเกมดังกล่าวเขาก็ทำผลงานได้ดีทีเดียว ในระยะเวลาประมาณ 20 นาที มีการเบียดปะทะ วิ่งฉีกตัวประกบ วิ่งทำทาง และหาโอกาสส่อง เรียกได้ว่ามีพิษสงเกินวัยอย่างมาก เขาต่อกรกับกองหลังของเชลซีอย่าง เคิร์ด ซูมา, มาร์ค เกฮี, เทรโวห์ ชาโลบาห์, เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า และ ดาวิเด ซัปปาคอสต้า ได้เป็นอย่างดี
แถมยังมีส่วนกับประตูตีเสมอ 1-1 ในนาทีที่ 89 และจบเกมไปด้วยสกอร์ดังกล่าวเสียด้วย
แต่เยาวชนก็คือเยาวชน แม้จะเคยไปยืนเหนือหัวเพื่อนร่วมรุ่นมาแล้ว อย่างไรเขาก็ต้องลงไปลับฝีมือกับอคาเดมีอยู่ดี เรื่องนี้ถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะต่อให้โดดเด่นแค่ไหน การจะลงสนามในทีมชุดใหญ่ประสบการณ์กับความสม่ำเสมอต้องมาก่อน และมีส่วนน้อยจริง ๆ ที่จะเสี่ยงให้หนุ่มน้อยวัยเพียง 14 ปี ลงสนามเป็นศูนย์หน้า ตำแหน่งที่มีเพียงหนึ่งเดียวในสนามตามเทรนด์ฟุตบอลปัจจุบัน
4 เกมใน 2 ฤดูกาลเท่านั้นที่เอแวนได้รับโอกาสกับโบส์ เรียกได้ว่าน้อยมากสำหรับนักเตะที่เคยได้รับโอกาสประเดิมสนามปะทะทีมระดับโลกมาแล้ว และมีส่วนสำคัญให้โบส์คว้าโทรฟี่ลีก U-17 มาครองได้ อย่างน้อย ๆ ตามปกติก็ต้องเรียกไปซ้อมกับทีมชุดใหญ่อย่างสม่ำเสมออาจจะดูเข้าเค้ากว่านี้ แต่โบส์ไม่ทำเช่นนั้นกับเอแวน
และที่สำคัญ เขามีสโมสรในพรีเมียร์ลีกตามจีบมาอย่างยาวนาน นั่นคือ ลิเวอร์พูล เนื่องจาก เยอร์เกน คล็อปป์ ถูกอกถูกใจเอแวนเป็นพิเศษ เป็นเยาวชนที่ตรงจริตของ เกเกนเพรสซิ่ง อยู่ไม่น้อย แต่ติดตรงที่ว่าเขายังอายุไม่ครบ 18 ปีบริบูรณ์ ตามกฎของฟีฟาจึงยังไม่สามารถดำเนินการซื้อขายได้
ดังนั้นลิเวอร์พูลจึงได้แต่จด ๆ จ้อง ๆ มาโดยตลอดเพราะทำอะไรไม่ได้ แม้คนซื้ออยากซื้อ คนขายอยากขาย แต่แล้วในที่สุดก็มี “การปาด” เกิดขึ้น จากสโมสรในพรีเมียร์ลีกด้วยกันที่สอยเอแวนไปร่วมทีมชนิดที่ เยอร์เกน คล็อป และลิเวอร์พูลเหวอกันเป็นแถบ โดยสโมสรที่ว่าคือ “ไบร์ทตัน”
แต่คำถามที่ตามมาคือ ตอนนั้นเอแวนอายุ 16 ปี แล้วไบร์ทตันไปเล่นแร่แปรธาตุอย่างไรให้เขาข้ามประเทศมายังอังกฤษได้ ?
คำตอบคือ เพราะไบร์ทตันสืบข้อมูลจนทราบว่าแม่ของเขาเป็น “ชาวอังกฤษ” ที่สามารถเซ็นรับรองไม่กี่นาทีให้เอแวนได้รับสัญชาติที่สองเป็นอังกฤษ ตรงนี้ก็น่าเสียดายที่ลิเวอร์พูลไม่รู้และไม่ทันเหลี่ยมของไบร์ทตันจึงต้องยอมปล่อยไป โดย เยอร์เกน คล็อปป์ เคยให้สัมภาษณ์ไว้ ความว่า
“ไบร์ทตันได้ตัวเขาไปแล้วครับ เขาจะมาในซัมเมอร์หน้า (ฤดูกาล 2021-22) ผมคิดว่าไม่ได้มีการชิงเหลี่ยมอะไรกันหรอก มันก็เป็นไปตามเกม หากว่าไม่มีอะไรแดงออกมาเข้าสักวันนะครับ”
ขณะเดียวกัน ฟากฝั่ง แมนฯ ยูไนเต็ด ก็เสียดายไม่น้อยที่ไม่สามารถคว้าตัวเอแวนได้ ถึงขนาดที่มีรายงานข่าวว่า นิค ค็อกซ์ ผู้อำนวยการฝ่ายอคาเดมีของทีม เรียกเอแวนว่าเป็น "ความผิดพลาดมูลค่า 50 ล้านปอนด์" เพราะการพลาดลายเซ็นของเขาอาจทำให้สโมสรต้องเสียเงินระดับนั้นหรือมากกว่าเพื่อคว้าตัวเขาในอนาคต
และการมาที่ถิ่น อเมริกัน เอ็กซ์เพรส สเตเดียม นี้เอง ตำนานบทใหม่ของเอแวนก็ได้ถือกำเนิดขึ้น
ฉกาจฉกรรจ์ ไบรท์ตันดันสุด
"เขาเป็นนักเตะสุดเทพในร่างเยาวชน … มองเขาสิ แล้วเตือนตัวเองว่าหมอนี่ 17 เองนะครับ ผมคิดว่าอนาคตเขาสดในแน่นอน … ฝีเท้าเขาไปไกลกว่าบุคลิกนิ่ง ๆ สงบ ๆ เขามีใจอยากลงสนามตลอด ต้องการถล่มประตู ช่วยทีม และมีของในตัวเพียบ เขาเคลื่อนที่ดีและเล่นฉลาด เราแฮปปี้มาก ๆ ที่ได้ตัวเขามาครับ”
"แต่อย่าลืมว่าเขาอายุ 17 ปี เราต้องประคบประหงมมากหน่อยเพื่อช่วยในการพัฒนา เขาก็ซ้อมอยู่กับเราไม่ได้ออกไปไหนเลย เขาย่อมรู้ศักยภาพในตัวเองดีที่สุด แต่ผมก็ไม่อยากจะไปยัดเยียดอะไรใส่เขามากมาย ปล่อยให้พัฒนาแบบค่อยเป็นค่อยไปจะเกิดผลดีที่สุด เราเชื่อว่าในอนาคตเขาจะยิ่งใหญ่เกรียงไกรได้แน่"
เบื้องต้นคือคำกล่าวของ แกรห์ม พ็อตเตอร์ อดีตโค้ชไบร์ทตัน ที่เป็นคนดึงตัวเอแวนมาร่วมทีม ซึ่งออกจะเป็นการกล่าวแบบอวยเสียด้วยว่าหนุ่มน้อยวัย 17 ปีที่เซ็นเข้ามานี้มีของมากขนาดไหน
เรื่องราวตรงนี้จะมีความคล้ายคลึงกับ ฆูลิโอ เอ็นชิโซ่ ที่เข้ามาสู่ทีมในระยะเวลาหลังจากนั้น เพราะพ็อตเตอร์ไม่ได้ใช้งานศูนย์หน้ารายนี้เท่าที่ควร แน่นอนว่าอาจเป็นเพราะวัยที่ยังกระดูกไม่แข็งพอ และแนวรุกของไบร์ทตัน ณ ขณะนั้นถือว่าลงตัวและโหดสุด ๆ ขนาดที่ แดนนี่ เวลเบ็ค ไอดอลของเอแวนยังต้องนั่งสำรองเลยด้วยซํ้า
เขาต้องวนเวียน ๆ ป้วนเปี้ยนระหว่างชุดเยาวชนกับชุดใหญ่ แต่เกมที่สร้างชื่อให้กับเขาคือ เอฟเอ คัพ รอบ 3 ฤดูกาล 2021-22 ที่ต้องปะทะกับ เวสต์บรอมวิช อัลเบียน โดยเขาลงมาเป็นสำรองและจ่ายถวายพานให้กับ ยาคุบ โมแดร์ ยิงประตูตีเสมอต่อลมหายใจให้ไปลุ้นในช่วงต่อเวลาพิเศษ ก่อนที่จะชนะไป 2-1 เขายังได้โอกาสประเดิมสนามในพรีเมียร์ลีก โดยลงเป็นตัวสำรองในเกมพบกับ เบิร์นลีย์ เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2022 ซึ่งเกมนั้นทีมแพ้คาบ้านไป 0-3
ฤดูกาลต่อมา (2022-23) ยังคงเป็นเช่นเดิม พ็อตเตอร์ยังคงไว้เนื้อเชื่อใจขุนพลแนวรุกข้างกายที่พาเขาผงาดมาตลอด ทำให้เอแวนได้ลงสนามเพียงประปรายในฟุตบอลถ้วย โดยสกอร์แรกของเขากับสโมสรมาจาก คาราบาว คัพ รอบ 2 ในเกมที่พบกับ ฟอเรสต์ กรีน โรเวอร์ส (Forest Green Rovers) ที่เขายิงประตูปิดท้ายให้ทีมชนะไป 3-0 (แถมเกมนี้ยังได้ลงสนามร่วมกับ ฆูลิโอ เอ็นชิโซ่ อีกด้วย)
ก่อนที่เรื่องดี ๆ จะตามมา ภายหลังจากการห้าวเป้งของพ็อตเตอร์ที่อาจหาญไปรับงานทีมใหญ่ ในการคุมเชลซี และมี โรแบร์โต เดอ แซร์บี้ ก้าวเข้ามากุมบังเหียนแทน
ประการแรก เดอ แซร์บี้ จับเอแวนเซ็นสัญญาอาชีพ ซึ่งเป็นสัญญาฉบับแรกของเขาด้วยระยะเวลาผูกพันถึง 4 ปี (สิ้นสุด 2026) โดยเซ็นกันในวันเกิดอายุครบ 18 ปีของเขาเสียเลย
ประการต่อมา เขาได้ประเดิมสกอร์แรกให้กับตนเองบนพรีเมียร์ลีก ในแมตช์ที่พบกับ อาร์เซนอล แม้จะแพ้คาบ้านไป 2-4 แต่เขาก็ทำสถิติเป็นนักเตะไบร์ทตันและนักเตะสัญชาติไอร์แลนด์ที่อายุน้อยที่สุดที่ยิงประตูในพรีเมียร์ลีก
และประการสุดท้าย เลอันโดร ทรอสซาร์ ได้ย้ายออกจากทีมไปอยู่อาร์เซนอล ทำให้โอกาสแย่งชิงตำแหน่งการเล่นในแนวรุกเปิดกว้างมากยิ่งขึ้น และที่ตลกร้ายคือ เอแวนเป็นศูนย์หน้าที่ เดอ แซร์บี้ ให้โอกาสข้ามหน้าข้ามตาไอดอลของเขาอย่าง เวลเบ็ค เสียด้วย
และเมื่อโอกาสมาถึง แน่นอนว่าเหมือนกับเอแวนได้ปล่อยของอย่างเต็มที่หลังจากอัดอั้นมานานแสนนาน ทักษะที่เขามีและความเป็นเพชฌฆาตที่สั่งสมมา ทุกสิ่งทุกอย่างเขาได้นำไปปลดปล่อยในสนามแทบทั้งสิ้น แม้จะไม่ได้ยิงประตูถล่มทลาย แต่การเล่นของเขาก็ทรงประสิทธิภาพมาก ๆ เรียกได้ว่ายกระดับการเล่นเกมรุกของทีมไปอีกขั้น เหนือกว่าคนที่อยู่มานานทั้ง เวลเบ็ค, โมแดร์ หรือ เดนิซ อุนดาฟ เลยทีเดียว
ที่น่าสนใจคือ ในเกมที่เขาลงประเดิมเป็น 11 ตัวจริงเกมที่ไปเยือน เอฟเวอร์ตัน เรียกได้ว่าเขาเปลี่ยนไบร์ทตันไปเล่นอีกทางโดยเพิ่มมิติการเข้าทำตรงกลางมากขึ้น ทั้งยังได้ทำการกดไป 1 ประตูให้ทีมถล่มไป 4-1 อีกด้วย
ให้ลืมภาพศูนย์หน้าแบบที่คุ้นชิน ไม่ว่าจะเป็นแบบพักบอล แบบแท็บอิน แบบวิ่งทำทาง หรือ False 9 เพราะเอแวนนั้นอยู่เหนือสามัญสำนึกแฟนบอลไปมาก เพราะเขามีทุกแบบที่กว่าวมานี้จริง ๆ ทำให้เขาไม่จำเป็นต้องเล่นแบบตายตัว วันดีคืนดีเขาก็ลงมาทำเกม ให้แดนกลางสอดขึ้นไปค้ำหน้า ถ่างออกปีก ไปวิ่งไล่ หรือครอสบอล ชนิดที่รูปร่างสูงใหญ่ไม่เป็นอุปสรรคต่อความคล่องแคล่วเลย
ตรงนี้นับว่า เดอ แซร์บี้ มีแววตาที่เฉียบแหลมอย่างมาก ทำให้ไบร์ทตันเปลี่ยนจากทีมสายเหนียวเคี้ยวยากมาเป็นทีมสายเปิดเกมรุกที่บุกตะลุยอย่างบ้าคลั่ง ชนิดที่ทีมใหญ่ ๆ ยังอับอายแทบแทรกแผ่นดินหนี
แต่แล้วในแมตช์ที่ไปเยือน เชลซี เขาที่กำลังฟอร์มเข้าฝักกลับมาดวงแตกบาดเจ็บที่หัวเข่า ต้องพักยาวร่วมเดือนโดยประมาณ และนั่นทำให้โอกาสของเพื่อนร่วมรุ่นอย่าง เอ็นชิโซ่ เปิดกว้าง แถมยิงประตูชัยในเกมดังกล่าวได้อีกด้วย
กระนั้นเขาก็สลัดอาการบาดเจ็บกลับมาช่วยทีมลุ้นโควตาฟุตบอลสโมสรทวีปในช่วงท้ายฤดูกาลอีกครั้ง โดยแมตทช์ที่น่าประทับใจคือ การกดไปถึง 2 ประตู ในเกมที่พบกับ เซาธ์แฮมป์ตัน ส่งนักบุญลงไป เดอะ แชมเปี้ยนชิพ โดยสุคติ
หรือในเกมที่พบกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่เขาลงสนามมาแทน เอ็นชิโซ่ ก็ถือว่าปั่นป่วนแนวรับของเรือใบสีฟ้าได้อย่างชะงัด แม้จะไม่ได้ใส่สกอร์แต่ถือได้ว่าเป็นศูนย์หน้าที่สามารถกดดันแนวรับที่ถือได้ว่าแข็งแกร่งอันดับต้น ๆ ของทวีปได้พอสมควร
แน่นอนว่ากองหน้าที่ทำได้ขนาดนี้ถือเป็น “แรร์ไอเท็ม” ในโลกฟุตบอลอย่างมาก แถมเป็นคนที่อยู่นอกสายตา ที่มาจากไหนไม่รู้อยู่ ๆ ก็ดังเปรี้ยงขึ้นมาเฉยเลย แถมยังมีแต้มต่ออย่าง “โฮมโกรว์น” เข้ามาเกี่ยวข้อง จึงไม่แปลกใจที่เขาจะมีราคามากมายขนาดนี้ และเป็นช่วงเวลาที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กำลังขาดศูนย์หน้าสายเพชฌฆาตพอดิบพอดี (รวมถึง สเปอร์ส ที่เสียว ๆ จะเสีย แฮร์รี่ เคน ไปอยู่รอมร่อ) จึงอยากได้มาร่วมทัพเป็นธรรมดา
มาถึงตรงนี้ นับได้ว่าชีวิตของคนเราบางครั้งก็เกิดความมหัศจรรย์ขึ้นมาได้แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ใครเลยจะรู้ว่าเด็กคนหนึ่งจากชนบทของไอร์แลนด์ที่ชื่นชอบเวลเบ็คจะมาแย่งตำแหน่งกับเวลเบ็ค และมีข่าวกับทีมที่ตนเชียร์ไปพร้อม ๆ กัน
กระนั้นต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าเอแวนเพิ่งแจ้งเกิดในสนามมาได้ไม่ถึง 6 เดือน แถมมีอาการบาดเจ็บไปรอบหนึ่งที่กินเวลาไปเดือนกว่า ๆ เรียกได้ว่ายังไม่เคยยืนระยะแบบเต็มฤดูกาล จึงอาจต้องกลับไปสู่คำถามเรื่อง “การยืนระยะ” และ “ความสม่ำเสมอ” อีกครั้ง
เพราะนักฟุตบอลที่โด่งดังแบบ “จุดพลุ” ที่สว่างวาบแล้วดับหายไปก็มีให้เห็นมาไม่น้อยเช่นกัน
แหล่งอ้างอิง
https://www.skysports.com/football/news/11741/12887338/evan-ferguson-the-making-of-brighton-forward-who-could-develop-into-a-100m-player
https://www.skysports.com/football/news/11095/12887336/evan-ferguson-man-utd-and-tottenham-identify-brighton-striker-as-future-target
https://lifebogger.com/evan-ferguson-childhood-biography-story-facts/
https://www.irishexaminer.com/sport/soccer/arid-40947362.html
https://www.meathchronicle.ie/2021/01/09/meath-teenager-heading-for-brighton/
https://www.brightonandhovealbion.com/news/2443524/ferguson-i-grew-up-watching-welbeck
https://www.ghgossip.com/meet-evan-fergusons-parents/
https://www.irishtimes.com/sport/soccer/national-league/bohemians-14-year-old-evan-ferguson-stars-against-chelsea-1.3953722
https://extra.ie/2020/11/11/sport/soccernews/liverpool-irish-wonderkid-evan-ferguson
https://www.coachesvoice.com/cv/evan-ferguson-brighton-scout-report/